เกิดอะไรขึ้น?
ราชองครักษ์ยิ้มอย่างเยือกเย็นพร้อมมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร แววตาที่ดูถูกดูแคลน ท่าทางหยิ่งยโส แสดงให้เห็นว่าคนพวกนี้จองหองมากเพียงใด การกระทำเหล่านี้ของพวกเขา เหมือนต้องการนำความอัปยศในอดีตที่นางเคยได้รับกลับคืนมาอีกครั้ง
เห็นดังนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินรู้แล้วว่าไม่ชอบมาพากล ท่าทางดุดันของพวกเขา ทำให้เฟิ่งชิงเฉินคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าในแต่ละวัน จะมีสิ่งใดบ้างที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่มามัวใส่ใจเรื่องปิ่นเฟิ่งของนาง จนถึงกับต้องส่งราชองครักษ์มาหานางเช่นนี้
เฟิ่งชิงเฉินวิตกกังวล แต่มิได้แสดงออกทางสีหน้า นางยังคงแน่นิ่ง และดูน่าเกรงขาม
“ใต้เท้าทั้งหลาย การบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวถือเป็นความผิด การที่พวกท่านทำการบุกรุกตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”
การเจรจาอย่างใจเย็นคงจะไม่ได้ผล ยิ่งคนพวกนี้เป็นคนที่นางไม่รู้จัก ต่อให้นางจะพูดจาดีเพียงใดก็คงไร้ประโยชน์ นางไม่อยากไปแสร้งทำดีกับคนที่ไม่เป็นมิตรกับนาง
เหอะๆ……เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่า หัวหน้าราชองครักษ์ที่มาเมื่อวันก่อน เมื่อได้ยินเรื่องที่ไม่ดีเกี่ยวกับเฟิ่งชิงเฉินเข้าหน่อย ก็ต้องรีบรุดมาทำงานเลยหรือนี่
“แม่นางเฟิ่ง อย่านำเรื่องความผิดมาขู่พวกเราเลย พวกเราไม่กลัวหรอก การที่ข้าต้องมาเหยียบเรือนเล็กที่ซอมซ่อของเจ้าตั้งแต่เช้าตรู่ แน่นอนว่ามันเป็นเพราะหน้าที่ แม่นางเฟิ่งวางใจเถอะ ถึงแม้ว่าประตูบ้านของเจ้าจะถูกข้าพังเข้ามาแล้ว ก็ไม่ต้องทำการซ่อมแซมหรอก เพราะแม้แต่ชีวิตของเจ้าก็คงนำมันกลับมาไม่ได้อีกแล้วล่ะ” หัวหน้าราชองครักษ์แสยะยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความโหดเหี้ยม ไม่ต่างจากเพชฌฆาตดีๆนี่เอง
จะมาเอาชีวิตนาง? เหอะ ชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินมันเอาไปได้ง่ายๆเสียที่ไหน
“ท่านดูกล้าหาญจริงๆนะ คนที่ต้องการเอาชีวิตของคนที่ชื่อเฟิ่งชิงเฉินมีจำนวนไม่น้อย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสมหวังเลย เกรงว่าท่านเองก็ต้องผิดหวังเช่นเดียวกัน” เฟิ่งชิงเฉินไม่แยแสฝ่ายตรงข้าม คนพวกนี้อย่างเก่งก็แค่เป็นสุนัขรับใช้ของเจ้านาย เจ้านายสั่งให้มันไปกัดใครมันก็ต้องไปกัด
หัวหน้าราชองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ขุ่นเคืองยิ่งนัก แต่จะว่าไปที่เฟิ่งชิงเฉินพูดมามันก็ถูก แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่พอใจนางมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรนางไม่ได้เลย
หมากที่เล่นจนจบกระดานแล้วจึงจะดูมีมูลค่าเพิ่ม
เหอะ……หัวหน้าราชองครักษ์ทำเสียงเย้ยหยัน พร้อมโต้ตอบอย่างเสียงดังฟังชัด “ข้าไม่อยากเสียเวลากับผู้หญิงตัวเล็กๆหรอกนะ เฟิ่งชิงเฉิน นี่คือราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจับกุมเจ้า”
พรึ่บ……หัวหน้าราชองครักษ์คลี่กระดาษออกมาตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินสายตาดี บวกกับเนื้อความบนกระดาษตัวใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินมองไกลๆก็เห็นได้อย่างชัดเจน
“อะไรนะ? ท่านกั๋วกงเสียแล้ว?” นาทีนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจใจเย็นได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อวานนี้แค่รถม้าชนกัน เพียงแค่นั้นเขาก็ตายแล้วหรือ ปรักปรำ นี่คือการปรักปรำชัดๆ!
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟัน สายตาของนางเกรี้ยวกราดมาก นางก็นึกสงสัยอยู่ว่ารถม้าที่แล่นมาดีๆทั้งสองคัน จู่ๆจะมาชนกันได้อย่างไร ที่แท้ก็มีคนบงการอยู่เบื้องหลังนี่เอง นางใสซื่อเกินไป คิดว่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้เป็นเพียงเหตุบังเอิญ นึกไม่ถึงเลยว่านางจะติดกับของศัตรูเข้าเสียแล้ว
นางมั่นใจในฝีมือทางการแพทย์ของตนเองยิ่งนัก นางเป็นคนวิเคราะห์เก่ง การชนเพียงแค่นั้น ท่านกั๋วกงไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน จึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้ไปครุ่นคิด นึกไม่ถึงเลยว่า……
การที่รถม้าของท่านกั๋วกงและรถม้าของนางมาชนกัน แม้ท่านกั๋วกงจะไม่ตายก็ต้องตาย ถึงกับเอาชีวิตท่านกั๋วกงมาบีบนางให้จนมุม ถือว่าลงทุนได้ยิ่งใหญ่จริงๆ!
เห็นสีหน้าเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไป หัวหน้าราชองครักษ์ก็ยิ่งลำพองใจ “เมื่อวานนี้ หลังจากที่ท่านกั๋วกงกลับจวนไปก็อาการไม่สู้ดี และเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากการชันสูตรพบว่า ร่างกายท่านกั๋วกงได้รับแรงกระแทกอย่างหนัก เป็นผลให้หัวใจและปอดฉีกขาดจนกระทั่งเสียชีวิต แม่นางเฟิ่ง เท่าที่ข้าสังเกตเหตุการณ์แต่ละวันของท่านกั๋วกงตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมา นอกจากเหตุการณ์รถม้าชนกันเมื่อวานนี้ ท่านกั๋วกงก็ไม่เคยได้รับแรงกระแทกอย่างหนักจากที่ไหนมาก่อน แม่นางเฟิ่ง เจ้าคือผู้ต้องสงสัยในการสังหารท่านกั๋วกง ฮ่องเต้ทรงร่างราชโองการฉบับนี้ด้วยพระองค์เอง ขอให้เจ้าไปรับโทษ”
หมายความว่า แม้เฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ได้ฆ่าคนๆหนึ่งไปเสียแล้ว หากไปชนชาวบ้านธรรมดาก็คงไม่เกิดเรื่อง ใช้เงินแก้ปัญหาก็ได้แล้ว แต่ว่านี่เป็นท่านกั๋วกง ความนี้จึงไปถึงฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่พอใจต่อการจากไปของท่านกั๋วกง จึงมีคำสั่งลงมาเช่นนี้
ฮ่องเต้ขุ่นเคืองเรื่องการเสียชีวิตของท่านกั๋วกง จนไม่รับรู้เรื่องคอขาดบาดตายเรื่องอื่นๆเสียแล้ว ท่านกั๋วกงมาจากไปได้จังหวะเสียจริง
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ หากนางดันทุรังจะแก้ปัญหาในตอนนี้ก็คงเปล่าประโยชน์ ต่อให้นางจะอธิบายจนปากเปียกปากแฉะก็คงไม่มีใครเชื่อนาง ไม่ว่าท่านกั๋วกงจะตายเพราะใคร ในตอนนี้ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางปล่อยนางไปแน่นอน นี่คือโอกาสทองในการเอาชีวิตนาง
“ข้าจะไปกับพวกท่านเอง!” วันนี้นางคงหนีไม่พ้นแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยกมือขวาขึ้นมาแล้วเอาผมทัดหู เป็นการส่งสารให้สายลับรู้ว่า ในตอนนี้อย่าเพิ่งผลีผลาม
ตราบใดที่เสด็จอาเก้ายังไม่ตาย นางย่อมไม่เป็นไร ในสายตาของฮ่องเต้ นางก็เป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่งที่ฮ่องเต้ใช้ต่อกรกับเสด็จอาเก้า
“เชิญแม่นางเฟิ่งตามพวกเรามาได้เลย” คำพูดนี้ ดูเหมือนจะพูดอย่างดีอกดีใจ ราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลังก็หัวเราะชอบใจ หนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาอย่างกล้าหาญว่า “เคยได้ยินพี่ชายน้องชายของแม่นางเฟิ่งสาธยายว่าแม่นางเฟิ่งดุเหมือนพญาเสือ แต่เท่าที่ข้าเห็นก็คงเป็นแค่นางเสือที่ไร้เขี้ยว ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยสักนิด”
“เสืออะไรกัน ก็แค่ผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น จะไปกลัวนางทำไมล่ะ”
“ใช่แล้วๆ แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนมันก็เท่านั้นแหละ ลองฟาดหน้านางสักฉาดสิ เห็นไหมว่านางเชื่อฟังเราแล้ว”
……
พวกเขาหัวเราะกันอย่างครึกครื้น ทงจือกับทงเหยาถูกราชองครักษ์กักตัวอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินโดนดูหมิ่นเช่นนั้นก็โกรธเสียจนน้ำตาไหล หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินส่งสายตามาห้ามไว้ พวกนางก็คงมีเรื่องกับราชองครักษ์ไปนานแล้ว
“แม่นางเฟิ่ง ไปได้แล้ว” เมื่อหัวเราะเยาะกันจนพอใจแล้ว ราชองครักษ์ก็กล่าวอย่างจริงจัง มีชาย 2 คนถือโซ่ตรวนเข้ามาเพื่อที่จะมาล่ามเฟิ่งชิงเฉิน แต่กลับถูกนางตวาดใส่ “นี่พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร!”
“ฮ่าๆๆ มีอะไรที่พวกเราไม่กล้าบ้างล่ะ” ราชองครักษ์แกว่งโซ่ตรวจไปมา โดยทำท่าทางเย้าแหย่เฟิ่งชิงเฉิน หวังให้เฟิ่งชิงเฉินหวาดกลัว
“แม่นางเฟิ่ง อย่าว่าแต่ล่ามโซ่เจ้าเลยนะ ให้กดร่างเจ้าเอาไว้ใต้ร่างกายพวกเรา พวกเราก็กล้าทำ นี่แม่นางเฟิ่งยังหลงคิดว่าตัวเองเป็นที่โปรดปรานของเสด็จอาเก้าอยู่อีกหรือ ตอนนี้เขายังเอาตัวเองไม่รอดเลย แล้วจะมาปกป้องเจ้าได้อย่างไร เจ้าจงเชื่อฟังพวกเรา จะได้ไม่เจ็บเนื้อเจ็บตัวอย่างไรล่ะ”
“เยี่ยมไปเลย ข้ายังจำตอนนั้นได้ไม่ลืม ผิวแม่นางเฟิ่งขาวผ่องราวหิมะ ตอนที่ข้ามีบุญได้เห็นในตอนนั้น ข้าก็ยังจำได้จนขึ้นใจเลยล่ะ”
เขากำลังพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันแต่งงานของนาง หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินมีหน้ามีตาขึ้นมาแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าหยิบเรื่องนี้มาพูดอีก แต่เขาคนนี้กลับกล้าหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีกครั้ง ทำให้เฟิ่งชิงเฉินโกรธมาก……
แต่ถึงโกรธไปก็เท่านั้น สิ่งที่เขาพูดมามันก็คือความจริง นางไม่อาจลบล้างอดีตของตัวเองได้
เหล่าราชองครักษ์ที่ชั่วช้าทำให้นางต้องอับอาย ไม่รู้ว่ามีคุณหนูสักกี่คนที่ยอมฆ่าตัวตายเพราะถูกพวกเขาหยามหมิ่น แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่คิดที่จะทำเช่นนั้น
“บังอาจ พวกเจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้กล้าดีมาลบหลู่ท่านอาจารย์ของข้า” ซุนซือสิงบุกเข้ามายังที่เกิดเหตุ เขามาได้ยินคำพูดเหล่านี้เข้าพอดี ทำให้เขาโกรธจนเลือดขึ้นหน้า
ในสายตาของซุนซือสิง นี่คือความเจ็บปวดที่ท่านอาจารย์ของเขาต้องแบกรับไปตราบชั่วชีวิต ไม่มีทางที่จะจางหายได้!
“คุณชายซุนมาแล้ว” เมื่อทงจือและทงเหยาเห็นซุนซือสิงปรากฏตัวขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนเห็นต้นไม้ใหญ่ที่เป็นที่พึ่งพิง ในที่สุดก็มีผู้ชายมาปกป้องเจ้านายพวกนางแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มหน้าเศร้า จะหวังพึ่งทงจือ ทงเหยา หรือซุนซือสิงก็ไม่สู้นางพึ่งพาตัวเอง คำพูดของราชองครักษ์ไม่น่าฟัง นางฟังแล้วไม่สบายใจเลย แต่นางจะไม่เก็บคำพูดเหล่านี้เอาไว้ในใจนานมากจนเกินไป
เห็นซุนซือสิงโมโหจนหน้าแดง และมีท่าทางพร้อมลุยเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็รีบออกปากห้าม “ซือสิงไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นไร เจ้าอย่าวู่วาม”
ตอนนี้นางไม่สามารถปกป้องซือสิงได้ หากซือสิงเป็นอะไรไป จะให้นางไปสู้หน้าซุนเจิ้งเต้าและฮูหยินได้อย่างไร
“ท่านอาจารย์……” ซุนซือสิงทำหน้าผิดหวัง นางกำลังจะถูกล่ามโซ่อยู่แล้ว ยังจะบอกว่าไม่เป็นไรอีก
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกมันไม่กล้าลงมือกับข้าหรอก”
เมื่อพูดจบ ราชองครักษ์ก็ไม่รอช้า เขาโต้ตอบกลับด้วยท่าทีที่ดุดันมากกว่าเดิม “ไม่กล้าอย่างนั้นหรือ ยังจะมีอะไรที่พวกเราไม่กล้าอีก แม่นางเฟิ่งลำพองใจเกินไปแล้ว ข้าจะลงมือเดี๋ยวนี้เลย”
“เจ้าก็ลองดูสิ ดูซิว่าใครจะได้ตายก่อนกัน” เฟิ่งชิงเฉินหยิบปิ่นเฟิ่งออกมาจากอกเสื้อ นางชูปิ่นขึ้นมาและกล่าวว่า “ดูให้ชัดๆนะ อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”
“ปิ่นเฟิ่ง ปิ่นเฟิ่งที่อดีตฮ่องเต้เคยพระราชทานนี่” ไม่รู้ว่าใครร้องตะโกนขึ้นมา เมื่อคนอื่นๆเข้าใจเรื่องราวแล้ว ก็รีบคุกเข่าลงแทบไม่ทัน พร้อมกับป่าวร้องถวายพระพร……
นี่มันของวิเศษนี่นา ดีที่เสด็จอาเก้ากำชับนางไว้ว่าให้พกของสิ่งนี้ติดตัวไว้เสมอ
“ท่านหัวหน้าราชองครักษ์ ตอนนี้ยังอยากจะล่ามโซ่ข้าอยู่อีกหรือเปล่าล่ะ” ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินยืนหนึ่ง
“ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ” ราชองครักษ์ทั้งหลายต่างพากันก้มหน้า
พวกเขารู้แล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินมีปิ่นเฟิ่งอยู่ในมือ มิฉะนั้นคงไม่บุกมาแต่เช้าตรู่เช่นนี้ ซึ่งเป็นตอนที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนแรกพวกเขาเพียงต้องการทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถกลับไปใช้ปิ่นนี้มาขู่คนได้อีก ไม่นึกเลยว่า……
เฟิ่งชิงเฉินจะแต่งองค์ทรงเครื่องไว้เรียบร้อย แถมยังพกของล้ำค่าเช่นนี้ไว้กับตัว นางไม่กลัวไปทำหล่นบ้างเลยหรือ
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอขอบใจทุกคนมาก” เฟิ่งชิงเฉินปักปิ่นเฟิ่งลงบนผมแล้วกล่าวว่า “ท่านหัวหน้า นำทางไปได้แล้ว”
มีปิ่นเฟิ่งชิ้นนี้ติดตัวอยู่ แม้แต่ราชองครักษ์ก็มิบังอาจมาแตะต้องนาง แน่นอนว่า……หากฮ่องเต้เก็บปิ่นเฟิ่งชิ้นนี้ไป นางคงจะซวยแน่
“แม่นางเฟิ่ง เชิญขอรับ……” บุกมาจับคนอย่างป่าเถื่อน แต่กลับเชิญคนกลับไปอย่างสุภาพอ่อนน้อม ช่างเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก แต่การที่พวกเขาจะเล่นงานเฟิ่งชิงเฉิน ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง……
เมื่อราชองครักษ์เดินออกมาจากเรือนเล็กซีชวี ก็เป็นเวลาฟ้าสางพอดี เรือนเล็กซีชวีอยู่ห่างไกลจากพระราชวัง องครักษ์เสื้อโลหิต และซุ่นเทียนฝู่ ตามหลักแล้วควรเดินทางด้วยม้า แต่ราชองครักษ์กลับเลือกที่จะเดิน แถมยังตั้งใจเดินช้าๆด้วย เป็นการบีบบังคับให้เฟิ่งชิงเฉินเดินไปตามถนนหนทางในเมืองหลวงโดยมีราชองครักษ์คอยตามประกบอยู่ไม่ห่าง……