เสด็จอาเก้าชอบนางหรือไม่?
เฟิ่งชิงเฉินพลันเอียงหัวเล็กน้อย ดวงตาที่คล้ายกับเหม่อลอย เสมือนว่านางมิรู้จะตอบเช่นไรดี
ซูโหยวพลันร้อนใจยิ่งนัก พร้อมทั้งพูดจาเกลี้ยกล่อมเพิ่มว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าบอกกับข้า เสด็จอาเก้าชอบเจ้าหรือไม่?”
คำตอบนี้ สำหรับพวกนางแล้วนับว่ามีความสำคัญยิ่งนัก ซูโยวมิกล้าปล่อยไปเลยแม้แต่นิดเดียว ขอเพียงแค่นางมั่นใจในจุดนี้ พวกเขาก็จะสามารถหาแผนการมาตอบโต้เสด็จอาเก้าได้
“ไม่รู้ บางทีก็ชอบ บางทีก็ไม่ชอบ” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับมาอย่างซื่อ ๆ
“จะไม่รู้ได้อย่างไรกัน ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ” ซูโหยวร้อนใจยิ่งนัก พลางตวาดน้ำเสียงที่เล็กแหลมของนางด้วยความโมโห เฟิ่งชิงเฉินเสมือนกับว่าตกใจไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่ากำลังจะตื่นจากภวังค์
ซูโหยวจึงใช้มือแกว่งลูกปัดอีกครั้ง ลูกปัดสีเขียวจึงแกว่งไปมาตามแรงโน้มถ่วงในทันที พร้อมกับเฟิ่งชิงเฉินที่ตกอยู่ในอาการเหม่อลอยดังเดิม
ซูโหยวค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย
นี่เป็นโอกาสเดียวของนางแล้ว หากมีครั้งหน้าอีก ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสที่เหมาะเจาะเช่นนี้หรือไม่
เฟิ่งชิงเฉินที่เพิ่งออกมาจากคุกนั้น ร่างกายของนางย่อมต้องเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย เมื่อร่างกายของนางอ่อนแอเช่นนี้ การป้องกันตนเองย่อมต้องลดน้อยลง เมื่อรวมไปถึงกลิ่นไม้สงบใจที่นางเอามาเป็นตัวช่วยด้วยนั้น พลันทำให้วิชาสะกดของจิตของนางใช้การได้ดียิ่งขึ้น หากเป็นในยามปกติละก็ เฟิ่งชิงเฉินที่มีจิตใจและทักษะทางกายที่แข็งแกร่งนั้น ย่อมไม่อาจหลงกลวิชาสะกดเช่นนี้ได้
ซูโหยวยังคงไม่ถอดใจ พร้อมกับกล่าวถามด้วยคำถามเดิมอีกว่า “เสด็จอาเก้าชอบเจ้าหรือไม่?”
“มีบางครั้งชอบ บางครั้งไม่ชอบ” นางก็ยังคงได้รับคำตอบเช่นเดิม ซูโหยวรู้สึกท้อแท้ยิ่งนัก แต่นางก็พอจะเข้าใจได้ว่า บางทีเฟิ่งชิงเฉินอาจจะไม่รู้จริง ๆ ว่าเสด็จอาเก้าชื่นชอบนางหรือไม่
คนเช่นเสด็จอาเก้านั้น ความคิดลึกล้ำมากเกินไป เกรงว่า แม้แต่ตนเองก็ยังคงไม่รู้กระมังว่าตนเองคิดกับเฟิ่งชิงเฉินเช่นไรกันแน่
ซูโหยวจึงมิคิดติดใจกับคำถามนี้อีก พร้อมทั้งเริ่มถามคำถามใหม่ขึ้นมาว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าแก้หมากในกระดานได้อย่างไร?”
นี่นับว่าเกี่ยวพันถึงเรื่องการแพ้หรือชนะของตระกูลซูเลยทีเดียว นางไม่อาจพ่ายแพ้ได้
“ไม่มีทางแก้” ปัญหานี้ นับว่าเฟิ่งชิงเฉินตอบได้อย่างสบายอารมณ์
“เจ้าที่วางแผนหมากในกระดานตนเอง จะไม่รู้วิธีแก้ได้อย่างไรกัน?” ซูโหยวมิเชื่อ
“มันเป็นทางตัน ไม่มีทางแก้ได้”
อะไร? ทางตัน?
ดี ดียิ่งนักเฟิ่งชิงเฉิน
หากมิใช่ว่ายังอยู่ในช่วงของการสะกดจิตนั้น ซูโหยวคงอดไม่ได้ที่จะตบเฟิ่งชิงเฉินไปหนึ่งฉากเสียแล้ว เฟิ่งชิงเฉินผู้นี้ นับว่าน่ารังเกียจเสียจริง นางสร้างหมากที่ไม่อาจหาหนทางมาแก้ได้ เพื่อมาตบหน้าตระกูลซูเช่นนี้
ทำเกินไป!
เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ารอได้เลย ข้าจะค่อย ๆ คิดบัญชีแค้นกับเจ้าเอง
ซูโหยวพยายามข่มความโกรธเกรี้ยวภายในใจของนางลงไป จากนั้นจึงถามต่อว่า “เฟิ่งชิงเฉิน ปิ่นเฟิ่งของเจ้าอยู่ที่ใด?”
ในเมื่อคำถามสำคัญไม่อาจได้รับคำตอบนั้น ถ้าหากแม้ว่าปิ่นเฟิ่งนางยังไม่อาจหาคำตอบมาได้ นางก็ไม่รู้จะมีหน้าไปบอกกับองค์ชายสามเช่นไรแล้ว
“ปิ่นเฟิ่งอยู่บนหัว”
บนหัวของเฟิ่งชิงเฉินหาได้มีปิ่นเฟิ่งไม่ ซูโหยวเห็นตั้งแต่แรกแล้ว “เจ้าลองคิดดูดี ๆ เสีย เจ้านำปิ่นเฟิ่งไปไว้ที่ใดกัน?”
“ปิ่นเฟิ่งอยู่บนฟ้า ปิ่นเฟิ่งอยู่บนคุกหลวง จากนั้นก็ไม่เจออีกเลย”
คำตอบเช่นนี้ทำเอาซูโหยวแทบกระอักเลือดไปเลยทีเดียว จักรพรรดิตงหลิงผู้นั้น ลงมือก่อนนางไปก้าวหนึ่งแล้วงั้นหรือ ทำเกินไปแล้ว
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ารู้จักระเบิดเทียนเหล่ยหรือไม่?” ซูโหยวยังคงถามต่อไป
“รู้”
“เจ้าทำเป็นหรือไม่?” ข้อสงสัยขององค์ชายสามนั้น เสมือนกับว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรู้วิธีทำระเบิดเทียนเหล่ย ฉะนั้นแล้ว เขาจึงอยากให้นางมาลองถามลองเชิงเฟิ่งชิงเฉินดู
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้าไปมา “ไม่รู้”
นอกจากข้อมูลที่ไร้ประโยชน์บางอย่างแล้ว ซูโหยวหาได้ข้อมูลอะไรออกมาจากปากเฟิ่งชิงเฉินไม่ ในเวลานี้เอง ก็เป็นซูโหยวที่ไม่อาจทนออกมาได้อีก บนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อมากมาย พร้อมทั้งแย้มยิ้มออกมาเพื่อที่จะถามคำถามสุดท้าย “เฟิ่งชิงเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้ามีความลับบางอย่างภายในตัวของเจ้า จงบอกเล่าความลับของเจ้ามาให้ข้าฟังเสีย”
ผู้ใดจะไปรู้ว่า เมื่อได้ยินคำถามนั้น เฟิ่งชิงเฉินเอาแต่ส่ายหน้าไปมา สีหน้าพลันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเกินทน แววตาของนางพลันล่อกแล่กไปมา หาได้เลื่อนลอยเหมื่อนในคราแรกไม่ พร้อมกับร้องตะโกนออกมาไม่มีหยุด
“ความลับ พูดไม่ได้ พูดไม่ได้ ต้องตาย ต้องตายแน่ ๆ ”
“โอ๊ย “ซูโหยวพลันรู้สึกปวดที่หัวคิ้วของนางในทันที หลังจากที่นางถูกกระแทกบนรถม้านั้น ลูกปัดสีเขียวภายในมือ ก็กลิ้งตกหล่นลงไปที่พื้น
ซูโหยวหาได้สนใจมันไม่ ตายังคงจ้องมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่กะพริบ เฟิ่งชิงเฉินมีความลับจริง ๆ ในตัวของนางมีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ถึงทำให้นางมิสนสิ่งใด พร้อมทั้งดิ้นรนที่จะออกจากการสะกดจิตของนางเช่นนี้
ดูเหมือนว่าจะเป็นความลับที่ไม่ธรรมดาแล้ว แววตาของซูโหยวพลันทอประกายระยิบระยับออกมา
นางจะต้องค้นหาความลับภายในตัวเฟิ่งชิงเฉินให้เจอ
ความลับที่แม้จะต้องตาย ความลับเช่นนี้ถึงคู่ควรที่นางจะตามหา
ผลัก เสมือนกับว่ารถม้าชนเข้ากับอะไรบางอย่าง ทั่วทั้งรถม้าพลันสั่นสะเทือนไปมาอย่างรุนแรงเลยทีเดียว เฟิ่งชิงเฉินที่นั่งด้วยท่าทางไม่มั่นคงนั้น พลันโผล่เข้าไปหาซูโหยวที่นั่งอยู่ด้านหน้าของนางในทันที ซูโหยวจึงโดนผลักให้ไปชนกับพนักพิงของรถม้า จนทำให้ท้ายทอยของนางรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก นางเจ็บเสียจนใบหน้าซีดเผือดไปในทันที
ยามที่รถม้าค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติดังเดิมนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อย ๆ สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา พร้อมกับลุกออกจากตัวของซูโหยว แล้วจึงจับไปที่หัวของตนเอง “ข้า เป็นอันใดไป?”
“รถม้าตกหลุม แม่นางเฟิ่งจึงล้มลงไปเจ้าค่ะ” ถึงแม้ว่าภายในใจของซูโหยวจะรู้สึกมิค่อยสบอารมณ์นัก แต่ทว่าในยามนี้ นางทำได้เพียงแต่ตอบกลับไปด้วยท่าทีที่อ่อนโยนเท่านั้น
“งั้นหหรือ? แต่เหตุใดข้ารู้สึกเหนื่อยยิ่งนัก เสมือนกับหลับไปนานมากแล้ว” สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพลันเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งยังไม่หยุดที่จะลูบหัวของตนเอง มือซ้ายของนางยังคงกำหมัดแน่น
“เกรงว่าแม่นางเฟิ่งคงจะเวียนหัวเพราะรถม้ากระมัง มิเป็นไรเจ้าค่ะ แค่ได้พักผ่อนเดี๋ยวอาการก็จะดีขึ้นมาเอง” ซูโหยวพยายามเกลี้ยกล่อม เมื่อเฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่เช่นนั้น ก็พลันคิดไม่ออกขึ้นมา นางจึงทำตามอย่างว่าง่าย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ซูโหยวที่เห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมิติดใจอันใดนั้น นางก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ทั้งสองคนเมื่อนั่งประจำที่แล้ว ซูโหยวที่ไม่อาจทนกับความอึดอัดใจของตนเองได้นั้น ก็พลันรินน้ำชา หาของว่างมาให้กับเฟิ่งชิงเฉินในทันที คล้ายกับว่านางกำลังเชิดชูเฟิ่งชิงเฉินอยู่ เมื่อมาถึงเรือนเล็กซีซวีแล้วนั้น ซูโหยวก็แสร้งทำเป็นว่าไม่อยากจะจากเฟิ่งชิงเฉินไปเลยแม้แต่น้อย เมื่อกลับเข้าไปบนรถม้า นางก็สลบเหมือดไปในทันที
เฟิ่งชิงเฉินที่ยืนอยู่ตรงที่เดิมนั้น พลันมองตามไปยังรถม้าด้วยสายตาที่เย็นชา มือซ้ายยังคงกำหมัดเอาไว้แน่น พร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากมือ
“ใช้วิชาสะกดจิตกับข้างั้นหรือ ข้าจะเล่นงานเจ้าให้ตายเลยทีเดียว ต้องการจะรู้ความลับของข้า? หากไม่กลัวตายก็เข้ามา”
เฟิ่งชิงเฉินพลันสะบัดมือซ้ายของตน พร้อมทั้งหันกายเดินเข้าเรือนเล็กซีซวีไปในทันที ทิ้งไว้แต่รอยเลือดที่สาดกระเซ็นอยู่บนพื้น คล้ายกับดอกไม้สีแดงที่บางสะพรั่งก็ไม่ปาน
เมื่อกลับมาถึงเรือนเล็กซีซวีนั้น ทั้งซุนซือสิงและทงจือต่างพากันวิ่งออกมาด้วยความดีใจ เฟิ่งชิงเฉินจึงได้แอบซ่อนข้อมือซ้ายที่ตนเองได้รับบาดเจ็บเอาไว้ พลางแย้มยิ้มเอ่ยปลอบใจขึ้นมาว่า “ข้าบอกแล้วว่าข้ามิเป็นอันใด ทำเอาพวกเจ้าเหนื่อยใจเปล่า ๆ แล้ว”
หลังจากที่เฟิ่งชิงเฉินกำชับกับทงจื่อว่า เรื่องที่นางออกมากจากคุกแล้วนั้น อย่าเพิ่งแจ้งผู้ใด นางก็เข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายในทันที หลังจากที่นางทำแผลบนมือของตนเองเสร็จแล้วนั้น ยามที่กำลังจะเตรียมตัวเรียกทงจือเข้ามารายงา นเรื่องราวสิบวันที่ผ่านมาให้นางฟังนั้น ก็พลันมีเสียงเคาะประตูดังเข้ามาว่า “แม่นางเฟิ่ง เป็นข้าชุยห้าวถิง มิรู้ว่าแม่นางเฟิ่งสะดวกหรือไม่”
มิแปลกใจเลยที่ชุยห้าวถิงจะรู้สึกร้อนใจนัก แท้จริงแล้ว สุขภาพของเขาในยามนี้มิสู้ดี ยามที่เฟิ่งชิงเฉินถูกขังอยู่ในคุกนั้น เขาเกิดล้มป่วยลงไปถึงสองครั้ง ซุนซือสิงจึงกล่าวว่า หากร่างกายของเขายังเป็นเช่นนี้อีก อาจจะไม่มีทางรักษาแล้วก็เป็นได้
ถึงแม้ว่าเขาจะป่วยมานานหลายปีแล้วนั้น แต่เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ จู่ๆ ก็มาได้ยินว่า ตนเองอาจจะไม่มีโอกาสรอดชีวิตแล้วนั้น ความลังเลใจที่อยู่ภายในใจของชุยห้าวถิงก็พลันหายไปในทันที
หยุนเซี่ยวพูดถูก แม้ว่าจะมีโอกาสมากถึงเจ็ดส่วน ก็ยังดีกว่าไม่มีเลยสักส่วน
“คุณชายชุย พวกเราไปพบกันที่ห้องตำรา เป็นเช่นไร” เฟิ่งชิงเฉินพลันลุกขึ้นไปเปิดประตู พร้อมทั้งแสดงท่าทีเชิญชวน
ห้องนอนของสตรีนั้น ไม่อาจให้บุรุษเข้าไปด้านในได้ ถึงแม้ว่านางจะมิได้สนใจในธรรมเนียมมากนัก แต่เสด็จอาเก้าให้ความสนใจ หากเสด็จอาเก้าได้แสดงความหึงหวงละก็ เขาขี้หวงมากนัก
เมื่อมาถึงห้องตำราแล้วนั้น ชุยห้าวถิงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่อย่างใด พร้อมเอ่ยตรงเข้าประเด็นไปในทันที พร้อมกล่าวว่าตนเองยินยอมที่จะรักษากับเฟิ่งชองเฉิน ขอให้เฟิ่งชิงเฉินลงมือผ่าตัดให้เขาโดยไว เขารับประกันได้ว่า หากการผ่าตัดผิดพลาด ตระกูลชุยจะไม่ถือโทษโกรธเคืองนาง
“คุณชายชุย การผ่าตัดนั้นสามารถทำได้ ทว่า ค่าใช้จ่ายนั้น มิเหมือนกัน” เฟิ่งชิงเฉินมิแปลกใจเลย เมื่อเห็นชุยห้าวถิงรีบร้อนมาหานางเช่นนี้
อีกทั้ง หากว่าคุณชายชุยมิยินยอมรักษากับนาว เขาก็คงไม่มาที่เรือนเล็กซีซวีแห่งนี้อย่างแน่นอน
“ค่ารักษา? เจ้าต้องการเท่าใดกัน” ชุยห้ามถิงรุ้สึกแปลกใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำว่าค่ารักษาจากเฟิ่งชิงเฉิน
หากนางสามารถช่วยเขาได้ ตระกูลชุยจะไม่ให้เงินนางหรือ
เฟิ่งชิงเฉินพลันแย้มยิ้ม ที่เดาได้ยากออกมาแทน “คุณชายชุย ค่ารักษาของข้า หาใช่เงินทองไม่”
“เจ้าต้องการสิ่งใด?”
เฟิ่งชิงเฉินเองก็มิทำตัวอ้อมค้อมไปในทันที พร้อมกับกล่าวตอบชุยห้าวถิงทุกตัวอักษรว่า “ท่านต้องร่วมมือกับตระกูลหวัง เพื่อช่วยเสด็จอาเก้าออกมาแทนข้า!”
“อะไรนะ? ร่วมมือกับตระกูลหวังเพื่อช่วยเสด็จอาเก้า?” ถึงแม้ว่าสีหน้าของชุยห้าวถิงจะมิได้เปลี่ยนไป แต่นัยน์ตาของเขากลับดูล้ำลึกขึ้นไปอีก
“เฟิ่งชิงเฉิน คำขอของเจ้ามีราคาสูงเกินไป”
“ไม่ผิดนัก นี่คือข้อต่อรองของข้า แล้วเป็นเช่นไรเล่า?” เฟิ่งชิงเฉินหาได้มีท่าทีถอยให้ครึ่งก้าวไม่ ทั้งยังพูดออกมาด้วยความเย่อหยิ่ง
นางเฟิ่งชิงเฉิน มีความสามารถที่จะร้องขอ!