นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 649 ทุบทิ้ง ยกโลงศพเข้าจวน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เมื่อเย่เย่เข้ามาก่อความไม่สงบ คนจากจวนเฟิ่งก็ได้พากันเดินทางเข้าไปที่เรือนหลังเพื่อรายงานเรื่องนี้แก่เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินจึงรีบเดินทางมาอย่างรวดเร็วแต่ก็ดูจะช้าไปก้าวหนึ่ง ทำให้คนที่อยู่ทางด้านหน้ารับรู้ถึงความวุ่นวายในครั้งนี้ได้

“ชิงเฉิน กลับไปเถอะ เรื่องที่นี่ข้าจะจัดการเอง” หวังจิ่นหลิงเหลือบมองดูสถานการณ์ของด้านนอก สีหน้าของเขาดูเยือกเย็นลงเล็กน้อยก่อนจะรีบห้ามไม่ให้เฟิ่งชิงเฉินออกมา แต่เฟิ่งชิงเฉินจะเห็นด้วยได้อย่างไร นางส่ายหน้าแล้วมองไปทางหวังจิ่นหลิง “คุณชายเย่ต้องการหาข้า”

บ่าวรับใช้ได้บอกกับนางแล้วว่าเย่เย่นำของขวัญอะไรมาให้ แม้ว่านางจะโมโหแต่ก็ไม่ได้เสียสติไปเพียงเพราะเรื่องเหล่านี้ การที่เย่เย่กล้าจะมาหาเรื่องนางถึงที่บ้าน นางก็ไม่จำเป็นจะต้องเกรงอกเกรงใจ

“ข้าเดินทางมาเพื่อนำของขวัญมาให้เจ้า แน่นอนว่าข้าจะต้องหาเจ้าน่ะสิ เฟิ่งชิงเฉิน ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อแสดงความชื่นชมยินดี แต่คนจากจวนของเจ้า กลับ ขับไล่ข้าไม่ให้ข้าเข้าไปด้านใน นี่คือวิธีการต้อนรับแขกของจวนเฟิ่งพวกเจ้าหรือ?” เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินทางมาแล้ว เย่เย่ก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป เขากล่าวออกมาด้วยท่าทางอันหยิ่งผยองแล้วชี้ไปทางของขวัญที่จัดเตรียมมา มองไม่ออกว่าเขากำลังโมโห แต่รู้สึกถึงความหยิ่งผยองภูมิใจเสียมากกว่า

ที่จริงเขาก็ควรจะหยิ่งผยอง เนื่องจากของขวัญที่เย่เย่นำมานั้นไม่ธรรมดา คนธรรมดาทั่วไปคงไม่เลือกที่จะมอบให้ในวันนี้

เย่เย่สั่งให้คนเข้าไปแบกโลงศพสองโลงขึ้นมา บัดนี้ชายหนุ่มร่างกายกำยำได้แบกโลงศพวางไว้ตรงบันไดประตูจวนของเฟิ่งชิงเฉิน และนี่คือสาเหตุที่องครักษ์ขององค์รัชทายาทไม่ให้เย่เย่นำของขวัญชิ้นนี้เข้าไปในจวนเฟิ่ง

มีใครจะมอบของขวัญเป็นโลงศพเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสาปแช่งเฟิ่งชิงเฉินอยู่

“คุณชายเย่กล่าวเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่าคนจากจวนเฟิ่งของข้าไร้เหตุไร้ผล แต่เป็นเพราะของขวัญของท่านช่างพิเศษเหลือเกิน คนจากจวนเฟิ่งของข้าล้วนมีกฎมีเกณฑ์ พวกเขาจึงไม่กล้ากระทำการใดโดยพลการ” เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ข้างกายของหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงเพียงหัวเราะออกมาเบาๆ เป็นความหมายว่าเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย

ก็เพียงแค่โลงศพสองโลงไม่ใช่หรือ นางจะกลัวอะไรไป หรือโลงศพทั้งสองนี้จะนำมาใส่นางได้กัน?

“ถ้าเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินเจ้าหมายความว่าเจ้าไม่ต้องการของขวัญที่ข้ามอบให้อย่างงั้นหรือ?” ท่าทางของเย่เย่ดุจดั่งคุณชายผู้เอาแต่ใจตนเอง จากนั้นหันหลังกลับไปตะโกนกับคนที่ถือโลงศพว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าจงทุบมันทิ้งเสีย”

“ช้าก่อน จะทุบไม่ได้!” เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าเย่เย่ต้องการทำสิ่งใด นางรู้เพียงว่าโลงศพนี้จะทุบทิ้งไม่ได้ ดังนั้นจึงได้รีบตะโกนห้ามผู้ที่แบกโลงศพเอาไว้

ไม่รู้ว่าเพราะสิ่งใด ตอนที่นางได้ยินว่าเย่เย่จะทุบโลงศพทิ้ง ในใจของนางก็อึดอัดยิ่งนัก ราวกับว่ามีเรื่องบางอย่างไม่ดีจะเกิดขึ้น

ข้างในโลงศพมีอะไร?

เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังโลงศพทั้งสองนั้นโดยไม่กะพริบตา นางมั่นใจได้ว่าข้างในโลงศพนั้นมีของอยู่ การที่แบกโลงศพสองโลงเดินทางมาที่นี่ หากไม่มีสิ่งใดอยู่เลย เย่เย่คงไม่คิดใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้

โชคดีที่เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยห้ามไว้ได้ทัน และเย่เย่ก็ค่อนข้างให้เกียรติ เขายกมือขึ้นโบกเป็นความหมายให้คนที่แบกโลงศพเอาไว้อย่าได้ขยับเขยื้อน จากนั้นหันหลังไป ยิ้มขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน กล่าวว่า “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าหมายความว่าเจ้าจะรับของขวัญชิ้นโตจากข้าเอาไว้ใช่หรือไม่?”

โลงศพสองโลง หากเป็นคนปกติทั่วไปแล้วคาดว่าคงจะไม่รับเอาไว้ เย่เย่ก็คิดเช่นนั้น เขาจึงได้นับของขวัญใส่เอาไว้ในโลงศพ ในเมื่อเฟิ่งชิงเฉินไม่รับเอาไว้เขาก็จะเปิดโลงศพนั้นออกมาเพื่อทุบมันและให้ของขวัญปรากฏออกมาจากนั้นนำเอาไปให้อาหารสุนัข

แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เขากำลังรอ รอให้ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานมา เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีคนเพิ่มมากขึ้น พวกเขาทั้งหลายจะได้เป็นสักขีพยานเห็นถึงความมีน้ำอกน้ำใจของตน ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ซึ้งถึงความเป็นคนดีของตน ด้วยความโมโหเขาจึงได้ทุบของขวัญทิ้ง

“รับไว้สิ เหตุใดจึงไม่รับเอาไว้เล่า คุณชายเย่นนำมาให้ถึงที่ แน่นอนว่าข้าจะต้องรับเอาไว้ ก็เพียงแค่โลงศพสองโลงไม่ใช่หรือ คุณชายเย่เย่มอบสิ่งใดให้ ชิงเฉินก็จะรับสิ่งนั้นเอาไว้” เฟิ่งชิงเฉินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าสิ่งของที่อยู่ในโลงศพนั้นสำคัญมาก แม้จะรู้ว่านี่คือหลุมพรางที่เย่เย่ขุดขึ้นเพื่อให้นางกระโดดลงไป แต่ถึงกระนั้นนางก็ จำเป็นต้องกระโดดลงไป

นางเดิมพัน เดิมพันกับสัมผัสที่หกของตนเองว่าไม่ได้ผิดพลาดไป ต่อให้ผิดพลาดนางก็ยินยอมจะรับผิดชอบ

ก็เพียงแค่โลงศพสองโลงไม่ใช่หรือไงกัน นางรับไว้ก็สิ้นเรื่อง

“ชิงเฉิน” หวังจิ่นหลิงลิงรีบเอ่ยขึ้นเตือน เฟิ่งชิงเฉินยกมือขึ้นปฏิเสธแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร จิ่นหลิงเจ้าจงเข้าไปบอกองค์รัชทายาท เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อองค์รัชทายาท”

“เจ้าจะรับไว้จริงหรือ ชิงเฉิน ไม่มีผู้ใดจะรับโลงศพเอาไว้เป็นของกำนัลในวันขึ้นบ้านใหม่”

“รับ” เฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจอย่างแน่วแน่โดยไม่ได้ครุ่นคิดไตร่ตรองอีก หวังจิ่นหลิงไม่รู้จะทำเช่นไรจึงทำได้เพียงยิ้มรับอย่างขมขื่น “เอาเถอะ ข้าจะไปอธิบายต่อองค์รัชทายาท”

เมื่อกล่าวจบก็ได้หันหลังเดินจากไป เขาตั้งใจจะไปทำบุญเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน

การนำโลงศพเข้ามาในจวนนั้นไม่เพียงแค่องค์รัชทายาทผู้เดียวซึ่งไม่พึงพอใจ แต่ทุกคนล้วนไม่พึงพอใจด้วย ทว่าเฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นเจ้าของแห่งนี้กล่าวว่านางจะรับเอาไว้ พวกเขาทั้งหลายจึงทำได้เพียงระงับความไม่พึงพอใจเอาไว้เท่านั้น

เฟิ่งชิงเฉินก็คือเฟิ่งชิงเฉิน ช่างกล้ายิ่งนัก เย่เย่เลิกคิ้วขึ้นแล้วดูรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เฟิ่งชิงเฉินกล้ารับเอาไว้อย่างเปิดเผย ท่ามกลางขุนนางขั้นผู้ใหญ่มากมาย นางกล้าที่จะแบกโลงศพเข้าไปด้านใน

เขาประเมินเฟิ่งชิงเฉินต่ำไปจริงๆ

เเต่นี่ก็ยังไม่เท่าไหร่ มันเพียงแค่เปลี่ยนสถานที่ก็เท่านั้น เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าข้างในคือสิ่งใด เขาก็เพียงแค่ขุดหลุมพรางให้นางกระโดดเข้าไป

เย่เย่รอคอยอย่างอดทน จนกระทั่งหวังจิ่นหลิงและคนอื่นเดินออกมา โดยมีหวังจิ่นหลิงนำขบวน ต้องการที่จะเอ่ยชี้แจงให้แก่คนด้านในเหล่านั้นรับทราบ ว่าการนำโลงศพเข้าไปในจวนเฟิ่งไม่ได้มีปัญหาใด

เมื่อมีหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลินเทียนเหล่ยอยู่ด้วย เย่เย่ซึ่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะสามารถถอนตัวออกมาได้ทัน เพียงแต่ว่าอาจจะจัดการเฟิ่งชิงเฉินได้เพียงเล็กน้อย

เย่เย่ยิ้มขึ้นอย่างลึกล้ำ รอยยิ้มของเขาทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกขนลุกขนพอง ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายและยิ่งต้องการจะนำสิ่งที่อยู่ในโลงศพออกมาดู

หวังจิ่นหลิงเดินตรงเข้าไป บังเอิญได้ยินหนานหลิงจิ่นฝานใช้คำพูดกระตุ้นให้องค์รัชทายาทพาคนอื่นๆ ออกไปดู แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ยินดีเท่าไรนัก แต่เพื่อมิตรภาพ จึงไม่สามารถเอ่ยคำขัดแย้งกับหนานหลิงจิ่นฝานได้ ทำได้แต่ยิ้มขึ้น

หวังจิ่นหลิงไม่สนใจเรื่องราวเหล่านี้และเอ่ยขึ้นขัดจังหวะหนานหลิงจิ่นฝานโดยไม่สนใจใยดี “องค์ชายจิ่นฝาน ขอบคุณที่มีความเห็นอกเห็นใจ แต่อย่าลืมไปถึงตัวตนของท่าน ที่นี่คือราชวงศ์ตงหลิงไม่ใช่หนานหลิง เรื่องราวในราชวงศ์ตรงดิ่งของเราไม่จำเป็นต้องให้ท่านเข้ามาชี้นิ้ว”

เรื่องนี้ไม่โทษหวังจิ่นหลิงที่โมโหยิ่งนัก เป็นเพราะหนานหลิงจิ่นฝานและเย่เย่ทำเกินเหตุไป การที่เฟิ่งชิงเฉินให้พวกเขาแบกโลงศพเข้ามาข้างในก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว ปิดประตูแล้วค่อยว่ากัน ดีกว่าทะเลาะเบาะแวงกันอยู่ด้านนอกให้คนอื่นเห็น

“คุณชายใหญ่กลับมาแล้วหรือ ดูเหมือนว่าเรื่องราวข้างนอกจะจัดการเสร็จสิ้นแล้ว ข้าคงจะเข้าไปยุ่งมากเอง” หนานหลิงจิ่นฝานแววตาเป็นประกายเยือกเย็น แต่ก็ยังไม่อาจเก็บกลั้นนิสัยของตนเอาไว้ได้

“ฝ่าบาทรู้ว่าตนยุ่งมากเรื่องไปก็ดีแล้ว” หวังจิ่นหลิงใช้น้ำเสียงอ่อนโยนกล่าวออกมาดูเหมือนไม่ใช่การตำหนิ กลับเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นจริง ทำให้คนฟังไม่อาจโต้แย้งกลับได้เลย

“แค่กๆ……!” ซีหลิงเทียนเหล่ยรู้ว่าหนานหลิงจิ่นฝานค่อนข้างจะเกรงใจคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง จึงได้รีบเอ่ยแทรกขึ้นว่า “คุณชายใหญ่ องค์ชายก็เพียงแค่เป็นกังวลเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้นเอง ในเมื่อไม่เป็นอะไรแล้วพวกเราไปดื่มสุรากันต่อเถิด”

ซีหลิงเทียนเหล่ยเชื่อว่าความสามารถของเย่เย่ประกอบกับของขวัญชิ้นโตที่เขานำมาสามารถจัดการเฟิ่งชิงเฉินได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน

หวังจิ่นหลิงหันหลังกลับโดยรวดเร็ว อาจส่งผลที่ไม่คาดคิดขึ้น เป็นจริงดังนั้น……

ซีหลิงเทียนเหล่ยไม่ผิดหวัง หวังจิ่นหลิงได้เอ่ยถึงของขวัญซึ่งเย่เย่นำมา จากนั้นกล่าวว่าเย่เย่ต้องการจะนำของขวัญนั้นเข้ามาข้างใน ต่อมาเขาก็ได้ทำความคารวะองค์รัชทายาท “กระหม่อมขอร้องแทนคุณชายเย่เย่ที่ยังเด็ก และไม่รู้เรื่องราว หากทำให้ไม่พอใจได้โปรดองค์รัชทายาทให้อภัยด้วย”

“หึ่ม……!” หนานหลิงจิ่นฝานโมโหใส่จนแทบกระอักเลือด

หวังจิ่นหลิงกำลังเอ่ยวาจาไร้สาระ เย่เย่ไม่ได้ยืนกรานว่าจะนำโลงศพทั้งสองนั้นแบกเข้ามา เห็นได้ชัดว่าเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่ใจกล้าไม่เกรงกลัวผู้ใด แต่หวังจิ่นหลิงกลับ นำความผิดนี้ผลักมาที่เย่เย่ช่างโหดเหี้ยมเหลือเกิน

แต่บังเอิญว่าไม่มีผู้ใดเชื่อว่าคำพูดนั้นของหวังจิ่นหลิงจะเป็นเรื่องโกหก เนื่องจากว่าการที่เย่เย่นำโลงศพทั้งสองโลงแบบเข้ามาข้างใน ก็เป็นการกระทำที่ไร้มารยาท

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท