“ชิงเฉิน ลองเปิดดูสิ โลงศพที่ท่านเย่ส่งมา ข้างในมีอะไรกันแน่ ดูเหมือนท่านเย่จะเก็บรักษาของในนั้นไว้เป็นอย่างดี ข้าอยากรู้เหลือเกิน” ตี๋ตงหมิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินดูกระวนกระวายก็มองออกว่านางอยากรู้เรื่องสิ่งของในโลงศพเช่นกัน จึงเอ่ยปากชักชวนนางให้ลองเปิดดู
“ท่านซื่อจื่อพูดถูก ในเมื่อทุกคนล้วนอยากดู เช่นนั้นก็ลองเปิดดูเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินหันไปยิ้มให้ตี๋ตงหมิง แล้วเรียกคนคุ้มกันเข้ามาหา
นางอยากรู้เหลือเกินว่ามีอะไรอยู่ในนั้น สิ่งที่ทำให้นางกระวนกระวายใจถึงเพียงนี้ แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่
“หยุดนะ! เฟิ่งชิงเฉิน ข้าบอกแล้วอย่างไรล่ะว่าสิ่งของในนี้ไม่ได้เอามามอบให้เจ้า” เย่เย่ไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินเปิด
เขาหันไปจ้องหน้าหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ในขณะที่กำลังยืนขวางอยู่หน้าโลงศพทั้งสองโลง
ซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานต่างก็จนปัญญา พวกเขาอยากไปช่วยเย่เย่ แต่อีกคนถูกซีหลิงเทียนอวี่รั้งไว้ ส่วนอีกคนก็ถูกหวังจิ่นหลิงดึงไว้ พวกเขาจึงต้องปล่อยให้เย่เย่ออกโรงด้วยตัวเอง
ปล่อยให้สิ่งของในโลงศพช่วยเขาก็แล้วกัน
“ท่านเย่ นี่มันหมายความว่าอย่างไร? ของก็ส่งมาถึงที่นี่แล้ว แต่กลับไม่ยอมให้ข้าเปิดดู?” เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้วพลางมองหน้าเย่เย่เพื่อหาคำตอบ
อำนาจสูงสุดอยู่ในมือของนาง เย่เย่จำเป็นต้องฟังนาง
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าฟังนะ สิ่งของที่อยู่ในโลงศพ ข้าไม่ได้เอามามอบให้เจ้า สิ่งของพวกนี้ ข้าไปเสาะหามาด้วยความยากลำบากเพื่อที่จะเอามาให้สุนัขกิน หากเจ้าเอาไปแล้ว สุนัขของข้าจะกินอะไรล่ะ” เย่เย่กล่าว
“เย่เย่ ข้าไม่สนว่าท่านจะพูดอย่างไร ตอนนี้ของพวกนี้มันมาอยู่ในจวนข้า ข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจ รอช้าอยู่ทำไม รีบเปิดดูเดี๋ยวนี้!” เฟิ่งชิงเฉินเริ่มหงุดหงิดเพราะเย่เย่
คนพวกนี้ เห็นนางใจดีมากหรืออย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินยืนกรานจะเปิดดูให้ได้ แต่เย่เย่จะไม่ยอมให้คนของนางเห็นว่าเขาเชื่อฟังนาง เพราะจะสูญเสียความน่าเกรงขาม “เฟิ่งชิงเฉิน อย่าลำบากคนของเจ้าเลย ข้าไปเสาะหาสิ่งของเหล่านี้มาให้สุนัขกิน เดี๋ยวข้าจะยกออกไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อพูดจบ ก็สั่งให้กลุ่มชายฉกรรจ์ที่ยกโลงศพเข้ามาเริ่มลงมือได้เลย
คนของเย่เย่ยืนอยู่ใกล้กับโลงศพมาก กว่าคนของเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าไปขวาง ก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งกำหมัดขึ้นมา แล้วทุบลงไปบนฝาโลง ที่แท้ โลงศพนี้ก็เป็นของที่ไร้คุณภาพ เพียงถูกทุบแค่ครั้งเดียวก็แตกอย่างง่ายดาย
ฝาโลงแตกแล้ว……
ท่อนกระดูกสีขาวโผล่ออกมาให้ทุกคนได้เห็น ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าในโลงศพเป็นร่างคนๆหนึ่ง
กระดูกของคนตาย?
นี่ท่านเย่หมายความว่าอย่างไร?
ทุกคนมีสีหน้างุนงง แต่หลังจากที่โลงศพโลงที่สองถูกเปิดออก ทุกคนก็เข้าใจเจตนารมณ์ของเย่เย่
เย่เย่ทำเกินไปแล้ว!
โลงศพโลงที่สอง ด้านในบรรจุโลงหยกไว้อีกที ในโลงหยกนั้นมีร่างชายคนหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี จนดูเหมือนเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน
เฟิ่งชิงเฉิน จากที่นางไม่ได้คิดอะไรมาก เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของชายในโลงหยกแล้วก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ใบหน้าขาวซีด ท่าทางเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว น้ำตาของนางค่อยๆไหลอาบแก้ม
นี่มันอะไรกัน?
หวังจิ่นหลิงรีบโผเข้าไปปลอบโยนนาง แต่ทันทีที่เขาเห็นร่างของชายในโลงหยกก็ตกตะลึงไปพักใหญ่
“แม่ทัพเฟิ่ง?” หวังจิ่นหลิงเอ่ยคำนี้ออกมาด้วยความตกใจ
“อะไรนะ ร่างของแม่ทัพเฟิ่งอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร” รัชทายาทและตี๋ตงหมิงไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่ตายไปแล้วเมื่อสิบกว่าปีก่อนจะมาปรากฏอยู่ตรงนี้ได้ แต่ว่า……
“นี่คือร่างของแม่ทัพเฟิ่งจริงๆด้วย ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้? แม่ทัพเฟิ่งจากไปตั้งนานแล้ว ร่างของเขาถูกเก็บรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตอนเป็นเด็ก ตี๋ตงหมิงเคยเห็นเฟิ่งจ้าน โครงร่างของเฟิ่งจ้านในตอนนี้ยังคงเหมือนตอนนั้นไม่มีผิด และต่อให้เขาจะไม่เคยเห็นเฟิ่งจ้านมาก่อน แต่หากเดินไปดูใกล้ๆก็จะรู้ว่านี่เป็นร่างของผู้ใด เพราะชายที่นอนอยู่ในโลงหยก บนร่างของเขามีตราทหารอยู่ ตรานั้นระบุว่า “เฟิ่งจ้าน”
นั่นคือร่างของพ่อเฟิ่งชิงเฉิน โครงกระดูกของเฟิ่งจ้าน ซึ่งก็คือ “ของ” ที่เย่เย่บอกว่าจะนำไปให้สุนัขกิน
“เย่เย่……เจ้ามันรนหาที่ตายซะแล้ว!”
เฟิ่งชิงเฉินตะโกนร้องออกมาอย่างสุดเสียง น้ำตาของนางไหลพรั่งพรู อาการของนางคล้ายคนเสียสติ ดวงตาของนางเบิกกว้าง พลางจ้องมองเย่เย่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำเอาเย่เย่ขนลุกขนพอง
“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ ใจเย็นๆนะเจ้าคะ” ทงจือและทงเหยา หลังจากที่ได้ยินคำว่า “แม่ทัพเฟิ่ง” แล้วก็ตกใจ ยิ่งได้ยินเฟิ่งชิงเฉินแผดเสียง ก็ยิ่งกลัวว่าคุณหนูของพวกนางจะคลุ้มคลั่ง!
เฟิ่งชิงเฉินหน้าซีดเหมือนคนตาย นางสะบัดทงจือและทงเหยาออกไป แล้วเดินตรงไปหาเย่เย่พร้อมเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เย่เย่ เจ้าคิดจะเอากระดูกท่านพ่อข้าไปให้สุนัขกินอย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงที่เยือกเย็น ราวกับเป็นเสียงของผีสาว เย่เย่ถึงกับต้องก้าวเท้าถอยหลัง “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าจะทำอะไร กระดูกพวกนี้ข้าเป็นคนหาเจอ ข้าจะเอาไปทำอะไรมันก็เรื่องของข้า ข้าจะเอาศพของพ่อเจ้าไปให้สุนัขกินมันก็เรื่องของข้า”
เฟิ่งชิงเฉินยืนเงียบ……นางมองเย่เย่ด้วยแววตาแน่นิ่ง เหมือนเย่เย่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้ตายจากไปแล้ว
เย่เย่กลืนน้ำลาย เขารู้ตัวแล้วว่าความซวยมาเยือนแล้ว เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะดุดันถึงเพียงนี้ ก็แค่ซากศพแค่ 2 ศพ ไม่เห็นต้องเกรี้ยวกราดขนาดนี้
คนอื่นๆเห็นรัชทายาทไม่ได้พูดอะไรก็ไม่กล้าส่งเสียง ได้แต่มองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความสงสาร ตอนที่ยังหาร่างแม่ทัพเฟิ่งไม่เจอ เฟิ่งชิงเฉินก็ยังพอมีหวัง หวังว่าแม่ทัพเฟิ่งอาจจะยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้……
ร่างของแม่ทัพเฟิ่งถูกคนยกมาวางตรงหน้าแล้ว แถมยังประกาศว่าจะเอาไปให้สุนัขกิน การกระทำของเย่เย่เปรียบเสมือนการนำมีดมาเฉือนใจเฟิ่งชิงเฉิน
หลายๆคนต่างคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินคงพูดอะไรไม่ออกแล้ว แต่แล้วนางก็ชี้ไปยังกระดูกที่อยู่ในโลงศพอีกโลงหนึ่งพลางเอ่ยขึ้นมาว่า “แล้วกระดูกเหล่านั้นเป็นของใคร?”
อันที่จริง นางเองก็มีคำตอบในใจเอาไว้แล้ว เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก
หากนางต้องมาเห็นร่างไร้วิญญาณของคนในครอบครัวถึงสองคนภายในวันเดียวกัน เห็นทีว่าสวรรค์คงจะโปรดปรานการกลั่นแกล้งนางเป็นพิเศษ
“นั่นกระดูกของแม่เจ้า ในโลงมีจี้หยกด้วย เป็นจี้หยกที่แม่เจ้าพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ข้าให้คนของข้าไปหามาจากจุดที่แม่ของเจ้าตกลงไป”
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ได้เห็นเฟิ่งชิงเฉินเกรี้ยวกราดใส่ จู่ๆเย่เย่ก็นึกอะไรไม่ออก ได้แต่ตอบคำถามนางไปอย่างว่าง่าย
“ท่านแม่ของข้า!”
หยาดน้ำตาที่เกือบจะเป็นสายเลือดพุ่งทะลักออกมาจากดวงตาเฟิ่งชิงเฉิน……ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าไปฆ่าเย่เย่ เฟิ่งชิงเฉินกลับลดระดับอารมณ์ลง นางชี้ไปที่ประตูและบอกเย่เย่ว่า “เย่เย่ ไสหัวไปเสียเถิด”
“เฟิ่งชิงเฉิน นี่เจ้าไล่ข้าหรือ ได้……ข้าจะไปเดี๋ยวนี้เลย พวกเจ้า เข้ามายกโลงศพออกไปให้ข้าที ข้าจะเอาไปให้……”
เพียะ…… เฟิ่งชิงเฉินหันไปฝากรอยนิ้วมือไว้บนหน้าของเย่เย่ “หากเจ้าพูดอีกเพียงคำเดียว ข้าจะเอาเจ้าไปให้งูกินเสีย”
นี่ไม่ใช่คำขู่ เฟิ่งชิงเฉินพูดได้ก็ทำได้ เย่เย่เข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี
“……” เย่เย่กุมหน้าของตัวเอง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินจะรุนแรงถึงขั้นนี้
เฟิ่งชิงเฉินถึงกับกล้าตบหน้าเขา!
แต่ตอนนี้เขาพูดอะไรไม่ออกแล้ว เอาเถอะ เขายอมรับว่าเขากำลังกลัว เขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินพูดแล้วต้องทำแน่ นางจะต้องจับเขาไปให้งูเขมือบ เขาอุตส่าห์ไปเสาะหาโครงกระดูกมาอย่างยากลำบาก ไม่นึกเลยว่าเรื่องราวจะมาถึงขั้นนี้…