เมื่อผ่านไปหนึ่งคืน ทั่วทั้งเมืองหลวงก็ถูกหิมะปกคลุมไปในทันที แม้ว่าจะมีสีอื่นที่ปะปนกันมาบ้าง แต่ก็ไม่อาจหยุดหิมะสีขาวที่ค่อย ๆ โปรยปรายลงมาได้
นี่นับว่าเป็นหิมะที่ตกหนักที่สุดในรอบปีของตงหลิงเลยทีเดียว คล้ายกับว่า พระเจ้าต้องการปกปิดสิ่งที่โสมมเอาไว้ เพื่อเหลือไว้ให้เห็นแต่เพียงสิ่งที่ขาวสะอาดเท่านั้น
สภาพอากาศเช่นนี้ไม่เหมาะกับการเดินทางออกไปด้านนอกยิ่งนัก แต่ทว่า งานไว้อาลัยที่จวนกั๋วกงนั้น แม้ข้าราชบริพารระดับเล็ก ๆ จะไม่อยากไป ก็ต้องได้หอบสังขารตนเองเพื่อไปร่วมงานไว้ทุกข์ด้วยเช่นกัน
ทั้งบุตรชายและหลานชายของท่านกั๋วกงนั้น ต่างก็ก้มหัวคุกเข่าอยู่ภายในศาลาบรรพชน ถึงแม้ว่าจะไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่มาในงานมากนัก แต่ทว่า พิธีของจวนกั๋วกงก็ยังคงดำเนินการต่อไป จนกระทั่ง
“ผลัก” พลันมีเสียงกระทบดังมา นายน้อยซุนของจวนกั๋วกงนั้น มิรู้ว่าไปอุ้มลูกบอลสีดำมาจากที่ใด พร้อมทั้งนำมาวางไว้บนพื้น โดยที่มิทันได้ระวัง จนมันเคลื่อนตัวไปทางเตาผิงไฟในทันที
อ๊าย มิรู้ว่าเป็นเสียงผู้ใดที่กรีดร้องออกมากัน ผู้คนที่อยู่ภายในศาลาบรรพชน ต่างก็ตกกะใจขวัญหายไปตาม ๆ กันเลยทีเดียว ยามที่พวกเขากำลังเงยหน้าขึ้น เพื่อเอ่ยดุลูกหลานตนเองนั้น ก็พลันเห็นลูกบอลสีดำ ๆ กลิ้งมาพอดี
“นี่มันคืออะไรกัน?” ยังมิทันได้เอ่ยจบ ก็พลันมีคนร้องตะโกนขึ้นมาว่า “พระเจ้า ระเบิดเทียนเหล่ย มันคือระเบิดเทียนเหล่ย”
“ระเบิดเทียนเหล่ย มันคือระเบิดเทียนเหล่ยจริง ๆ รีบวิ่งเร็ว รีบวิ่ง”
“อย่า อย่าไห้มันไปโดนไฟได้ มันจะฆ่าคน เร็ว รีบเอามันออกมา” หรงชิงชิวพลันกรีดร้องออกมา เมื่อคุกเข่าอยู่ในศาลาบรรพชนเป็นเวลานานนั้น ขาทั้งสองข้างจึงมิค่อยมีแรงมากเท่าใดนัก แต่ทว่า สถานการณ์ในยามนี้ ทำให้นางมิสนสิ่งใดอีก พร้อมทั้งรีบวิ่งล้มคลุกคลานเพื่อไปเอาระเบิดเทียนเหล่ยออกมาในทันที
“อุแว้ อุแว้ อุแว้” นายน้อยซุนที่เป็นคนเริ่มเรื่องวุ่นวายทั้งหมด พลันล้มตัวนอนลงไปบนพื้น พร้อมทั้งร่ำให้ออกมา
ผู้คนที่อยู่ภายในศาลาบรรพชนนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนของจวนกั๋วกงหรือว่าผู้ที่มาร่วมไว้ทุกข์นั้น ทุกคนต่างพากันวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาด้านนอกในทันที ในยามนี้หาได้มีผู้ใดสนใจความเป็นใหญ่เป็นโตของผู้ใดไม่ ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกไป เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดกันหมด ในยามนี้ งานไว้อาลัยที่เป็นสีขาว ต่างก็กลายเป็นงานที่ดูมีชีวิตชีวาในทันที หลงเหลือไว้แต่เพียงร่างของท่านกั๋วกงที่ไม่มีผู้ใดจดจำได้ เอาไว้ภายในศาลาบรรพชนเท่านั้น
จวนกั๋วกงที่เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนั้น ฝ่าบาทจักมิทราบข่าวไปได้อย่างไรกัน เรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับระเบิดเทียนหล่ยนั้น หาใช่เรื่องเล็ก ๆ ไม่ เรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น จะทำอย่างไร ย่อมไม่อาจปิดบังลงไปได้
“ระเบิดเทียนเหล่ย ที่แท้ก็อยู่ที่จวนกั๋วกงนี่เอง เจิ้นมิควรเชื่อใจพวกเขาตั้งแต่แรกเลย” ฝ่าบาทรู้สึกโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งสั่งให้ราชองครักษ์นำกำลังไปค้นจวนกั๋วกงในทันที
พร้อมทั้งจับกุมผู้คนภายในจวนกั๋วกงเอาไว้ทั้งหมด ในยามนี้ จึงเหลือแต่เพียงร่างที่ไร้วิญญาณของท่านกั๋วกงที่อยู่ภายในศาลาบรรพบุรุษเท่านั้น โดยมิมีผู้ใดเหลียวแล นับว่าเป็นโชคดีนัก ที่อยู่ในช่วงฤดูหนาว มิเช่นนั้น หากผ่านไปได้วันสองวัน ศพคงส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมาเป็นแน่
ทหารราชองครักษ์ส่วนใหญ่ล้วนแต่โหดเหี้ยมยิ่งนัก ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็พลันค้นพบห้องลับภายในจวนกั๋วกง ที่มีระเบิดเทียนเหล่ยอยู่ภายในประมาณสิบกว่าลูกเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีส่วนของระเบิดเทียนเหล่ยที่ถูกชำแหละออกมาอีกด้วย นั่นแสดงให้เห็นถึงจิตใจที่มีความทะเยอทะยานของจวนกั๋วกง ที่พวกเขาคิดจะลอกเลียนแบบการทำระเบิดเทียนเหล่ยขึ้นมา
เมื่อสิ่งของเหล่านี้ ถูกนำมาถวายแด่องค์จักรพรรดิแล้วนั้น ฝ่าบาทพลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยวไปในทันที “ดีดีดี ช่างเป็นขุนนางที่ดีของเจิ้นจริง ๆ เจิ้นจะปฏิบัติตนไม่ดีต่อเขาได้อย่างไร”
ข้าราชบริพารระดับล่างที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจวนกั๋วกงนั้น แต่เดิมพวกเขาคิดที่จะร้องขอความเมตตาให้พวกเขา ก็พลันหยุดความคิดของตนเองโดยไว
ในเมื่อท่านกั๋วกงได้ตายไปแล้ว ความสัมพันธ์ที่เคยสร้างไว้เมื่อกาลก่อน ก็ย่อมค่อย ๆ เลือนหายไปตาม ๆ กัน หากว่าฝ่าบาทมีท่าทีโมโหแบบธรรมดานั้น พวกเขาก็ยังพอจะช่วยดูแลลูกหลานที่เหลืออยู่ให้ได้ แต่ทว่า ฝ่าบาทในยามนี้โมโหเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมาก พวกเขาย่อมมิกล้าเสี่ยงเอาชีวิตของตนเอง เพื่อเข้าไปช่วยเหลือคนของจวนกั๋วกงอย่างแน่นอน
ยามที่องค์จักรพรรดิโกรธเกรี้ยว ย่อมต้องฝั่งร่างผู้คนนับล้าน เลือดย่อมหลั่งไหลออกไปไกลเป็นพันลี้!
เรื่องที่จวนกั๋วกงลักลอบเก็บระเบิดเทียนเหล่ยเอาไว้กับตนนั้น เสมือนกับเป็นการไปแตะเกร็ดใต้คอมังกรในทันที ท่านกั๋วกงควรจะยินดีที่ตนเองตายก่อน มิเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ตายเร็ว ๆ นี้ ก็ย่อมไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้นานอยู่ได้นานนัก อีกทั้งในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้วนั้น แม้ว่าฝ่าบาทอยากจะปล่อยจวนกั๋วกงไปก็ไม่อาจทำได้ เรื่องการระเบิดภูเขาทั้งห้านั้น ต้องมีคนเป็นแพะรับบาปในเรื่องนี้ มิเช่นนั้นหากมีสายฟ้าฟาดลงมาอีกครั้ง ย่อมเป็นกล่าวเตือนของเบื้องบนที่ส่งลงมา เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นองค์จักรพรรดิที่เป็นสายเลือดของโอรสมังกรจริง ๆ หรือไม่ ตำแหน่งมังกรจะสามารถมั่นคงได้หรือไม่ได้ นั่นนับว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาเช่นกัน
เรื่องการระเบิดของภูเขาทั้งห้านั้น จะใช่ฝีมือของคนในจวนกั๋วกงหรือไม่นั้น หาใช่เรื่องสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญคือ เพื่อระบายความโกรธกรี้ยวหรือความไม่สบายใจของเหล่าราษฎรออกไป ต้องมีคนออกมาเป็นที่รองรับความโกรธเกรี้ยวของเหล่าราษฎรเหล่านั้นแทน
ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการระเบิดของภูเขาทั้งห้า มีเสด็จอาเก้าเป็นผู้เกี่ยวข้อง แต่ฝ่าบาทก็หาได้ต้องการสื่อความยาวสาวความยืดไม่ ในฐานะที่พระองค์เป็นถึงองค์จักรพรรดิของแว่นแคว้นนััน ความสันติของแว่นแคว้นย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด หากว่าภายในแคว้นเกิดความระส่ำระส่ายแล้วละก็ คนภายในยุทธจักรย่อมต้องสอดมือเข้ามาได้ง่าย
เรื่องของจวนกั๋วกงนั้น ฝ่าบาทจึงต้องการจัดการเรื่องนี้ให้ไวที่สุด ภายในสามวัน บทลงโทษทุกอย่างก็ได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาทจึงได้จัดการคิดบัญชีจวนกั๋วกงอย่างเงียบ ๆ ยึดตำแหน่งบุรุษลูกหลานที่เป็นขุนนาง พร้อมทั้งส่งเนรเทศไปที่เหมืองแร่ ส่วนเหล่าสตรีให้ส่งตัวไปยังหอโคมเขียว แม้แต่เด็กเล็ก ๆ ก็มิได้รับการยกเว้น หลงเหลือไว้แต่เพียงฮูหยินผู้เฒ่าประจำตระกูลที่ไร้การสนับสนุนจากตระกูลตนเอง นางที่ได้รับการยกเว้นจากโทษทัณฑ์ในครานี้ ถึงแม้ว่าจะได้รับความเมตตาแล้วอย่างไร อีกไม่นานนางก็ต้องตายจากไปอยู่ดี
เสมือนตรงกับคำว่า ความฉลาดเฉลียวในการคิดคำนวณ กลับกลายมาเป็นคิดคำนวณชีวิตตนเอง ฮูหยินผู้เฒ่าใช้เวลามาทั้งชีวิต ในการปีนป่ายตำแหน่งสาวใช้ขึ้นมาเป็นตำแหน่งฮูหยินประจำจวนตระกูล แต่ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นของตนเองอีกครั้ง
สิ่งใดที่มันควรจะเป็นของตนเอง ก็ย่อมเป็นของตนเองอยู่วันอย่างค่ำ หากสิ่งใดมิใช่ของตนเองนั้น ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจได้ครอบครองมันเช่นกัน ฮูหยินผู้เฒ่าต้องการความร่ำรวยที่มิใช่ของตนเอง ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งของนอกกายเหล่านั้น ก็ต้องกลับกลายเป็นของผู้อื่นในทันที ซ้ำร้ายยังเป็นการทำลายอนาคตของลูกหลานตนเองอีกด้วย นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนในคนราชวงศ์ ต่างก็ตกผลึกผลสรุปออกมาแล้วว่า เด็กที่โตมากับสตรีที่ไร้การศึกษา ย่อมไม่สามารถกลายเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมได้
โดยเฉพาะองค์หญิงอู่อัน หรงจิงชิวที่กำลังอยู่ในความรุ่งโรจน์ของจวนกั๋วกงนั้น ยามที่เกิดเรื่องระเบิดเทียนเหล่ยขึ้นมา นางก็วิ่งหนีหายไปในทันที มิมีผู้ใดรู้ว่าตอนนี้นางไปอยู่ที่ใดแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเสด็จอาเก้า นับว่ามาได้เวลาพอดี” หลังจากที่หวังจิ่นหลิงได้ยินดังนั้น ก็พลันยิ้มเจือน ๆ ออกมา มิรู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกผิดหวังหรือเสียใจดี
บุรุษผู้นั้น การที่เขามาสนใจในตัวชิงเฉินเช่นนี้ มิรู้ว่าควรจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น ก็พลันเอากระแสในกระดานหมากพลันเปลี่ยนทิศไปในทันที เมื่อไม่มีอำนาจของจวนกั๋วกงกดเอาไว้แล้วนั้น การจะนำคดีความขึ้นมาพิจารณาใหม่ ย่อมมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ฝ่าบาท เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้ เขาย่อมมิคนสนใจและไม่มีวันสนใจด้วย พวกเขาได้เริ่มค้นหาสาเหตุของการระเบิดของภูเขาทั้งห้าไปแล้ว หากฝ่าบาทยังต้องการที่จะตัดสินโทษเฟิ่งชิงเฉินอีก ก็นับว่าพระองค์ทำเกินกว่าเหตุ
เรื่องราวในราชสำนัก ถือได้ว่าเป็นการประนีประนอมอย่างหนึ่ง พวกเขาเองก์ถือว่าประนีประนอมต่อฝ่าบาทมาแล้ว น่าเสียดายนัก แต่เดิมพวกเขาต้องใช้เรื่องของการระเบิดภูเขาทั้งห้าลูก มาบังคับฝ่าบาทให้ปล่อยตัวเสด็จอาเก้าออกไป ในยามนี้คงได้แต่ต้องคิดหาทางอื่นไปก่อนแล้วกระมัง
“นำจดหมายของข้าไปที่ซุ่นเทียนฝู่ ให้ซุ่นเทียนฝู่นำคดีของเฟิ่งชิงเฉินรื้อขึ้นมาตรวจสอบใหม่เสีย” มีบางเรื่องที่มิจำเป็นต้องพูด เสด็จอาเก้าทำเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงย่อมรู้ว่าเขาควรจะเดินก้าวต่อไปเช่นไร ในขณะเดียวกัน
“ไป ไปตามหาพยานออกมาให้เจอ ข้าต้องใช้พวกเขา” หยุนเซียวนับว่าเป็นคนที่ตัดสินใจได้ดียิ่งนัก
คลื่นลมพลันเปลี่ยนทิศทางไปในชั่วข้ามคืน มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่มิได้รู้เรื่องราวอันใดเลยแม้แต่น้อย นางถูกขังอยู่ภายในคุก โดนไร้การเหลียวแลจากผู้คน เฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ภายในคุกรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนัก นางเอาแต่ขุดหลุมไปมา เพื่อที่จะจัดฉากหลบหนี
ผู้ใดจะไปรู้กันว่า เสด็จอาเก้าหาได้ให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือไม่ นางที่อยู่ในคุกมานานถึงสิบวัน หลุมหลบหนีก็ถูกขุดขึ้นมาแล้ว ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังหมกมุ่นอยู่กับแผนการหลบหนีของตนเองนั้น เมื่อยามราตรีคืบคลานมาเมื่อใด นางจะได้หนีออกไปในทันที ผู้ใดจะไปรู้กันว่า ยามที่นางกำลังเตรียมตัวหลบหนีนั้น เมื่อตกตอนบ่ายของวันนั้น ก็พลันมีทหารเดินเข้ามา
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าออกไปได้แล้ว”
“หา?” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันตกอยู่ในอาการงุนงงไปในทันที สิบวันที่ผ่านมานั้น นางราวกับว่าถูกตัดขาดจากโลกภายนอก นางย่อมมิรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ทว่า เมื่อเห็นประตูเหล็กถูกเปิดออกมานั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แต่รีบเดินออกจากคุกไปในทันที
“อื้มอะไรกัน รีบไป” สีหน้าของนายทหารผู้นั้น หาได้ใจดีไม่ แม่นางผู้นี้คงมิได้ดีใจจนกลายเป็นบ้าไปแล้วกระมัง
หลังจากที่นายทหารผู้นั้น ใช้สายตาประเมินเฟิ่งชิงเฉินไปครู่หนึ่ง ด้วยสีหน้าที่ดูไม่แยแสสิ่งใด เขาก็พลันตกตะลึงไปในทันที
เป็นไปไม่ได้ เฟิ่งิงเฉินที่อยู่ภายในคุกยามฤดูหนาวเช่นนี้ ทั้งยังได้กินแต่โจ๊กเพียงแค่สามมื้อต่อวัน มิมีทั้งผ้าห่ม มิมีทั้งเตาผิงไฟ นางอยู่ภายในนั้นถึงสิบวัน แต่เฟิ่งชิงเฉินในยามนี้กลับดูมีพลังงานเต็มเปี่ยม สีหน้ายังคงมีเลือดฝาด นับว่าสวนทางกับความเป็นจริงยิ่งนัก