นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 642 สู่ขอ ข้าเฟิ่งชิงเฉินจะจำไว้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินจึงมิคิดสนใจอันใดอีก ทว่า ชุยห้าวถิงหาได้รู้สึกสบายใจเหมือนเฟิ่งชิงเฉินไม่ เขายังรักชีวิตของตนเองอยู่ โอกาสที่เขาจะมีหนทางกลับมามีชีวิตที่ดีอีกครั้ง หาได้มาง่าย ๆ ไม่ เขาจะมิยอมให้มีเหตุการณ์อันใดมาขัดขวางเป็นอันขาด

ชุยห้าวถิงรู้ดีว่า เฟิ่งชิงเฉินมิพอใจในการกระทำของเขา ที่นำองครักษ์ของตนมาปกป้องจวนเฟิ่งเช่นนี้ แต่เขาก็ไม่ยินยอมที่ต้องผ่อนปรนความปลอดภัยของตนเองไปเช่นกัน

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ามิควรละเลยการป้องกันตัวของผู้อื่น ข้ามิต้องการให้เกิดปัญหาอันใดขึ้นมา ยามที่ข้าต้องอยู่ในจวนของเจ้าเช่นนี้ ข้าจะคอยดูแลคนเหล่านี้ มิให้ไปสร้างปัญหาอันใดให้เจ้าเอง หลังจากที่ข้าออกไปจากที่นี่แล้ว เจ้ามิต้องเป็นกังวลไป ข้าจะพาพวกเขาออกไปให้หมด ไม่ทำให้เจ้าลำบากอย่างแน่นอน”

ตระกูลชุยลำบากมากมายกว่าจะฝึกองครักษ์เหล่านี้ขึ้นมาได้ พวกเขาจะดูเบาเฟิ่งชิงเฉินไปได้อย่างไรกัน

เมื่อชุยห้าวถิงเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินจึงมิพูดอะไรออกมาอีก จึงได้แต่ต้องยินยอมเขาไป อีกทั้งมันยังถือว่าเป็นการเตรียมพร้อมที่ดีอีกด้วย เผื่อเอาไว้ว่า หากมีตระกูลชุยบางคนมิต้องการให้ชุยห้าวถิงมีชีวิตรอดออกไปละก็ นำฝูงนักฆ่ามาลอบเข้ามาสังหารชุยห้าวถิงเช่นนี้ การมีองครักษ์เหล่านี้เอาไว้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีมากกว่า

เมื่อรอจนมาได้ครึ่งวันแล้วนั้น นางก็ยังมิเห็นหยุนเซียวมาอีก เฟิ่งชิงเฉินจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “หยุนเซียวเล่า ? เหตุใดเขายังไม่มาอีก?”

“แค่กแค่ก” เมื่อชุยห้าวถิงได้ยินเสียงของเฟิ่งชิงเฉินกล่าวถามถึงคุณชายรองตระกูลหยุนนั้น ก็พลันเกิดอาการสำลักออกมาในทันที ทว่า เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมองมาที่ตนเองด้วยท่าทีสงสัยนั้น เขาก็รีบร้อนนั่งตัวตรง พลางกล่าวออกมาว่า “ตระกูลหยุนมีแขกมาหา หยุนเซียวจึงต้องไปคอยดูแลพวกเขา”

จู่ ๆ ชุยห้าวถิงพลันมีความคิดแปลก ๆ ออกมาว่า ถ้าหากเฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าตระกูลหยุนมาที่นี่เพราะเหตุใด นางจะมีท่าทีแบบใดกันแน่ นับว่าน่าสนใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่เขามิมีโอกาสได้เห็น

สีหน้าของชุยห้าวถิงรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

มีคนมาหางั้นหรือ เหตุใดชุยห้าวถิงจึงมีท่าทีเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินพลันเหลือบมองไปที่ชุยห้าวถิงด้วยความสงสัย น่าเสียดายนัก ที่ชุยห้าวถิงปรับเปลี่ยนอารมณ์ด้วยความรวดเร็ว เฟิ่งชิงเฉินจึงมิทันได้สังเกตเห็น

เช่นนั้นก็ได้ หากนางลดการอยากรู้อยากเห็นน้อยลง นางจะได้มีชีวิตที่ยาวนานยิ่งขึ้น เฟิ่งชิงเฉินเองก็คร้านที่จะถามต่อเช่นกัน ในเมื่อหยุนเซียวไม่มาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินจึงมิคิดที่จะอยู่รอที่จวนเฟิ่งอีกต่อไป หลังจากที่ฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้กับชุยห้าวถิงเสร็จแล้วนั้น นางจึงกลับไปที่เรือนเล็กซีซวีในทันที

หลังจากที่กลับมาถึงเรือนเล็กซีซวีแล้วนั้น ก็พลันได้ยินทงจื่อและทงเหยา พูดถึงเรื่องที่ตระกูลหยุนมาเยือนเรือนเล็กซีซวีในยามบ่าย เฟิ่งชิงเฉินถึงได้เข้าใจแล้วว่า ยามที่ชุยห้าวถิงได้ยินคำว่า “หยุนเซียว”สองคำนี้ เหตุใดถึงปฏิกิริยาเช่นนั้น

ตระกูลของหยุนเซียว มาเพื่อสู่ขอนาง!

สู่ขอ!

พระเจ้า เฟิ่งชิงเฉินพลันรู้สึกอยากจะเป็นลมลงไปในทันที “เจ้าหมายความว่า ตระกูลหยุนต้องการมาสู่ขอข้าเพื่อหยุนเซียว พร้อมทั้งจะสู่ขอให้ข้าเป็นฮูหยินเอก?”

เฟิ่งชิงเฉินให้ความสำคัญกับสองคำนี้มากนัก “ฮูหยินเอก” เมื่อเห็นสีหน้าที่จริงจังของทงจือและทงเหยาที่พยักหน้าด้วยความมั่นใจแล้วนั้น เฟิ่งชิงเฉินได้แต่สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ ด้วยเพราะว่า ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือว่ายิ้มออกมาดี “นับว่าหาได้ยากยิ่งนัก สถานการณ์เช่นนี้ ยังมีคนคิดจะมาสู่ขอข้าไปเป็นฮูหยินอีกงั้นหรือ”

ท้ายที่สุดแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่ยิ้มออกมา หากแต่เป็นรอยยิ้ม ที่น่าเกลียดยิ่งกว่าการร่ำไห้ออกมาอีก

ถ้าหาก ถ้าหากว่าเป็นก่อนหน้านั้นสักสี่เดือน มีคนมาสู่ขอนางไปเป็นฮูหยินละก็ นางคงตอบตกลงอย่างไม่คิดลังเลเลยทีเดียว แต่ทว่าในเวลานี้

นางได้ละทิ้งความฝันที่จะไปเป็นฮูหยินของใครสักคนไปแล้ว อีกทั้งนางยังมิมีความคิดที่จะแต่งงานออกไปอีก โดยเฉพาะ ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีบุรุษคนใดคิดที่จะแต่งฮูหยินที่มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปเป็นฮูหยินเอกหรอก

“ซิ่ว” ทงจือและทงเหยาต่างก็มองดูเฟิ่งชิงเฉินด้วยความสงสาร พวกนางรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเช่นไร

หลายปีที่ผ่านมานั้น เฟิ่งชิงเฉินผ่านพบเหตุการณ์มามากมาย ทั้งชื่อเสียง เรื่องของพรหมจรรย์ ทุกอย่างที่เป็นสิ่งสำคัญนั้ น ล้วนแต่ได้สูญหายไปหมดแล้ว นางที่เป็นเช่นนี้ ย่อมไม่อาจแต่งให้หยุนเซียวได้ อีกทั้งยังไม่อาจไปแต่งให้ผู้ใดได้อีกด้วย

เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ สูดน้ำมูกที่ค่อย ๆ จะไหลลงมาให้หายไป พร้อมทั้งแย้มยิ้มถามว่า “ข้ามิเป็นอันใด หลังจากนั้นเล่า?”

นางมิเป็นอันใดจริง ๆ มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกชั่วครู่เท่านั้น เมื่อเทียบกับการที่ตนเองต้องไปเป็นฮูหยินให้บุรุษแปลกหน้าแล้วนั้นนางพอใจกับชีวิตในปัจจุบันของนางมากกว่า

เสด็จอาเก้าก็ดีต่อนางมากเช่นกัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว นางหวังแต่เพียงว่า เรื่องที่ตระกูลหยุนมาสู่ขอนางเช่นนี้ จะไม่ลอยไปเข้าหูเสด็จอาเก้าก็พอ มีเช่นนี้เขาคงหึงหวงนางจนตายเป็นแน่

“หลังจากนั้น เมื่อคุณชายหยุนมาถึง ก็พลันพูดจาเกลี้ยกล่อมให้คนในตระกูลหยุนกลับไปในทันที ทว่า ก่อนหน้านั้น คนของตระกูลหยุนพลันกล่าวว่า การแต่งงานเป็นเรื่องของการคัดเลือกคู่ครองและเป็นเรื่องชีวิตของบิดามารดาด้วย หากว่าซิ่วยอมตกลงนั้น ตระกูลหยุนจะนำสินสอดมาให้ในทันที หากแต่คุณชายหยุนหาได้มีปฏิกิริยาอันใดไม่” ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ ละก็ พวกนางก็คาดหวังอยากจะให้คุณหนูเป็นเพียงสตรีธรรมดา ที่สามารถตบแต่งออกไปได้ หยุนเซียวตระกูลหยุนจึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีนัก

น่าเสียดาย ที่มันจะไม่มีทางเป็นเช่นนั้น!

เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ หลับตาลง เพื่อปกปิดร่องรอยความอ้างว้างภายในดวงตาของตนเอง “ไปบอกหยุนเซียวเสีย เฟิ่งชิงเฉินมิคู่ควรกับนายน้อยตระกูลหยุน ”

นี่เป็นความจริง!

“ซิ่ว ” ความจริงนี้ นับว่าทำให้คนรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก

“พอแล้ว ดูสภาพของพวกเจ้าซิ มีคนมาสู่ขอจนถึงหน้าประตูจวนเช่นนี้ไม่ดีหรือ ข้าเป็นหนึ่งในสตรีที่ถูกสู่ขอเช่นนี้ คุณหนูของพวกเจ้ามีคนคิดมาสู่ขอไม่ดีหรืออย่างไร ” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกรับไม่ได้ เมื่อเห็นสายตาที่ดูเห็นอกเห็นใจจากทงจือและทงเหยามองมา

นางที่ใช้ชีวิตออกมาดี ๆ เช่นนี้ มีสิ่งใดที่ทำให้คนต้องมารู้สึกสงสารนางกัน หาได้มิใช่ว่านางไม่อาจตบแต่งได้ไม่ นางเพียงแค่ยังไม่เต็มใจที่จะต้องมาโดนแต่งออกไปเช่นนั้น ชีวิตของนางในยามนี้ดีแล้ว ทั้งยังเป็นอิสระยิ่งนัก หากนางได้แต่งเข้าไปเมื่อใด มีฮูหยินบ้านใดบ้างที่สามารถออกมาโลดแล่นด้านนอก พร้อมกับรักษาชีวิตคนไปด้วยได้กัน

“พอแล้ว มิต้องเอ่ยอันใดอีก รีบไปเก็บของเร็ว วันพรุ่งให้นำสิ่งของที่มีราคาส่งกลับไปที่จวนเฟิ่งก่อน พวกเราจะได้ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก จะได้อยู่ที่นั่นไปเลย”

การย้ายกลับไปในจวนเฟิ่งครั้งนี้ หาได้เหมือนกับการย้ายไปอยู่ในเรือนซีซวีอย่างง่ายดายไม่ ยิ่งนางอาศัยอยู่ในเรือนเล็กซีซวีมานานเท่าใด ข้าวของนางก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

“คุณหนูวางใจได้เพคะ ของทุกอย่างถูกจัดเก็บไปเรียบร้อยแล้ว ของล้ำค่าส่วนใหญ่ล้วนถูกส่งไปพร้อมกับคุณชายชุยแล้ว ดังนั้นไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังแน่นอนเพคะ” ทั้งทงจือทงเหยาจึงมิหยิบเรื่องของตระกูลหยุนออกมาพูดอีก

ถึงแม้ว่าจะพลาดการแต่งงานดี ๆ เช่นนี้ไป แต่ทว่า ถึงจะเสียใจไปอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ คุณหนูของพวกนางมิอาจแต่งออกไปได้

เมื่อเข้าสู่วันที่สอง ทั้งทงจือและทงเหยาจึงได้บอกกับตระกูลหยุนว่า คุณหนูของพวกนางนั้นไม่ยินยอมที่จะแต่งออกไป ตระกูลหยุนที่ได้ยินเช่นนั้น ก็หาได้ใส่ใจไม่ เพียงแค่พูดออกมาว่าน่าเสียดายนัก พร้อมทั้งกล่าวว่ากลับไปจะไปจัดการหยุนเซียว หยุนเซียวไร้ประโยชน์ยิ่งนัก

แอบมาเมืองหลวงเช่นนี้ ทั้งยังสานสัมพันธ์กับเฟิ่งชิงเฉินมาเนิ่นนาน ยังมิอาจมัดใจเฟิ่งชิงเฉินได้อีก นับว่าต้องขอโทษขอโพยต่อชื่อเสียงของบรรพบุรุษตระกูลหยุนแล้ว

ตระกูลหยุนหาได้คิดอันใดต่อเฟิ่งชิงเฉินไม่ หากแต่พวกเขากลับขังหยุนเซียวเอาไว้ในจวนแทน ไม่ให้เขาได้ออกมาด้านนอก พร้อมทั้งเอ่ยปากบ่นจู้จี้ต่อหยุนเซียวทุกวันว่า ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาก็ต้องมัดใจเฟิ่งชิงเฉินให้ได้ ทั้งยังต้องให้เฟิ่งชิงเฉินยินยอมแต่งเข้าตระกูลหยุนให้ได้ด้วย

นับว่าเป็นเรื่องที่น่าขันยิ่งนัก ด้วยทักษะทางการแพทย์ขจองเฟิ่งชิงเฉินแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่อาจรักษาหยุนเซียวให้หายได้ แต่นางก็สามารถทำให้ตระกูลหยุนมีชื่อเสียงขึ้นมาได้เช่นกัน น่าเสียดาย หยุนเซ๊ยวเพียงแค่ฟังเท่านั้น หาได้ทำอันใดไม่ เขามาที่เมืองหลวงของตงหลิงนั้น มิได้มาเพื่อที่จะมาแต่งเฟิ่งชิงเฉิน

อีกทั้งหากเขาเกิดตายขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินมิใช่ต้องเป็นม่ายอยู่ภายในตระกูลหยุนไปตลอดชีวิตงั้นหรือ เขามิต้องการให้เป็นเช่นนี้

เป็นเพราะว่า ก่อนหน้าที่จะมีการย้ายจวนของเฟิ่งชิงเฉินนั้น นางมิได้พบกับหยุนเซียวเลย เฟิ่งชิงเฉินจึงมิได้คิดสนใจอันใดอีก อาการป่วยของหยุนเซียวนั้น หาได้ต้องรับร้อนไม่ นอกจากนี้ทั้งสองคนยาที่ต้องพบหน้ากัน ยังคงรู้สึกเขินอายยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจะมิมีผู้ใดเอ่ยถึงเรื่องการสู่ขอขึ้นมา แต่ทว่า เรื่องการสู่ขอของตระกูลหยุนนั้นถึงอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องจริงอยู่ดี

ความร่วมมือของตระกูลหวังและตระกูลชุยนั้น เฟิ่งชิงเฉินที่ได้ยินจากเสด็จอาเก้ามาแล้วจึงมิคิดเอ่ยถามต่อ ระเบิดดินปืนของชนเผ่าเสวียนเซียวกงนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเช่นกัน เหลือเพียงแค่รอเวลาให้หวังจิ่นหลิงโจมตีชนเผ่าเสวียนเซียวกง พร้อมกับใช้มันเท่านั้น

ในยามนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเฟิ่งชิงเฉินก็คือการย้ายจวน นับว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด

วันที่ต้องย้ายจวนนั้น เฟิ่งชิงเฉินตื่นมาก่อนรุ่งสาง พร้อมทั้งสั่งให้ชุนฮุ่ย เซี่ยหว่าน ชิวฮว่าและตงชิง ช่วยนางแต่งองค์ทรงเครื่อง

วันนี้ นางจะต้องอารมณ์ดีมากที่สุด เพื่อเป็นการป่าวประกาศไปทั่วเมืองหลวงว่า แม้ว่าจวนเฟิ่งจะมีเพียงนางผู้เดียว ตระกูลเฟิ่งก็มิอาจล่มสลายไปได้!

เอี๊ยด เสียงดัง

ประตูสีแดงของจวนเฟิ่ง พลันค่อย ๆ ถูกเปิดออกมาอย่างช้า ๆ เพื่อต้อนรับแขกผู้มีเกียรติที่จะมาร่วมงานในวันนี้ ในวันงานย้ายจวนของเฟิ่งชิงเฉิน แขกที่มาคนแรกกลับเป็น

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินได้ยินข้ารับใช้เข้ามารายงานเช่นนั้น นางก็โมโหออกมาในทันที พร้อมกับตบโต๊ะเสียงดัง “เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ยิ่งนัก ข้าเฟิ่งชิงเฉินจะจำเอาไว้! ออกไปดูเสีย “

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท