บ่าวรับใช้ในจวนเฟิ่งโมโหเสียจนตาแดงเรื่อ มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น หนึ่งในพวกเขามองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน เพียงแค่เฟิ่งชิงเฉินออกคำสั่ง ต่อให้คนที่อยู่ตรงหน้านั้นเป็นคนขององค์ชาย พวกเขาก็จะเข้าไปจัดการสั่งสอนอย่างไม่รีรอ น่าเสียดายเหลือเกิน……
เฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงแต่จะไม่ได้สั่งให้คนเข้าไปจัดการ นางกลับยิ้มขึ้นอย่างไม่สนดีว่า “ท่านทั้งสอง คาดว่าคงจะถูกสตรีหลอกเอาเสียอีกแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใจจืดใจดำเพียงนั้น ที่จะโมโหเพียงเพราะชื่อเพียงชื่อเดียว การที่ชิงเฉินจับตัวสตรีนางนั้นเพราะนางไม่ใช่ยอดนางคณิกา แต่นางเป็นนักโทษหลบหนี นางคือซิ่วหรงชิงชิวแห่งจวนกั๋วกง”
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีกำลังภายใน แต่นางก็สามารถกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังเพื่อให้ทุกคนซึ่งอยู่ ณ ที่นั่นได้ยิน เพราะการที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับนั้นคงไม่ใช่นิสัยของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินชะงักลงเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อไปว่า “ไม่รู้ว่าท่านทั้งสองให้ความสำคัญกับเรื่องที่มีชื่อซ้ำกันเช่นนี้ ตงฉิง……จงไปส่งต่อคำของข้า ให้คนที่นั่นเปลี่ยนชื่อหมาขี้เรื้อนที่มีชื่อว่าซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝาน หากว่าเวลาข้าเรียกพวกมันแล้วทำให้ท่านทั้งสองนี้เข้าใจผิดก็คงไม่ดี ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ชื่อ ข้าคิดว่าหมาขี้เรื้อนสองตัวนั้นคงไม่ใส่ใจ” หากจะแข่งกันเรื่องวาจา เฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่ยอมแพ้แก่ใคร
“ฮ่าๆๆ……!” คำของเฟิ่งชิงเฉินทำให้ทุกคนซึ่งล้อมวงดูอยู่หัวเราะออกมา คนจากจวนเฟิ่งส่งเสียงขำขันออกมาดังยิ่งนัก
“บ่าวเข้าใจแล้ว บ่าวจะไปเปลี่ยนชื่อหมาขี้เรื้อนซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานบัดเดี๋ยวนี้” ตงฉิงเน้นย้ำชื่อทั้งสองนั้นออกมาอีกครั้งด้วยความสะใจ
ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานโมโหเสียจนแทบจะลงมือฆ่าคน เฟิ่งชิงเฉินเจ้ากล้าดีอย่างไร!
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอยากตายงั้นรึ!”
“ทหาร เข้าไปกุมตัว!”
ทั้งสองคนออกคำสั่งต่อราชองครักษ์ของตนในเวลาพร้อมเพรียงกัน “เช้ง!” วินาทีที่องครักษ์ชักดาบออกมา ผู้คุมกันจวนเฟิ่งไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งจากเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาก็ได้เข้าไปคุ้มกันเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้โดยไม่ยอมถอยห่างแม้แต่ก้าวเดียว
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากล้าดีอย่างไรที่จะต่อต้าน!” ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานดูไม่อยากเชื่อนักว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกล้าขัดขืนพวกเขา
“เหตุใดจึงไม่กล้าเล่า ท่านทั้งสองลืมไปแล้วหรือไรว่าที่นี่คือราชวงศ์ตงหลิง พวกเขากล้าหาเรื่องเฟิ่งชิงเฉินอย่างดูถูกเช่นนี้ก็สมควรยิ่งนัก
ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานได้แต่ชะงักลง เมื่อสักครู่เป็นเพราะพวกเขาโมโหเสียจนเกินเหตุ จึงทำให้ลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่ประเทศในเขตที่พวกเขาสามารถ ทำตัวกร่างได้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ศักดิ์ศรีและอำนาจของราชวงศ์จะถูกเฟิ่งชิงเฉินเหยียบย่ำง่ายๆ เช่นนี้ไม่ได้ สายตาของทั้งสองคนสื่อถึงความอาฆาตแค้นออกมาอย่างเยือกเย็น
เฟิ่งชิงเฉินหาได้กลัวแม้แต่น้อย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาอันเยือกเย็นและอาฆาตของหนานหลิงจิ่นฝานกับซีหลิงเทียนเหล่ย เฟิ่งชิงเฉินก็ลายิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนกล่าวว่า “ท่านทั้งสองเป็นอะไรไปกัน ก็เพียงแค่มีชื่อเหมือนกันเท่านั้น ฝ่าบาททั้งสองโมโหเพราะเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้หรือ หากว่าท่านทั้งสองโมโหจริงล่ะก็ ข้าจะไปนำหมาขี้เรื้อนทั้งสองตัวนั้นมาให้ทั้งสองท่านระบายอารมณ์เป็นอย่างไร?”
หากเฟิ่งชิงเฉินไม่กล่าวสิ่งใดออกมาก็ยังพอ แต่เมื่อกล่าวออกมาเช่นนั้นจึงทำให้ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานโมโหมากกว่าเดิม ซีหลิงเทียนเหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพยายามระงับความโกรธในใจลง
“เฟิ่งชิงเฉิน วันตายของเจ้ากำลังจะมาถึงอยู่แล้ว เจ้ายังทำปากแข็งอยู่ได้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าทำผิดในโทษฐานใด?” ดูหมิ่นราชวงศ์จุดจบมีเพียงตายเท่านั้น และการที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวดูถูกเหยียดหยามองค์ชาย ก็จะถูกฆ่าเก้าชั่วโคตร
ทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยแหละหนานหลิงจิ่นฝานไม่เคยถูกผู้ใดเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน เฟิ่งชิงเฉินกล้าเปรียบเทียบพวกเขากับหมาขี้เรื้อน ช่างรนหาที่ตายโดยแท้
แต่ดูเหมือนพวกเขาจะลืมไป ว่าก่อนหน้านี้วินาทีเดียวยังกล่าวชม
อยากให้นางตายงั้นหรือ ต่อให้นางตกลงเห็นด้วย คาดว่าตระกูลชุยก็คงไม่ยินยอม เฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย ขณะที่นางเตรียมตัวจะอ้าปากเอ่ยบางอย่างออกมา กลับมีใครบางคนก้าวเข้ามาเอ่ยแทนนางว่า
“ฝ่าบาททั้งสองช่างน่าเกรงขามยิ่งนัก ข้าไม่รู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินทำสิ่งใดผิดไป ก็เป็นเพียงแค่ชื่อเท่านั้นมิใช่หรือ หากว่าฝ่าบาททั้งสองไม่พึงพอใจที่มีชื่อเช่นเดียวกับหมาขี้เรื้อน ก็เพียงแค่ฆ่าหมาขี้เรื้อนนั้นทิ้งเสีย เหตุใดจึงต้องมาระบายอารมณ์ใส่สตรีผู้อ่อนแอบอบบางและไม่รู้เรื่องราวใดๆเช่นเฟิ่งชิงเฉินด้วย?”
“คุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง?” ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานเห็นคนที่เดินทางมาจึงได้แอบด่าตัวเองอยู่ในใจว่าโมโหเสียไร้เหตุไร้ผล เพราะเฟิ่งชิงเฉินเรียกว่าตนเป็นหมาขี้เรื้อนจึงทำให้ลืมไปเสียได้สนิทว่าวันเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงจะไม่เดินทางมาร่วมได้อย่างไร
“คารวะองค์ชายทั้งสอง” ท่ามกลางการอารักขาคุ้มกัน หวังจิ่นหลิงเดินตรงออกมาจากพวกเขา สายตานั้นช่างอบอุ่น ทุกกิริยาท่าทางสง่างามดูสงบ นับได้ว่า ค่อนข้างจะให้เกียรติ
เขาไม่สนใจรังสีอำมหิตซึ่งแผ่ออกมาจากประตูจวนเฟิ่ง กลับเดินเข้ามาอย่างช้าๆ หยุดอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉิน สายตามองไปทางหนานหลิงจิ่นฝาน
“องค์ชายสามดูเหมือนจะว่างยิ่งนัก เมื่อไม่กี่วันก่อน องค์ชายหนานหลิงจิ่นสิงเดินทางมาหาข้า ทั้งยังเอ่ยชมว่าองค์ชายสามช่วงนี้อยู่สงบนิ่งยิ่งนัก ข้าเองก็คิดอยู่ว่าองค์ชายสามเป็นอะไรไป ที่แท้องค์ชายสามกำลังวางแผนรังแกชิงเฉินอยู่นี่เอง”
ประโยคนี้เต็มไปด้วยความข่มขู่ หากว่าหนานหลิงจิ่นฝานกล้ากระทำการตุกติกล่ะก็ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะร่วมมือกับหนานหลิงจิ่นสิง แล้วทำการผลักดันหนานหลิงจิ่นสิงขึ้นไปนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นของหนานหลิง
บัลลังก์จักรพรรดิเป็นจุดอ่อนของหนานหลิงจิ่นฝาน ดังนั้นหนานหลิงจิ่นฝานผู้หงุดหงิดจึงได้ระงับอารมณ์ของตนลงแล้วเหลือบมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ก่อนจะหันหน้าหนี โดยไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
ดูเหมือนว่าเบื้องบนจะไม่ค่อยพอใจหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยเท่าไรนัก เมื่อหวังจิ่นหลิงปรากฏกาย ซีหลิงเทียนอวี่ก็ได้นำของขวัญเดินทางมา
นับแต่ที่ซีหลิงเทียนอวี่สามารถเดินเหินได้ตามปกติ เขาก็ชื่นชอบที่จะเดินยิ่งนัก ดูเหมือนว่าเขาได้นำช่วงเวลาเมื่อหลายสิบปีก่อนซึ่งควรจะเดินได้นำมันมาเดิน รวมกันจนบัดนี้
ท่ามกลางสายตาอันดูเหมือนจะสามารถฆ่าใครบางคนได้ ซีหลิงเทียนอวี่มองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยท่าทางสง่างามแล้วเดินตรงเข้ามาราวกับว่ากำลังอวดขาทั้งคู่ของเขา ทุกอย่างก้าวของซีหลิงเทียนอวี่ช่างเชื่องช้ายิ่งนัก
“องค์รัชทายาทก็อยู่ด้วยหรือ น้องเดินทางมาช้าไปเสียแล้ว” ซีหลิงเทียนอวี่โค้งกายคำนับ จากนั้นก็หันหลังกลับไปสนทนากับเฟิ่งชิงเฉินต่อหน้าซีหลิงเทียนเหล่ยว่า “ชิงเฉิน ยินดีด้วยที่จวนใหม่ของเจ้าสร้างเสร็จแล้ว ของกำนัลเล็กน้อยเหล่านี้อาจดูไร้ค่าไปหน่อย”
ดูสิ เขาเดินทางมาแสดงความยินดี ช่างมีมารยาทยิ่งนัก
“ขอบพระคุณองค์ชายอวี่ เชิญทางนี้เถิด……” รอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินเต็มใบหน้า ขจัดความไม่พึงประสงค์ก่อนหน้าทิ้งไป
สำนักหอดูดาวหลวงกล่าวไว้ได้ถูกต้องแล้ว ในวันนี้เป็นวันดี เมื่อนางเห็นซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานรู้สึกอึดอัดใจ นางก็รู้สึกยินดียิ่งนัก
หึๆ……ซีหลิงเทียนเหล่ยจะยอมให้ซีหลิงเทียนอวี่เข้าไปก่อนได้อย่างไร จะไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาหรอกหรือ ไม่ว่าจะยินดีหรือไม่ ซีหลิงเทียนเหล่ยก็ได้สะบัดแขนเสื้อและรีบเดินตรงเข้าไปก่อนหน้าซีหลิงเทียนอวี่ก้าวหนึ่ง
เขาไม่อยากจะสนทนาเรื่องหมาขี้เรื้อนที่ชื่อว่าซีหลิงเขียนเลยต่อหน้าของซีหลิงเทียนอวี่ และหนานหลิงจิ่นฝานก็ไม่อยากทำให้หวังจิ่นหลิงต้องรู้สึกขุ่นเคือง เพราะเกรงว่าหวังจิ่นหลิงจะโมโหแล้วหันไปร่วมมือกับหนานหลิงจิ่นสิง จึงทำได้เพียงถอยหลังออกมา
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อถูกหวังจิ่นหลิงและซีหลิงเทียนอวี่เข้ามาขัดจังหวะ บรรยากาศอันรู้สึกอุดอู้เมื่อสักครู่ก็ได้คลายลง แม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่อยากให้หนานหนิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยเข้ามาในจวนของนาง แต่นางก็ไม่สามารถขับไล่ทั้งสองคนออกไปได้ต่อหน้าคนอื่นๆ เช่นนี้
เมื่อแขกคนสำคัญต่างพากันเข้าไปแล้ว คนอื่นจะกล้าหลบอยู่ได้อย่างไร พวกเขาต่างพากันนำของขวัญเข้าไปให้ทีละคนๆ โดยมากผู้ที่เดินทางมาในวันนี้เป็นคนฝั่งของเสด็จอาเก้า พวกเขาเดินทางมาเพื่อที่จะสืบเรื่องราวต่างๆ และเป็นการยืนยันว่าฝ่ายของเสด็จอาเก้านั้นยังไม่ล้มลง
เฟิ่งชิงเฉินจัดการกับอารมณ์ของตนเองเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินตามหวังจิ่นหลิงเข้าไปข้างใน เพราะคนที่เหลืออยู่นางไม่จำเป็นต้องยืนต้อนรับด้วยตนเอง
“ใต้เท้าเซี่ย เชิญเจ้าค่ะ……”
“ใต้เท้าลู่ เชิญเจ้าค่ะ……”
“ใต้เท้าโจว เชิญเจ้าค่ะ……”
“ใต้เท้าซุน เชิญเจ้าค่ะ……”
“ใต้เท้าจ้าว ท่านก็มาด้วยหรือเจ้าคะ”
“ท่านโหวทั้งสองให้เกียรติเดินทางมาถึงที่นี่ ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก เชิญท่านด้านในเถิดเจ้าค่ะ……”
“ท่านเสนาบดี เชิญด้านนี้เถิด……”
ผู้ที่เฟิ่งชิงเฉินนึกได้และนึกไม่ได้ล้วนพากันเดินทางมา ผลกระทบจากที่เสด็จอาเก้าเข้าคุกในครั้งก่อน แต่กลับไม่ได้ถูกตัดสินคดี และไม่ได้อยู่ในนั้นเนิ่นนานนัก คดีค่อยๆ อ่อนลง ทำให้ผู้คนโดยมากเข้าใจว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ล้มลงง่ายๆ
เมื่อได้ยินชื่อเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เผยอยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย งานเลี้ยงในวันนี้คาดว่าคงจะประสบความสำเร็จอย่างมาก มีชุยห้าวถิงและหวังจิ่นหลิงอยู่ที่นี่ด้วย การที่นางจะละเลยขุนนางเหล่านี้คาดว่าคงไม่อาจทำได้
ยิ้มเข้าไป! เฟิ่งชิงเฉิน อยากจะรู้เหลือเกินว่าอีกสักครู่เจ้าจะยังยิ้มออกหรือไม่