นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 652 เหตุผลที่ใช้ในการสร้างชนวนสงคราม

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ลองตบหน้าดูสักฉาด เป็นอย่างไรล่ะ!

เฟิ่งชิงเฉินสบตาเย่เย่ด้วยแววตาเย่อหยิ่ง ในแววตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยเพลิงแค้น

นางไม่มีทางปล่อยเย่เย่ไปเด็ดขาด!

รัชทายาท หวังจิ่นหลิง ชุยห้าวถิง และตี๋ตงหมิง ต่างยืนส่งแรงใจให้นางอยู่ข้างๆ เป็นกำลังใจที่ไร้เสียง

เฟิ่งชิงเฉินตบหน้าเขาแล้วอย่างไรล่ะ ไม่มีใครมองว่าเฟิ่งชิงเฉินทำผิดเลย หากพวกเขาลองมาเป็นนางก็คงทำเช่นเดียวกัน

เย่เย่ไม่ควรนำกระดูกของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินมาเล่นแบบนี้ เขาพูดแล้วพูดอีกว่าจะนำกระดูกไปให้สุนัขกิน ถ้าหากเย่เย่พบเจอโครงกระดูกแล้วนำมาคืนเฟิ่งชิงเฉินดีๆ ไม่แน่ว่าเฟิ่งชิงเฉินอาจจะลืมความบาดหมางที่เคยมีต่อเขาก็เป็นได้ แต่ว่าตอนนี้……

เย่เย่โชคดีที่มีพ่อเป็นใหญ่เป็นโต ถ้าหากเย่เย่ไม่ใช่นายน้อยแห่งเมืองเย่เฉิง ป่านนี้เขาคงได้กลายเป็นศพไปนานแล้ว สายตาที่เฟิ่งชิงเฉินมองเขา ดูเหมือนว่านางกำลังมองดูศพ

หนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ยต่างก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่นึกเลยว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเฟิ่งชิงเฉินจะเจ็บแค้นได้ถึงเพียงนี้ ความดุดันของนางทำให้พวกเขารู้สึกเสียวสันหลัง

พวกเขาสองคนยังโชคดี เพราะมองผิวเผินแล้วไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากเฟิ่งชิงเฉินจะโกรธก็คงไม่พาดพิงมาถึงพวกเขาได้ พวกเขาค่อยๆก้าวเท้าถอยไปยืนอยู่ด้านหลัง เพราะไม่อยากเป็นเหมือนเย่เย่ ที่กลายเป็นศัตรูของคนทั้งเมืองในตงหลิง

ความเงียบที่น่าขนลุกทำให้เย่เย่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ตึงเครียดระดับไหน เขาได้แต่ยืนนิ่งในขณะที่มองหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เหมือนไม่รู้ว่าต่อจากนี้ไปควรจะทำเช่นไรดี

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่เหนือการคาดเดาของเขามาก เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าตนเองกระทำผิดตรงไหน เหตุใดเรื่องราวจึงดำเนินมาถึงจุดๆนี้ได้

การที่เขาไปเสาะหาโครงกระดูกของเฟิ่งจ้านและลู่อี่โม่มา ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อนำมามอบคืนให้เฟิ่งชิงเฉิน แต่เขาต้องการที่จะเล่นงานนาง เขาอยากทำให้นางร่ำไห้และวิงวอนขอกระดูกจากเขา

แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้น? จริงอยู่ เฟิ่งชิงเฉินร้องไห้คร่ำครวญ แต่น้ำตาของนางไม่ได้นำมาวิงวอนเขา แต่กลับเป็นน้ำตาแห่งความแค้น แค้นเสียจนอยากฉีกร่างเขาออกเป็นชิ้นๆแล้วนำไปเซ่นไหว้พ่อแม่นาง

เย่เย่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเฟิ่งชิงเฉินในรูปแบบเช่นนี้ แต่ว่า……เขายังไม่ได้ทำลายโครงกระดูกของเฟิ่งจ้านและลู่อี่โม่เลย จะให้เขายอมได้อย่างไร

แต่ไม่ยอมแล้วจะทำอะไรได้ ตอนนี้เขาไม่มีโอกาสจู่โจมแล้ว เขากลัวจนหัวหด แต่ก็ต้องทำเป็นใจสู้

เย่เย่ยังคงเชิดหน้าอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เขาจะไม่ยอมจากไปง่ายๆ หากเขาต้องออกไปเพราะถูกเฟิ่งชิงเฉินขับไล่ เขาจะเอาหน้าของตัวเองและศักดิ์ศรีเมืองเย่เฉิงไปไว้ไหน

ตอนนี้เย่เย่ต้องการตัวช่วย หวังจิ่นหลิงรู้ว่าหากเย่เย่ยังไม่ไปจากที่นี่ เฟิ่งชิงเฉินจะต้องฆ่าเขาจริงๆ หวังจิ่นหลิงจึงสะกิดรัชทายาท เพื่อให้รัชทายาทพูดอะไรสักอย่าง

รัชทายาทพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินเข้าไปขวางตรงจุดกึ่งกลางระหว่างเฟิ่งชิงเฉินและเย่เย่

“ท่านเย่ เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะไปถามเจ้าเมืองเย่เฉิงด้วยตัวเอง ว่าเมืองเย่เฉิงมีเจตนาแอบแฝงเช่นไรกันแน่ ท่านเย่ สีหน้าท่านดูไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรนัก ข้าว่าท่านกลับไปก่อนเถอะ”

คำพูดของรัชทายาทถือเป็นการเปิดทางให้เย่เย่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการดึงเมืองเย่เฉิงเข้ามาพัวพัน หากวันใดจำเป็นขึ้นมา ตงหลิงจะได้มีข้ออ้างในการเปิดศึกกับเมืองเย่เฉิง

รัชทายาทเชื่อว่าอีก 8 เมืองจะไม่มีใครส่งกองกำลังมาเสริมให้เย่เฉิง ขอเพียง 9 เมืองไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของตงหลิงก็จะสามารถยึดเย่เฉิงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินตงหลิงได้อย่างง่ายดาย

รัชทายาทก็คือรัชทายาท เขานึกถึงตงหลิงอยู่ตลอดเวลา หวังจิ่นหลิงส่ายหน้า พลางมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเห็นใจ ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเฟิ่งชิงเฉินเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ชอกช้ำกับเรื่องแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินจากใจจริง คนอื่นๆ……ล้วนแล้วแต่มีแผนการแอบแฝง

“……” เย่เย่หน้าซีด เขาใคร่ครวญอย่างไรก็ไม่เข้าใจเลย ก็แค่นำกระดูกของเฟิ่งจ้านและลู่อี่โม่ออกมาเท่านั้น เหตุใดรัชทายาทจึงโยงใยไปเป็นประเด็นตงหลิงและเย่เฉิง?

เย่เย่เม้มปาก เขาอยากอธิบายออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี หรือบางที เขาคงจะกำลังหวาดกลัวกับเรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินจะเอาเขาไปให้งูกิน ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งไม่กล้าเอ่ยปากอธิบาย

เขาหันไปทางหนานหลิงจิ่นฝานและซีหลิงเทียนเหล่ย หวังว่าสองคนนั้นจะช่วยเขาพูดบ้าง สถานการณ์เช่นนี้ตัวคนเดียวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพราะอาจจะทำให้เมืองเย่เฉิงต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย

แต่มองหาเท่าไรก็ไม่เห็นสองคนนั้นแม้แต่เงา เย่เย่รู้ตัวว่าตัวเองซวยแล้ว สองคนนั้นทิ้งเขาไปเสียแล้ว เขาต้องแย่แน่ๆเลย

เย่เย่ยืนอยู่ที่เดิมด้วยความสิ้นหวัง การกระทำของเขาในวันนี้ กลับกลายเป็นว่าเป็นการผลักเย่เฉิงไปสู่ความหายนะ เขาจะต้องกลายเป็นคนบาปของเย่เฉิงไปเสียแล้ว

ตอนนี้เย่เย่ไม่เพียงแต่ปากเสียงหายไป วิญญาณของเขาก็เหมือนหายออกจากร่างไปด้วยเช่นเดียวกัน เขายังยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ไม่รับรู้อะไรใดๆ กระทั่งถูกคนพาตัวออกไป เขาก็ไม่มีการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

เมื่อเย่เย่ออกไปแล้ว อารมณ์ของเฟิ่งชิงเฉินก็สงบลงไปมาก นางเลิกแผดเสียงอย่างเกรี้ยวกราด ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่เงียบๆ เพียงร้องไห้แค่อย่างเดียวก็ทำให้นางเสียงแหบแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินหันไปบอกทุกคนด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “รัชทายาท ใต้เท้า และคุณชายทุกท่าน เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว โปรดอภัยให้ชิงเฉินด้วยที่ไม่อาจอยู่คุยกับแขกทุกคนได้ งานในวันนี้ขอจบลงเพียงเท่านี้ โอกาสหน้า ชิงเฉินจะนำของกำนัลไปขอบคุณและขอโทษทุกคนถึงหน้าจวน”

เมื่อพูดจบ ก็โค้งคารวะ 1 ครั้ง

เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมา ใครมันจะยังมีกะจิตกะใจนั่งดื่มนั่งทานอยู่อีกล่ะ หากทำเช่นนั้นก็จะถือว่าเป็นการไม่เคารพพ่อแม่เฟิ่งชิงเฉิน รัชทายาทและคนอื่นๆต่างบอกนางว่าไม่เป็นไร ให้เฟิ่งชิงเฉินจัดการเรื่องพ่อแม่ให้เรียบร้อย เพราะเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งนัก

“ชิงเฉิน เจ้าดูแลตัวเองด้วยล่ะ หากมีเรื่องเดือดร้อนก็ให้ส่งคนไปแจ้งที่จวนรัชทายาท หากข้าพอจะช่วยเจ้าได้ ข้าก็จะช่วยอย่างเต็มที่ วันที่ทำพิธีฝังร่างแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน ข้าจะมาร่วมส่งดวงวิญญาณของพวกเขาด้วยนะ” เมื่อรัชทายาทกล่าวจบก็เดินออกไป คนอื่นๆก็ทยอยออกไปทีละคน

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยืนนิ่ง นางเหมือนอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางคนมากมาย ใครพูดอะไรกับนาง นางก็ได้แต่พยักหน้า อาการระทมทุกข์ของนาง ทำให้ใครต่อใครไม่อาจทนดูได้

หวังจิ่นหลิงและตี๋ตงหมิงอยู่รอจนทุกคนกลับไปแล้ว เดิมทีพวกเขาอยากอยู่เป็นเพื่อนเฟิ่งชิงเฉิน แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะเอ่ยปากพูดอะไร เฟิ่งชิงเฉินก็รีบปฏิเสธ “ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ พวกท่านกลับไปเถอะ”

ความเจ็บปวดบางอย่าง ต่อให้มีคนมาคอยอยู่เคียงข้างก็ไม่อาจช่วยบรรเทาอะไรได้ วันนี้นางเหนื่อยเหลือเกิน อยากอยู่เงียบๆตามลำพัง เพื่อรักษาแผลใจให้ตัวเอง

นางเจ็บปวดเหลือเกิน เหลือเกินคณานับ!

หวังจิ่นหลิงพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก ส่วนตี๋ตงหมิง ก่อนที่เขาจะออกไป ก็หันมาปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉิน “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ชิงเฉิน เจ้าอย่าเป็นทุกข์จนเกินไป เจอกระดูกของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินแล้วนับว่าเป็นเรื่องดี เจ้าอย่าเสียใจมากเกินไปเลยนะ”

คำพูดของตี๋ตงหมิงเหมือนเป็นการปลอบใจเฟิ่งชิงเฉิน แต่สำหรับนางแล้ว มันไม่ได้ต่างจากการถูกย้ำเตือนจิตใจด้วยมีดปลายแหลมเลย

“อืม” เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าแล้วพยายามเม้มปากตัวเองไว้ ไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมาอีก

หวังจิ่นหลิงมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความสงสาร พลางรีบลากตัวตี๋ตงหมิงออกไป ตี๋ตงหมิงไม่เข้าใจ แต่หวังจิ่นหลิงเข้าใจดี ตี๋ตงหมิงต้องการจะปลอบใจ แต่กลับพูดแทงใจเฟิ่งชิงเฉิน

เป็นการปักมีดอีกเล่มหนึ่ง ลงบนหัวใจที่กำลังชอกช้ำ!

สำนักหอดูดาวหลวงประกาศว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของฤดูหนาวครั้งนี้ เห็นทีคงจะเป็นเช่นนั้น……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท