สตรีโง่ผู้นี้ ช่างทำให้คนทั้งรักทั้งโมโหได้ในคราวเดียวกันเสียจริง
ภายในใจของเสด็จอาเก้ารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก สตรีผู้นี้กำลังเป็นห่วงเขา นางใช้วิธีการของนาง ในการช่วยเหลือเขา ถึงแม้ว่าจะมิได้พบหน้ากันก็ตาม แต่ทว่า ภายในใจของสตรีผู้นี้ก็ยังคงมีแต่เขาเช่นเดียวกัน
ชั่วชีวิตนี้ การได้พบเจอสตรีที่ไม่ทำตัววุ่นวาย ทั้งยังมีความคิดเป็นของตัวเองเช่นนี้ นับว่าดียิ่งนัก
เสด็จอาเก้าพลันดึงเฟิ่งชิงเฉินเข้ามากอดรัดแน่นมากกว่าเดิม แต่ทว่า เสด็จอาเก้าย่อมไม่อาจให้เฟิ่งชิงเฉินล่วงรู้ความคิดของเขาไปได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เสด็จอาเก้าจึงได้แต่ต้องพูดออกมาอย่างไม่ถนอมน้ำใจเลยว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างหาญกล้ายิ่งนัก ผู้ใดสั่งให้เจ้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของเปิ่นหวางกัน ทำไมหรือ? เจ้าคิดว่าเปิ่นหวางมิอาจแก้ปัญหาได้ด้วยตนเองงั้นหรือ ถึงได้ต้องไปพึ่งพาผู้อื่นเช่นนี้?”
เสด็จอาเก้ามิต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินมองเขาออก เขาในยามนี้มิสามารถออกหน้าจัดการปัญหาได้ด้วยตนเองเท่านั้น หาใช่ว่าเขาไม่มีทางออก
“ย่อมมิใช่เพคะ”เฟิ่งชิงเฉินรีบร้อนส่ายหัวโดยไว “โดยความสามารถของเสด็จอาเก้าแล้ว แม้แต่คุกในศาลราชวงศ์ก็มิอาจคุมขังท่านได้เพคะ แต่เป็นความบังเอิญที่ตระกูลชุยเอง ก็ต้องการลงจากเขาพอดี ตระกูลหวังเองก็กำลังมีการผลัดเปลี่ยนผู้นำตระกูลคนใหม่ หม่อมฉันคิดว่า พวกเราควรให้โอกาสทั้งตระกูลชุยและตระกูลหวังเสียหน่อย มิเช่นนั้น ผู้อื่นจะคิดว่าพวกเรามิต้องการผูกมิตรเพคะ”
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินหาใช่คนโง่ไม่ ที่จะได้เอ่ยวาจาทำร้ายความรู้สึกของเสด็จอาเก้าออกมา มิเพียงแค่นั้น นางยังต้องแสดงออกถึงความมีน้ำใจ ต่อตระกูลชุยและตระกูลหวังอีกด้วย
เฟิ่งชิงเฉินพลันเลิกคิ้วขึ้น เพื่อแสดงความภาคภูมิใจในตนเองออกมา เหลือเพียงแค่การดึงป้ายขึ้นมาเพื่อบอกว่า : ข้าเป็นเด็กดี ท่านรีบชื่นชมข้าเร็ว!
คำพูดนี้ ถูกใจเสด็จอาเก้ายิ่งนัก เสด็จอาเก้าจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปจูบที่ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อแสดงถึงความชื่นชมในตัวนาง
เฟิ่งชิงเฉินจึงแย้มยิ้มอย่างได้ใจออกมาในทันที เมื่อเสด็จอาเก้าอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว ชิงเฉินของเขาควรจะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะขึ้นนำบัลลังค์ที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเขาใด นำมากองต่อหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชุยหรือว่าตระกูลหวัง พวกเขาจะมีศักดิ์เป็นเพียงแค่ขุนนางเท่านั้น
เสด็จอาเก้าค่อย ๆ ลูบหัวเฟิ่งชิงเฉินอย่างเบามือ พร้อมทั้งให้นางเอนตัวมาพิงไหล่ของเขาอย่างสบายอารมณ์
“การร่วมมือของตระกูลชุยและตระกูลหวังนั้น เจ้ามิต้องไปสนใจให้มาก ถ้าหากมีโอกาสละก็ ข้าอยากให้เจ้าไปที่ชนเผ่าเสวียนเซียวกงดูสักครั้ง” เสด็จอาเก้าเองก็เองหัวเข้าไปพิงที่ศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน ทั้งสองคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้น เสมือนกับว่ากำลังแบ่งปันความสุขพร้อมทั้งเติมพลังใจให้กับกันและกันอยู่เช่นนั้น
“ไม่ไป” เฟิ่งชิงเฉินยังมิทันคิดเลยแม้แต่น้อย นางก็พลันปฏิเสธออกมาในทันที ใบหน้าของเซวียนเฟยนั้น ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางอย่างแน่นอน หากไปที่ชนเผ่าเสวียนเซียวกงละก็ ย่อมสามารถได้ยินข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับบิดามารดาของนางได้แน่
ก่อนหน้านั้น นางมักจะคิดถึงเรื่องราวของบิดามารดาของนางมาโดยตลอด ทว่า มิรู้ว่าเหตุใด นางรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
ยามที่ไม่รู้ก็ต้องการที่อยากจะรู้ เมื่อความจริงมากองอยู่ตรงหน้าเช่นนี้แล้ว นางกลับมิกล้าที่จะไปเปิดมันออกมา นางกลัว นางกลัวว่ามันจะเป็นความจริงที่นางไม่อาจรับได้
“ได้ หากไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป เปิ่นหวางจะเป็นคนจัดการแทนเจ้าเอง รอจนกว่าเจ้าจะอยากรู้ความจริง เพียงแค่เจ้าเอ่ยถามกับเปิ่นหวางมาก็พอ” เสด็จอาเก้าหาได้บังคับเฟิ่งชิงเฉินไม่ สิ่งใดที่เฟิ่นชิงเฉินมิอยากทำ เขาก็จะเก็บมันเอาไว้เช่นนั้น
ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่อยากแตะต้องมันนัก เขาก็ช่วยนางจัดการมันเอง เพื่อให้นางมิต้องเป็นกังวล
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินเช่นนั้น สายตาของนางพลันทอประกายระยิบระยับออกมา มือทั้งสองข้างพลันเข้าไปโอบรอบคอของเสด็จอาเก้า พร้อมทั้งพึมพำกล่าวว่า “ข้าดีใจที่มีท่าน!”
อื้ม!
เสด็จอาเก้าตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้น ภายในใจของเขา พลันบังเกิดความสุขท่วมท้นขึ้นมาในทันที
เพียงแค่คำว่า “ข้าดีใจที่มีท่าน” เป็นคำยืนยันของเฟิ่งชิงเฉินที่มีต่อเขา เสด็จอาเก้าพลันรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่จะกระโดดออกมาในทันที มือไม้มิรู้ว่าควรจะเอาไปวางไว้ที่ใดจึงจะเหมาะสม
เขามีคำพูดมากมายที่อยากจะเอ่ยออกไป ทว่า เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากนั้น เขากลับไม่สามารถพูดออกไปได้เลยแม้แต่คำเดียว เขาจึงได้แต่ลูบหัวเฟิ่งชิงเฉินไปมา พร้อมกับเอ่ยว่า “สตรีโง่”
ข้าดีใจที่มีเจ้า!
อันที่จริงแล้ว มิอยากจะพูดเลยว่า ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วยิ่งนัก แต่มันกลับเป็นความจริงที่ต้องเผชิญ
เฟิ่งชิงเฉินยังมีคำพูดอีกมากมายที่ต้องการจะเอ่ยกับเสด็จอาเก้า แต่ทว่า ผู้คุมขังของศาลราชวงศ์กลับเอ่ยเตือนพวกเขามาแล้วสามครั้ง ฟ้ามืดแล้วเฟิ่งชิงเฉินควรจะจากไปได้เสียที
ฮือฮือฮือ นางไม่อยากจากไปเลย เฟิ่งชิงเฉินยังไม่อยากจะลุกออกจากเสด็จอาเก้า
“ฟ้ามืดแล้ว รีบกลับไปเถอะ อีกไม่นานพวกเราย่อมได้พบกัน” เสด็จอาเก้าเองก็ไม่อยากปล่อยนางไปเช่นกัน แต่ทว่า เสด็จอาเก้ามิต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินล่วงรู้
“หม่อมฉันทราบเพคะ” เฟิ่งชิงเฉินเองก็หาใช่สตรีที่เอาแต่ใจตนเองไม่ เพียงแค่ บรรยากาศในวันนี้ช่างงดงามเป็นใจยิ่งนัก งดงามเสียใจทำให้นางอดติดใจเสียไม่ได้
เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมทั้งแย้มยิ้มที่สดใสออกมาให้เสด็จอาเก้าได้ชื่นชม “หม่อมฉันกลับก่อนนะเพคะ หม่อมฉันยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องกลับไปจัดการ ย่อมไม่มีเวลาให้นึกถึงท่านมากมายนัก ”
นี่เป็นคำพูดที่นางต้องการจะกล่าวว่า ให้เสด็จอาเก้ามิต้องเป็นกังวลต่อนาง นางรู้ดีว่าตนเองควรจะต้องทำเช่นไร
ความห่วงใยของเฟิ่งชิงเฉิน จึงจำเป็นต้องมีความคลุมเครือเช่นนี้
ในยุคโบราณไม่มีแสงไฟให้ส่องสว่างมากนัก เมื่อยามราตรีใกล้เข้ามา แม้แต่เมืองหลวงเองก็ต้องอยู่ในความมืดดำเช่นเดียวกัน รถม้าของเฟิ่งชิงเฉินจึงเป็นเพียงคันเดียว ที่กำลังโลดแล่นอยู่บนท้องถนนในยามนี้ ในขณะเดียวกัน ม้าเร็วก็หาได้สนใจความมืดในยามราตรีไม่ รีบวิ่งเข้าสู่เขตพระราชวัง เพื่อรายงานคำพูดที่เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าพูดคุยกันวันนี้ ให้ฝ่าบาทได้ฟังในทันที
บทสนทนาพูดคุยของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินในวันนี้ มีเพียงแต่เรื่องสัพเพเหระทั่วไปเท่านั้น หาได้มีเรื่องของทางการไม่
“มีเพียงเท่านี้หรือ?” องค์จักรพรรดิได้ฟังก็รู้สึกมิเชื่อใจนัก ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันทั้งช่วงบ่ายเช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ทั้งสองคนจะไม่พูดคุยอะไรออกมาบ้างเลย
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินเพียงแค่เท่านี้พ่ะย่ะค่ะ เสด็จอาเก้ากอดเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมอก จากนั้นทั้งสองคุยก็พลันกระซิบกระซาบกันที่ข้างหู กระหม่อมจึงมิอาจได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันพ่ะย่ะค่ะ” เหงื่อเย็น ๆ ขององครักษ์ พลันไหลออกมาในทันที พร้อมทั้งก้มหัวกราบลงไปด้วยท่าทีรู้สึกผิด
“เจ้าเก้าเริ่มโตขึ้นแล้วสินะ แม้แต่การกระทำที่ไร้มารยาทเช่นนั้น เขาก็ยังสามารถทำได้” ถึงแม้ว่าองค์จักรพรรดิจะรู้สึกโมโหยิ่งนัก ทว่า เขาหาได้นำอารมณ์โกรธของตนไปลงที่องครักษ์ไม่ “เจ้าออกไปเสีย”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” องครักษ์พลันกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงกล่าวลาออกมาด้วยใบหน้าที่ซึ้งใจยิ่งนัก
แต่เดิมเฟิ่งชิงเฉินต้องการที่จะกลับไปที่เรือนเล็กซีซวีเลย แต่ทว่า เมื่อเดินทางได้มาถึงครึ่งทางแล้ว นางกลับเพิ่งนึกได้ว่า ตนเองมีนัดพบกับหยุนเซียว จึงสั่งให้คนขับรถม้าเปลี่ยนเส้นทาง ให้ไปส่งนางที่จวนเฟิ่งเสียก่อน
ผลัก เพียงแค่เปิดประตูจวนเฟิ่งเข้าไปนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันเห็นองครักษ์ที่ยืนเข้าแถว ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงไปในทันที เมื่อเข้าไปด้านในห้อง นางจึงได้เริ่มถามว่า “พวกเขามาจากไหนกัน?”
“คนของข้า” ชุยห้าวถิงพลันตอบกลับตามตรง
“มาปกป้องเจ้างั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย นางมิชอบที่บ้านของตนเองมีคนแปลกหน้ามากมายเช่นนี้ อีกทั้งชุยห้าวถิงทำเช่นนี้ ราวกับว่าเขาเป็นเจ้าบ้าน และนางเป็นแขกของจวนหลังนี้แทน
ชุยห้าวถิงพลันส่ายหัวไปมาในทันที “ข้ามีองครักษ์เงาคอยปกป้องแล้ว พวกเขา มาเพื่อปกป้องจวนของเจ้าเท่านั้น”
“จวนเฟิ่งยังต้องการคนมาปกป้องด้วยงั้นหรือ? “เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกขบขันยิ่งนัก จวนนางใหญ่โตเช่นนี้ ยังมีคนคิดจะกล้าเผาจวนอีกครั้งงั้นหรือ
“เจ้าคิดว่าไม่จำเป็นงั้นหรือ? เจ้าอย่าได้ลืมไป ว่าผู้ที่มาทำการเผาเรือนเจ้าในคราก่อนยังไม่อาจจับตัวมาได้ หากฝ่ายนั้นสามารถเผาจวนเจ้าได้หนึ่งครั้ง ก็ย่อมมีครั้งที่สองด้วยเช่นกัน อีกทั้งเฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าได้บอกว่า เจ้าไม่รู้ตัวการคนที่มาเผาจวนเจ้าเป็นอันขาด” หากมิเป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่นำองครักษ์มากมายออกมาหรอก
เฟิ่งชิงเฉินได้แต่กลอกตาไปมา “เจ้าวางใจเถอะ มิมีผู้ใดกล้ามาเผาจวนเฟิ่งหรอก พวกคนที่อยู่นอกจวนนั้น ก็เป็นเพียงพวกน่ารำคาญเท่านั้น มิมีสิ่งใดให้ต้องกังวล”
ผู้ที่คิดมาเผาจวนนางนั้น นางมั่นใจว่าต้องเป็นเจ้าโง่หลี่เซี่ยงอย่างแน่นอน ในเมื่อหลี่เซี่ยงตายไปแล้วเช่นนี้ นางจะต้องกังวลสิ่งใดอีก อีกทั้งผู้คนที่อยู่นอกจวนนั้น นับว่าน่าสงสัยยิ่งนัก หากพวกมันสนใจนางหรือจวนเฟิ่งจริง ๆ ละก็ ย่อมมิทำอะไรไร้สาระเช่นนี้แน่นอน
วันพรุ่ง ก็จะเป็นวันที่นางย้ายเข้ามาอยู่ในจวนแล้ว คงจะมีเรื่องตื่นเต้นมากมายเป็นแน่