นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 628 สายไปแล้ว ปลุกฝังความหลงไหล

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เสด็จอาเก้า แม้ว่าเขาจะอยู่ในคุกเหมือนกัน แต่หาได้เหมือนเฟิ่งชิงเฉินไม่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายนอกนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้เห็นด้วยตา แต่ทว่า ทุกเรื่องเขาล้วนแต่เข้าใจได้เป็นอย่างดี เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแต่เป็นไปตามที่เขาได้วางแผนเอาไว้

ด้วยหน้าต่างเล็ก ๆ ภายในคุกนั้น เสด็จอาเก้าที่นำมือสองข้างไพล่หลังเอาไว้ พร้อมทั้งกล่าวพึมพำกับตนเองว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าควรจะได้ออกไปข้างนอก วางใจเถิด ความอยุติธรรมที่เจ้าได้รับ ย่อมไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน”

จวนกั๋วกงนั้น ก่อนหน้านั้นที่เขามิคิดลงมือ เนื่องจากว่าสิ่งที่ต้องแลกมันมานับว่ามีราคาแพงเกินไป แต่ทว่าในยามนี้ เพื่อเฟิ่งชิงเฉินแล้ว ด้วยราคาเช่นนี้ เขายินยอมที่จะจ่ายมัน เช่นนั้นมันเกี่ยวข้องกับข่าวลือความไม่พอใจของพระเจ้างั้นหรือ?

ฮึ เสด็จพี่ของเขาช่างไร้เดียงสาเสียจริง ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ เขาหาได้เคยรับปากสิ่งใดไปไม่ เขาเพียงแค่ทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำเท่านั้น อีกทั้งการที่เฟิ่งชิงเฉินได้ออกจากคุกนั้น ก็เป็นเพราะว่า นางคือผู้บริสุทธิ์ที่แท้จริง

ตึกตึกตึก เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาค่อย ๆ เดินเข้ามา ใบหูของเสด็จอาเก้าพลันขยับไปมาเล็กน้อย ทว่า เสด็จอาเก้าก็ยังคงรักษาท่วงทาของตนเองไว้เช่นเดิม คล้ายกับว่า เขาหาได้ยินเสียงสิ่งใดไม่

“เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ” ตงหลิงจื่อลั่วที่ยืนอยู่ตรงข้ามห้องคุมขังนั้น พลันมองไปยังแผ่นหลังของเสด็จอาเก้าด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง

เสด็จอาผู้นี้ ทำให้รู้สึกเข้าใจยากยิ่งนัก ถึงแม้ว่าพระองค์จะดูคล้ายไม่แยแสสิ่งใด แต่ทว่า เพียงแค่พลิกฝ่ามือกลายเป็นเมฆ คว่ำมือกลายเป็นฝน แม้ว่าตนเองจะอยู่ภายในห้องขัง แต่กลับสามารถควบคุมเรื่องราวภายนอกได้เป็นอย่างดี

เรื่องที่ค้นพบระเบิดเทียนเหล่ยที่จวนกั๋วกงนั้น หากมีผู้ใดบอกว่ามันไม่มีความเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้านั้น ต่อให้ตีเขาจนตายเขาก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่ทว่า เขามิค่อยเข้าใจนัก เสด็จอาเก้าที่ถูกคุมขังอยู่ในคุกเช่นนี้ แต่เหตุใดเขาถึงสามารถควบคุมเรื่องราวภายนอกได้กัน?

อำนาจและคนที่เสด็จอาเก้ามีอยู่นั้น แข็งแกร่งมากเพียงใด ถึงสามารถทำให้เสด็จพ่อของเขาอิจฉาริษยา จนกระทั่งอยากได้มันมาครอบครองมากถึงเพียงนี้ ต้องแข็งแกร่งมากเพียงใด ถึงได้จัดการเรื่องราวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวและไร้ที่ติได้

เสด็จอาเก้าหาได้สนใจตงหลิงจื่อลั่วไม่ พระองค์เพียงแค่ยืนหันหลังให้กับตงหลิงจื่อลั่วอยู่เช่นนั้น ชายอาภรณ์ที่นิ่งสงัด มิมีการเคลื่อนไหวอันใด ราวกับจะเป็นการบอกกล่าวอย่างไร้เสียงว่า เจ้าของอาภรณ์ของพวกมันนั้น มีความเย่อหยิ่งมากเพียงใดกัน

ตงหลิงจื่อลั่วเอง ก็หาได้โวยวายไม่ ยังคงเอาแต่รำพึงรำพันกับตนเองว่า “เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ ทั้ง ๆ ที่พระองค์ใส่ใจเฟิ่งชิงเฉินถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงมิคิดพูดออกมากัน ท่านทำเพื่อนางมากมายถึงเพียงนั้น เสียสละทุกอย่างมากถึงเพียงนี้ แต่ทว่า นางหาได้รู้เรื่องอันใดไม่ ในสายตาของคนภายนอก ย่อมเห็นแต่เพียงหวังจิ่นหลิงและหยุนเซียวเท่านั้น ที่กำลังวิ่งเต้นทำทุกอย่างเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อที่จะชำระล้างมลทินให้กับนาง หาได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับท่านไม่”

“เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ ท่านทำถึงเพียงนี้ มันคุ้มแล้วหรือเพียงเพราะสตรีนางเดียว นางเป็นเพียงแค่ของเล่นของท่านมิใช่หรือ ในใต้หล้ามีสตรีนางใดบ้าง ที่ท่านไม่สามารถไขว่คว้านางมาได้ ท่านก็เป็นคนพูดออกมาเองมิใช่หรือ ก็แค่สตรีนางเดียว เหตุใดต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทนนางด้วย แต่ท่านหาได้ทำตามที่ตนเองเคยพูดไม่? เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ หลานมิค่อยเข้าใจในตัวท่านเลย”

เขารู้สึกสับสนยิ่งนัก สิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดในวันนั้น และทัศนคติของพระองค์หาได้เป็นสิ่งหลอกลวงไม่ ยามที่เขาคิดว่า เสด็จอาเก้าคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นของเล่นของตนนั้น เสด็จอาเก้ากลับกระทำในสิ่งที่เขาต้องตกใจออกมา

เสด็จอาเก้า เหตุใดท่านถึงเข้าใจได้ยากถึงเพียงนี้

ตงหลิงจื่อลั่วเอาแต่พูดเช่นนั้น ทว่า เขาหาได้เป็นการถามเพื่อต้องการคำตอบไม่ หากแต่เป็นการกระทำตัวที่คล้ายกับบรรพบุรุษกำลังถามไถ่ลูกหลานของตนเอง พลันระบายความสับสนและความว้าวุ่นภายในใจของตนเองออกมา

สองวันก่อน เหยาหวามาหาเขา พร้อมทั้งกล่าวว่า นางมิต้องการแต่งให้กับจื่อชุน เรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้น เป็นแผนการที่เสด็จอาเก้าได้เตรียมเอาไว้ หาได้เป็นนางที่ทำตนเองไม่ ผู้ที่นางรักก็คือเขา นางยินยอมที่จะติดตามเขาไปโดยมิสนใจแม้แต่ชื่อเสียงของตนเองเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังพูดออกมาอีกว่า หากเขารักนางจริง เขาย่อมต้องไม่เอาความกับนางเรื่องในคืนนั้นด้วยเช่นกัน

คำพูดของเหยาหวานั้น ทำเอาเขาใจเต้นไปชั่วขณะเลยทีเดียว เหยาหวานางคือสตรีรักแรกพบของเขา ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้รักนาง แต่เขาก็รู้สึกผูกพันกับนาง ทว่า

สตรีถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแต่ของเล่นเท่านั้น เ พื่อเหยาหวาแล้ว เขาจะกระทำตัวต่อต้านจื่อชุนเพื่อความแค้นของตนเองได้อย่างไร จื่อชุนเป็นที่รักที่โปรดปรานของเสด็จพ่อมากนัก หากเขากระทำการหักหน้าจื่อชุนเช่นนั้น เสด็จพ่อย่อมไม่ปล่อยเขาเอาไว้อย่างแน่นอน

ฉะนั้นแล้ว การที่เขามาหาเสด็จอาเก้า ก็เพื่อต้องการจะพูดคุยกับเสด็จอาเก้า บางทีเขาอาจจะได้คำตอบอะไรบ้างจากการพูดกับเสด็จอาเก้าในครั้งนี้ก็เป็นได้

ตงหลิงจื่อลั่วเอาแต่พูดอยู่อย่างนั้น เสด็จอาเก้าเองก็หาได้ตอบอันใดกลับไปไม่ จนกระทั่งตงหลิงจื่อลั่วกล่าวถามว่า “เสด็จอาเก้าพ่ะย่ะค่ะ ท่านคิดว่า ต้องทำเช่นไรถึงจะเป็นองค์ชายที่ดีได้กัน?ทำเช่นไรถึงจะเหมาะสมต่อการเป็นคนในราชวงศ์?”

“จิตใจแปลกประหลาด อารมณ์มากหลากหลาย ความคิดยากที่จะคาดเดา แม้แต่กระทั่งตนเองก็สามารถหลอกลวงตนเองได้” เสด็จอาเก้าพลันหันกายกลับมา ริมฝีปากที่บางเบาของเขา ก็ค่อย ๆ ขยับไปมา นี่เป็นประโยคแรกที่เขาจะพูดกับตงหลิงจื่อลั่วในวันนี้

ตงหลิงจื่อลั่วพลันตกตะลึงไปในทันที เขามิคิดเลยว่าเสด็จอาเก้าจะตอบเขากลับมาจริง ๆ เมื่อได้สติกลับมานั้น ก็พลันโค้งคำนับกล่าวขอบคุณเสด็จอาเก้าในทันที “ขอบพระทัยเสด็จอาเก้าที่สั่งสอนหลานพ่ะย่ะค่ะ”

“เปิ่นหวางหาได้มีเวลาว่างพอที่จะมาสั่งสอนเจ้าไม่ หากเจ้าไม่มีอันใดแล้ว ก็อย่าได้คิดมารบกวนเปิ่นหวางเลย เปิ่นหวางมิต้องการจะเห็นหน้าเจ้า ฝากไปบอกกับเสด็จพ่อของเจ้าด้วยว่า เขานำสิ่งของในมือของเปิ่นหวางออกไปมากพอแล้ว ความอดทนของเปิ่นหวางย่อมมีขีดจำกัดของมันเช่นกัน อย่าได้คิดบีบบังคับเปิ่นหวางให้มาก”

นี่ถือเป็นคำเตือน เป็นคำเตือนที่เสด็จอาเก้าต้องการส่งไปบอกกับองค์จักรพรรดิ เรื่องของเฟิ่งชิงเฉินนั้น เขาจะถอยให้หนึ่งก้าว แต่มิได้หมายความว่าเขาจะถอยให้ในทุกครั้ง

เสด็จอาเก้ากำลังเอ่ยเตือนองค์จักรพรรดิว่า อย่าได้คิดนำเฟิ่งชิงเฉินออกมาเป็นเป้าล่ออีก หากมีอีกครั้งหนึ่ง เขาไม่สนใจว่าปลาจะตายแหจะขาดหรือไม่

“เสด็จอา” สีหน้าของตงหลิงจื่อลั่วพลันซีดเผือดไปในทันที เขามิอยากจะเชื่อเลยว่า คำพูดที่ดื้อรั้นเช่นนี้ จะเป็นเสด็จอาเก้าที่เป็นคนเอ่ยออกมาด้วยตนเอง

เสด็จพ่อกล่าวว่า เสด็จอาเก้าทั้งดื้อรั้น ดื้อดึงมิเชื่อฟัง นับว่าไม่ผิดนัก

“ทำไมหรือ? เปิ่นหวางกล้าพูดแล้ว เจ้าจะมิกล้านำไปทูลงั้นหรือ? เช่นเจ้านั้น การที่จะเป็นองค์ชายที่ดีได้ มีฐานะเป็นถึงองค์ชายของแว่นแคว้น หากความกล้าเช่นนี้ไม่มี ก็อย่าได้คิดได้ฝันถึงตำแหน่งนั้นเลย” เสด็จอาเก้าพลันแย้มยิ้ม พร้อมกับพรั่งพรูวาจาเยาะเย้ยออกมา จื่อลั่ว ในเมื่อเจ้าเรียกเปิ่นหวางว่าเสด็จอาเช่นนี้ เปิ่นหวางจะขอเตือนเจ้าเอาไว้สักประโยค มีบางเรื่องที่ต่อให้ร้อนใจอยากได้มากเพียงใดก็ไม่อาจได้ เสด็จพ่อของเจ้ายังเด็กเกินไปนัก”

นั่นก็หมายความว่า หากตงหลิงจื่อลั่วต้องการขึ้นเป็นจักรพรรดินั้น แม้ว่าจะต้องรอเสด็จพ่อของเขาตายไป ก็ยังต้องรออีกหลายสิบปี ภายในสิบปีนั้น ย่อมมีเรื่องราวมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ กลุ่มสตรีในวังหลังที่กำลังคลอดองค์ชาย องค์หญิงออกมานั้น นั่นเป็นสิ่งที่ตงหลิงจื่อลั่วควรจะเป็นกังวลเสียมากกว่า

ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วพลันเบิกกว้างไปในทันที พร้อมกับถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว “เสด็จอา ท่านคิดมากเกินไปแล้ว หลานหาได้มีความคิดเช่นนั้นไม่” สิ่งที่คิดกับสิ่งที่พูดนั้นเป็นคนละเรื่องกัน หากพูดออกมาเช่นนี้ เสด็จพ่อย่อมมิปล่อยเขาไปแน่

“หากไม่มีก็ดี จะได้มิต้องไปจบที่ต้องตบแต่งผู้ใดสักคน สถานที่เช่นวังหลังหาได้เป็นสถานที่ที่ขาดสตรีเพศไม่ อีกทั้งก็ยังเป็นสถานที่ที่มิขาดองค์ชายเช่นกัน” คำพูดที่ดูเหมือนจะเป็นการพูดออกมาอย่างมิตั้งใจนั้น กลับเป็นใจความที่สำคัญมากที่สุด

วังหลังยังมีสตรีที่เข้ามาใหม่อีกกลุ่มหนึ่ง และยังมีบุตรที่เซี่ยกุ้ยเฟยกำลังจะคลอดออกมาอีก หากคิดจะต่อสู้ ก็ควรจะเริ่มเสียตั้งแต่ตอนนี้

เขารอคอยยิ่งนัก การต่อสู้ระหว่างฮองเฮากับเซี่ยกุ้ยเฟย และสตรีหน้าใหม่เหล่านั้น

ทำสิ่งใดไป ย่อมได้สิ่งนั้นคืนสนอง ในเมื่อฝ่าบาทมีปัญหากับสตรีของเขามากนัก เช่นนั้นเขาก็จะคอยปั่นหัวสตรีของฝ่าบาทคืนบ้างเช่นกัน

“ขอบพระทัยคำสอนสั่งของเสด็จอา หลานจะมันให้ขึ้นใจเลยพ่ะย่ะค่ะ หลานยังมีภาระที่ต้องไปจัดการอีกมาก เช่นนั้นหลานจะไม่รบกวนเสด็จอาแล้ว ในคราหน้าหลานจะมาเยี่ยมเยือนเสด็จอาใหม่พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่เสด็จอาเก้ามองมาอย่างรู้ทันนั้น หัวใจของตงหลิงจื่อลั่วราวกับหยุดเต้นไปในทันที เมื่อมาถึงปากทางเข้าห้องคุมขังนั้น เขาจึงได้หยุดฝีเท้าลง พร้อมกับจัดการอาภรณ์ของตนเองให้เรียบร้อย เพื่อที่จะควบคุมอารมณ์ของตนเองให้กลับมาเป็นปกติดังเดิม

ด้านหน้าประตู มีองครักษ์ทั้งสี่นายอยู่ที่นั่น ยามที่ตงหลิงจื่อลั่วเดินออกไปนั้น ก็พลันชี้ไปยังองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายทั้งสองคนว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนคอยเฝ้าที่นี่เอาไว้ คอยจับตามองดูเสด็จอาเก้าแทนเปิ่นหวาง”

องครักษ์ทั้งสองคนนี้นับว่าเป็นผู้มากฝีมือ การที่ฝ่าบาทตั้งใจส่งพวกเขามาให้ตงหลิงจื่อลั่วนั้น เรื่องจากว่า เรื่องของจวนกั๋วกงนั้น เสด็จอาเก้ามีปฏิกิริยาที่รอดเร็วนัก เสด็จพ่อจึงรู้สึกคุกที่คุมขังเสด็จอาเก้าอยู่ อาจเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้นมาได้ ทว่า พระองค์หาได้มีเวลามาจัดการดูแลด้วยตนเองไม่ จึงได้สั่งให้เขาลงมาดูแทน

เมื่อหัวหน้าของชุดคุมขังได้ยินเช่นนั้น ก็พลันหันไปสบตากับคนของตน พร้อมทั้งพยักหน้าลงเล็กน้อย จากนั้นก็ฉวยโอกาสเดินไปที่ห้องคุมขังนั้นในทันที

“เสด็จพี่ที่แสนดีของข้า เพิ่งมานึกได้เช่นนี้ มันสายไปแล้วหรือไม่!”

หลายวันที่ผ่านมานั้น สิ่งที่เขาต้องจัดการ เขาก็ได้จัดการไปล่วงหน้าหมดแล้ว ในยามนี้ เพียงแค่รั้งรอผลลัพธ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่านั้น

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท