เห็นใจ?
พูดเรื่องขบขันอันใดกัน องค์รัชทายาทซีหลิงมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเป็นด้วยหรือ? คิดว่านางเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนโง่หรืออย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมา แน่นอนว่านางหาได้เอ่ยคำพูดพวกนั้นออกมาไม่ นางต้องเปลี่ยนไปเป็นการพูดอีกแบบแทน
“ความเห็นใจขององค์รัชทายาทเหล่ยนับว่าพิเศษยิ่งนัก พระองค์หาได้เห็นใจเหล่าราษฎรที่ยากจนข้นแค้น กินไม่อิ่ม ไม่มีอาภรณ์อบอุ่นให้สวมใส่ไม่ แต่กลับมาเป็นห่วงเป็นใยนางโลมผู้หนึ่งแทน นับว่าองค์รัชทายาทเหล่ยมีจิตใจที่ดียิ่งนัก”
พึบ สีหน้าของซีหลิงเทียนเหล่ยพลันมืดคล้ำไปในทันที เหลือแต่เพียงอาเจียนออกมาเป็นเลือดเท่านั้น
คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินนั้น นับว่าแทงใจดำเสียจริง
“พรวด” ทั้งซื่อจื่อฮูหยินและลู่ฮูหยินนั้น ต่างก็ไม่อาจอดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ พลางเดินไปกระซิบที่ข้างหูสาวใช้เพียงสองสามคำ สาวใช้นางนั้นก็พลันเดินมาในทันที พร้อมทั้งมายืนอยู่ทางด้านหลังของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อแสดงความเคารพต่อองค์รัชทายาทเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานว่า “องค์รัชทายาทเหล่ย องค์ชายหนานหลิงเพคะ ฮูหยินของพวกหม่อมฉันกล่าวว่า มีนางโลมยืนอยู่ด้วยเช่นนี้ สตรีในห้องหอย่อมมิอาจแสดงตัวออกมาได้เพคะ ขอองค์รัชทายาทเหล่ยและองค์ชายหนานหลิง ให้อภัยด้วย”
“อื้ม” ซีหลิงเทียนเหล่ยได้แต่ตอบรับหนึ่งคำ ในยามนี้อธิบายสิ่งใดไปก็ย่อมไร้ประโยชน์
ซื่อจื่อฮูหยินและลู่ฮูหยินจึงเดินเข้าไปด้านในในทันที
“องค์ชายหนานหลิงกับองค์รัชทายาทซีหลิงจริง ๆ เลย เกรงว่าเรื่องราววุ่นวายที่หน้าประตูจวนเฟิ่ง คงเป็นพวกเขาที่จัดฉากขึ้นมากระมัง นับว่าเป็นวิธีที่น่ารังเกียจเสียจริง ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชิงเฉินเป็นสตรีในห้องหอแท้ ๆ ก็ยังกล้าสั่งให้เหล่านางโลมมาก่อเรื่องเสียได้
นับว่าโชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินมีความกล้าที่จะจัดการกับคนเหล่านั้น มิเช่นนั้น เกรงว่าว่างานเลี้ยงวันย้ายจวนของนางคงได้ถูกทำลายลงเป็นแน่ หน้าตาของเฟิ่งชิงเฉินเองก็โดนทำลายไปแล้วเช่นนี้ หากรู้ว่า นี่เป็นงานเลี้ยงครั้งแรกที่นางจัดขึ้นนั้น ต้องมาโดนทำลายเช่นนี้ แล้วเฟิ่งชิงเฉินจะมีชีวิตอยู่ภายในเมืองหลวงแห่งนี้ได้อย่างไรกัน” ลู่ฮูหยินเองก็พยายามที่จะแก้ต่างให้เฟิ่งชิงเฉินเช่นกัน พร้อมทั้งตั้งใจที่จะเอ่ยให้กับซื่อจื่อฮูหยินทราบ
“นับว่าไร้สาระยิ่งนัก กลับไป ข้าจะต้องไปบอกสามีของข้า ให้ตรวจสอบพวกเขาสองคนดูหน่อยเสียแล้ว ถึงได้กล้าก่อเรื่องขึ้น ภายในตงหลิงเช่นนี้ได้ “ซื่อจื่อฮูหยินทีากำลังรู้สึกโมโหอยู่นั้น พลันตอบรับไปในทันที
ลู่ฮูหยินพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความพอใจ พร้อมทั้งเอ่ยชื่นชมซื่อจื่อฮูหยินไปเสียหลายประโยค ขากนั้นจึงยกเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินส่งยาไปให้นางมาพูดด้วย นางรู้ว่าซื่อจื่อฮูหยินเองก็คงจะได้รับเช่นกัน ไม่แปลกใจเลยที่หัวข้อนี้ จะทำให้จวนหนิงกั๋วกงมีความรู้สึกที่ดีกับเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อมีจวนหนิงกั๋วกงออกแรงให้เช่นนี้ ชื่อเสียงของจวนเฟิ่งอีกไม่นานก็คงกลับมาเป็นดังเดิม ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุอันใดก็ตาม การที่ถูกเหล่านางโลมมาก่อเรื่องถึงหน้าจวนนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่มงคลเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งหาไปมีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่านางโลมอีก ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉิน ย่อมต้องเลวร้ายลงไปอีกแน่
ผู้คนที่มารอดูความสนุกอยู่ด้านนอกประตูจวนเฟิ่งยิ่งมากเข้าไปทุกที รวมไปถึงเหล่าผู้ที่มาร่วมอวยพรให้กับเฟิ่งชิงเฉินด้วยเช่นกัน เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็มิกล้าเข้ามา พร้อมกับรั้งรออยู่ภายในกลุ่มคนเหล่านี้ อีกทั้งยังเป็นการรอให้ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานเข้าไปก่อนอีกด้วย
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจได้เป็นอย่างดี การที่หนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยอยู่ด้านนอกนาน ๆ นั้น นับว่าไม่ดีกับทั้งสองฝ่ายยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมิใคร่เต็มใจ แต่เพื่อหน้าตาของจวนเฟิ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเชื้อเชิญพวกเขาให้เข้ามา
“องค์รัชทายาทเหล่ย องค์ชายหนานหลิงมาเพื่อเป็นแขก เชิญเพคะ ทว่าแม่นางฮวาขุยผู้นี้ ต้องขออภัยด้วย ข้าจวนเฟิ่งแห่งนี้มิต้อนรับท่าน”
หาได้เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินคิดดูถูกเหล่านางโลมไม่ อย่างแรกมิต้องเอ่ยถึงเรื่องที่หรงชิงชิวตั้งใจมาสร้างความวุ่นวายในวีนนี้ ถึงแม้ว่าจะมาให้นางรักษา นางก็ไม่อาจให้หรงชิงชิวเข้าจวนได้อยู่ดี
กฎของสังคมก็เป็นเช่นนี้ หากนางให้หรงชิงชิวเข้าจวนละก็ ไม่เพียงแต่ซื่อจื่อฮูหยินหรือลู่ฮูหยิน แม้แต่ชุยห้าวถิงก็ย่อมรู้สึกไม่พอใจ และนางก็จะถูกตราหน้าว่า มีความสัมพันธ์อันดีกับเหล่านางโลมด้วย
“เฟิ่งชิงเฉิน แม่นางผู้นี้ต้องการมารักษากับเจ้า เจ้าไม่เต็มใจที่จะรักษาให้นางงั้นหรือ?” แน่นอนว่าพวกเขาต้องการจะเข้าไปด้านใน แต่ยังมิทันได้ทำอันใด ก็ต้องมาโดนเฟิ่งชิงเฉินทุบตีเช่นนี้ ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานย่อมรู้สึกมิยินยอม
ซีหลิงเทียนเหล่ยที่มียศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาท ย่อมมิต้องเอ่ยอันใดให้มากความ ยามที่เขากำลังเดินขึ้นไปบนบันไดนั้น หนานหลิงจิ่นฝานที่ไม่แล้วไม่เลิกรา ก็พลันลากหรงชิงชิวเข้าไป จากนั้นก็ผลักหรงชิงชิวให้มาอยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉินในทันที
เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่แย้มยิ้มออกมาเท่านั้น มิได้เอ่ยอันใดออกมา หนานหลิงจิ่นฝานที่คิดจะเอาเรื่องให้ได้พลันกล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เหตุใดเจ้าไม่รักษาให้นางเล่า เจ้ากลัวว่านางจะจ่ายค่ารักษาไม่ได้งั้นหรือ? เฟิ่งชิงเฉินเจ้าวางใจได้ หากแม่นางผู้นี้มิอาจจ่ายค่ารักษาได้นั้น เสี่ยหวางจะจ่ายแทนนางเอง”
หนานหลิงจิ่นฝานพลันเลิกคิ้วขึ้น หัวคิ้วที่เรียวยาวดั่งดุจหงส์ ดูร้ายกาจและเย่อหยิ่งมากกว่าในคราแรกที่พบเจอกันยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดที่จะหนีไปได้เชียว
เฟิ่งชิงเฉินพลันส่งเสียงฮึดฮัดออกมาด้วยความโมโห คนพวกนี้ หากไม่คิดหาเรื่องนางจะตายหรืออย่างไรกัน พวกเขามิคิดจะให้นางจัดงานเลี้ยงวันย้ายจวนดีๆ เลยหรืออย่างไร มิต้องการให้นางออกหน้าปลอบใจเหล่าขุนนางแทนเสด็จอาเก้าเช่นนั้นหรือ
ยิ่งคนเหล่านี้ไม่อยากให้นางทำมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งจะอยากทำให้สำเร็จมากเท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินพลันกวาดสายตามองหรงชิงชิวด้วยความรังเกียจ พร้อมกับสายตาของนางที่เปล่งประกายไอชั่วร้ายออกมา “ฝ่าบาท ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าสตรีนางนี้เป็นโรคอะไร? ท่านถึงได้กล้าแตะต้องนางเช่นนั้น ชิงเฉินรู้สึกชื่นชมท่านยิ่งนัก”
“โรคอะไร?” หนานหลิงจิ่นพลันรู้สึกโลเลไปในทันที เมื่อโดนเฟิ่งชิงเฉินทักท้วงเช่นนี้ พร้อมทั้งรับชักมือกลับโดยไว
คงมิใช่โรคติดต่อกระมัง
เฟิ่งชิงเฉินค่อย ๆ โน้มกายเข้าไป พร้อมทั้งใช้น้ำเสียงที่พวกเขาเหล่านั้นพอจะได้ยินกล่าวว่า “กามโรค สามารถติดด่อกันได้!”
“อะไรนะ?” หนานหลิงจิ่นฝานพลันสีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็รีบถอยห่างออกมา พร้อมทั้งใช้สายตาไอสังหารมองไปที่หรงชิงชิวในทันที
สตรีน่ารังเกียจ!
“มิใช่เพคะ มิใช่ ฝ่าบาท เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยออกมาเองเพคะ หม่อมฉันมิได้เป็น หม่อมฉันมิได้เป็น” หรงชิงชิวรับร้อนปฏิเสธออกมาในทันที พร้อมกับพูดความจริงออกมา
นางบ้า ทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานสีหน้าพลันเปลี่ยนไปในเวลาเดียวกัน
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหลอกข้า” ทั้งสองคนพลันกัดฟันเอ่ยออกมาด้วยความแค้น นับว่าขายหน้ายิ่งนัก !
ฮ่าฮ่า เฟิ่งชิงเฉินพลันหัวเราะออกมา พร้อมกับส่ายหน้าไปมาว่า “ฝ่าบาทท่านประมาทเกินไปแล้ว ผู้ที่หลอกท่านหาใช่ข้าไม่ เป็นนาง”
เฟิ่งชิงเฉินพลันชี้ไปที่หรงชิงชิว “เจ้านับว่าใจกล้ายิ่งนัก ที่กล้าหลอกลวงฝ่าบาททั้งสองคนได้ พวกเจ้า เข้ามาลากแม่นางผู้นี้เอาไปไว้ที่ซุ่นเทียนฝู่เสีย”
มิเกรงกลัวคู่ต่อสู้ที่เป็นเสมือนหมาป่า แต่กลับเกรงกลัวคู่ต่อสู้ที่เป็นหมู ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานที่ถูกหรงชิงชิวลากเข้าไปด้วยนั้น เฟิ่งชิงเฉินพลันใช้สายตามองพวกเขาด้วยความรู้สึกเห็นใจ
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าทำได้ดียิ่งนัก” ทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง หาได้คิดเอ่ยปากช่วยเหลือไม่
เมื่อหรงชิงชิวเห็นว่าสถานการณ์ใกล้จบลงแล้ว นางในยามนี้มีเพียงหนทางสุดท้าย ในการสร้างความเสื่อมเสียให้กับเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น
“ฝ่าบาทเพคะ มิใช่เพคะ มิใช่เพคะ นู๋เจียต้องการมาหาแม่นางเฟิ่งเพื่อทำการรักษา แม่นางเฟิ่งกับต้องการฆ่านู๋เจีย เพราะว่านามของนู๋เจียเหมือนกับแม่นางเฟิ่ง นู๋เจียคือฮวาขุยแห่งหอนางโลมฉู่ฮวา หลังจากที่แม่นางเฟิ่งได้ยินเช่นนั้น ก็ต้องการที่ฆ่านู๋เจีย ฝ่าบาทเพคะ ได้โปรด” ฮวาขุยนางโลมล่มเมือง นับว่าเป็นชื่อที่ดียิ่งนัก
เมื่อคนถูกนำตัวออกไปไกลแล้วนั้น คำพูดด้านหลังก็มิอาจได้ยินอีก
หรงชิงชิวหาได้สนใจไม่ พลันมีประกายความชั่วร้ายออกมาจากสายตาของนางในทันที
นางต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับนาง ชื่อเสียงที่ด่างพร้อย ต่อไปนี้เพียงแค่พูดถึงเฟิงชิงเฉิน ก็จะต้องนึกถึงหอนางโลม
“นางโลมล่มเมือง ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่แปลกใจเลยที่ชิงเฉินจะโมโหถึงเพียงนี้ หากเสี่ยวหวางพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ละก็ ย่อมต้องเป็นเหมือนเจ้าเช่นกัน เสี่ยวหวางเข้าใจ สมควรฆ่านางแล้ว” หนานหลิงจิ่นฝานตั้งใจใช้วรยุทธ์ภายในของตนกระจายเสียงของเขา ให้ความมีความดังมากกว่าเดิม เพื่อให้ผู้คนที่อยู่ที่นี่ได้ยินทั่วกัน
หลังจากที่พ่นคำพูดน่ารังเกียจออกมาแล้วนั้น สีหน้าของซีหลิงเทียนเหล่ยก็ดูดีขึ้นมาในทันที “ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้หรือ เป็นเพราะเปิ่นกงมิรู้เรื่องราวภายในนั่นเอง แค่กแค่ก อะไรคือนางโลมล่มเมือง องค์ชายสามอย่าได้พูดจาพล่อย ๆ ไป ทว่า เพียงแค่มีนามเดียวกันเท่านั้น ท่านอย่าได้เอ่ยทำให้เข้าใจผิดไปได้”
คำพูดนี้ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดอย่างแท้จริง