หลังจากได้รับพระราชโองการ เฟิ่งชิงเฉินก็ตามคุณชายหยวนซีไปดูอาการของชุยห้าวถิง อาหารเที่ยง สุดท้ายเฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่ได้ทาน ไม่ใช่ไม่ให้นางทาน แต่เป็นเพราะตัวนางไม่มีอารมณ์ที่จะทาน
ในเวลานี้นางต้องการข่าวดีสักข่าว ทำให้ความหดหู่ในหัวใจหายไป สำหรับหมอ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เห็นคนไข้ฟื้นตัว เฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจรีบไปดูอาการของชุยห้าวถิง
ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินไปถึงชุยห้าวถิงเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาพอดี ประโยคแรกที่เขาพูดออกมาก็คือ “ข้ายังไม่ตาย!”
ใช่ ยังไม่ตาย! ยังลืมตาขึ้นมาได้นั่นแปลว่าการผ่าตัดของเฟิ่งชิงเฉินประสบความสำเร็จ อาการป่วยของเขาหายดีแล้ว
“เจ้าจะตายได้อย่างไร ข้าบอกไปแล้วว่ามันต้องสำเร็จ นี่แสดงว่าเจ้าไม่เชื่อใจข้า” เห็นชุยห้าวถิงฟื้นขึ้นมา ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเผยให้เห็นรอยยิ้ม มันคือรอยยิ้มจากใจจริง
แม้ว่านางไม่มีความสามารถแย่งชีวิตคนเหมือนพญายม แต่นางก็ไม่ต้องการทำลายทุบหม้อข้าวของตนเอง เรื่องการผ่าตัดนางไม่กังวล สิ่งที่นางกังวลคือการปฏิเสธของไขกระดูก ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี
ชุยห้าวถิงโชคดีไม่เบา!
“ห้าวถิง ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นมาแล้ว?” คุณชายหยวนซีผลักเฟิ่งชิงเฉินออกไป พุ่งออกมาด้านหน้า กอดชุยห้าวถิงไว้ในอ้อมแขน น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง……
“ท่านอา ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” ชุยห้าวถิงไม่ได้ยินในสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมา ตอนนี้สมองของเขาโล่ง เขาคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้น เขารู้เพียงแค่ว่ายังมีชีวิตอยู่ เฟิ่งชิงเฉินลบเงาแห่งความตายที่แขวนไว้บนศีรษะของเขาออกไปให้
ตั้งแต่นี้ไปเขากลายเป็นปกติ อยากยิ้มก็ยิ้ม อยากร้องก็ร้อง ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่าตนเองจะตายไปตอนไหน
“ข้ายังมีชีวิตอยู่ ดีเหลือเกิน!” ดวงตาของชุยห้าวถิงฉายแววของน้ำตา หลังจากนี้เขาไม่ต้องทรมานกับความเจ็บปวดของอาการป่วยอีกต่อไป ไม่ต้องทนกับความเห็นอกเห็นใจ การเยาะเย้ย และความสงสารอีกต่อไป
เขาชุยห้าวถิงสามารถมีชีวิตอยู่เหมือนกับคนปกติทั่วไปได้
เห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความดีใจจนไม่อยากจะเชื่อของชุยห้าวถิง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสดใสขึ้นเช่นกัน ในเวลานี้ ความเหนื่อยล้าจากการผ่าตัดทั้งหมดหายไปเหมือนไม่เคยมีมาก่อน
“การมีสุขภาพแข็งแรงเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้” ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินมีรอยยิ้มของความอ่อนโยน
นางยังมีอะไรต้องให้บ่น ชุยห้าวถิง เมื่อเทียบกับพวกของหยุนเซียว นางเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกมีความสุขมาก นางเฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงแค่สามารถทำให้ร่างกายของตนแข็งแรง แต่ยังสามารถทำให้ร่างกายของผู้อื่นแข็งแรงได้อีกด้วย
“ใช่ การมีร่างกายที่แข็งแรงคือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เฟิ่งชิงเฉิน ขอบคุณเจ้ามา ขอบคุณที่ทำให้ข้าแข็งแรงขึ้น ทำให้ข้าไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บป่วยอีกต่อไป”
นอกจากประโยคนี้ชุยห้าวถิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา ในตอนนี้เขารู้สึกว่าคำพูดของเขาไร้ความหมาย มันไม่มีอะไรที่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของเขาได้
“เอาล่ะ ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังมีความสุข แต่……ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงเวลาพักฟื้น ไม่ต้องตื่นตัวจนมากเกินไป ตอนนี้ให้ข้าตรวจสอบร่างกายของเจ้าก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง” เฟิ่งชิงเฉินก้าวมาด้านหน้า หยุดการเคลื่อนไหวแห่งความดีใจของชุยห้าวถิง
“อ่า อ่า……” เมื่อได้ยินน้ำเสียงขี้เล่นของเฟิ่งชิงเฉิน ใบหน้าของชุยห้าวถิงแดงขึ้นมา นอนลงบนเตียงด้วยความเขินอาย ไม่กล้าเคลื่อนไหว
เมื่อสักครู่เขาเสียกิริยาไปจริงๆ ในตอนนั้นเขาลืมคำสอนที่ได้เล่าเรียนมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการกระทำ เขาแสดงออกมาให้เห็นถึงความดีใจอย่างสุดกำลังของเขา
จู่ๆเฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกว่าชุยห้าวถิงในสภาพแบบนี้ก็น่ารักดีเหมือนกัน ในที่สุดก็เหมือนกับชายหนุ่มทั่วไป นางไม่ชอบชุยห้าวถิงในท่าทางของหนุ่มน้อยที่มีท่าทางเหมือนชายชราที่สงบราวกับถูกทารุณกรรม
อายุของชุยห้าวถิงในตอนนี้ถ้าหากใช้ชีวิตได้เป็นปกติก็น่าจะเรียนประมาณมหาลัย นั่นถึงจะเหมาะสมกับวัยของเขา
เฟิ่งชิงเฉินนำข้อมูลที่ซือสิงได้บันทึกไว้ออกมาพลิกดู จากนั้นก็ทำการตรวจร่างกายอีกครั้ง “คุณชายชุย พักผ่อนให้มากๆ อีกไม่นานเจ้าก็สามารถลงจากเตียงไปเดินเล่นได้แล้ว”
“ขอบคุณเจ้ามากเฟิ่งชิงเฉิน” ชุยห้าวถิงกล่าวขอบคุณออกไปอีกครั้ง มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจ ไม่มีความรู้สึกขัดแต่อย่างใด
“ไม่เป็นไร มันเป็นสิ่งที่ข้าควรทำ ข้าเป็นหมอ เจ้าเป็นคนไข้ เจ้าจ่ายค่ารักษา ข้าก็ต้องทำการรักษาเจ้า” ค่ารักษา แน่นอนว่าหมายถึงการร่วมมือกันของตระกูลหวังกับตระกูลชุย
“ไม่ ไม่เหมือนกัน เจ้ามีบุญคุณในการช่วยชีวิตข้า มันไม่ใช่สิ่งที่ผลประโยชน์หรือเงินทางแลกมาได้” เฟิ่งชิงเฉินให้ร่างกายที่แข็งแรงและชีวิตที่ยืนยาวกับเขา ถ้าไม่มีเฟิ่งชิงเฉิน เขาคงจะต้องตายอีกในไม่ช้า แม้เขาจะมีอำนาจและเงินทองมากมาย แต่มันจะไปมีประโยชน์อะไร
“แต่สำหรับข้าแล้วมันไม่ได้แตกต่างอะไรกัน มือทั้งสองข้างของข้ามีไว้เพื่อหาเงินและผลประโยชน์ เรียนหมอมาเพื่อช่วยเหลือคน แต่ก่อนที่จะช่วย ข้าต้องทำการตกลงข้ารักษากับคุณชายชุยก่อน ข้าเป็นหมอ เจ้าเป็นคนไข้ เจ้าจ่ายค่ารักษา เจ้าไม่ได้ติดค้างอะไรข้า”
บุญคุณการช่วยชีวิต แม้ว่าจะเป็นของดี แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการมัน นางไม่ต้องการให้หลังจากนี้ชุยห้าวถิงปฏิบัติกับนางเหมือนผู้มีพระคุณ แบบนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาจะจบลงโดยเร็ว
เห็นชุยห้าวถิงยังไม่เห็นด้วย เฟิ่งชิงเฉินก็พูดออกมาอีกว่า “คุณชายชุย เจ้าอย่าคิดมาก ความสัมพันธ์ของพวกเราคือหมอกับคนไข้ หลังจากอาการป่วยของเจ้าหายแล้ว พวกเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องบุญคุณกับข้า ข้าก็ไม่มีทางออกไปป่าวประกาศกับคนภายนอกว่าข้าเคยช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้ ในสายตาของข้าไม่ว่าเจ้าจะเป็นคุณชายของตระกูลชุยหรือประชาชนทั่วไป เมื่อมาหาข้า ถ้ารักษาได้ ข้าก็รักษาให้”
หลังพูดจบ เฟิ่งชิงเฉินหยิบใบสั่งยาขึ้น พร้อมกับเอ่ยชื่อของตัวยา “ซือสิง ยาที่คุณชายชุยต้องใช้ในวันพรุ่งนี้ ข้าได้เปลี่ยนตัวยาใหม่สองชนิด เจ้าตามข้าไปรับยา”
“ขอรับ” ซุนซือสิงรีบลุกขึ้น หันมาตอบรับเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเคารพ
เขาคิดว่าคำพูดของอาจารย์ช่างมีเหตุผล เป็นหมอรับค่ารักษาเพื่อช่วยเหลือคน สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ถ้าหากมาพูดถึงเรื่องบุญคุณการช่วยชีวิต แบบนั้นมันก็ดูไม่ยุติธรรม
หรือว่าทุกการรักษาของเจ้า หลังจากได้รับค่ารักษาแล้ว เจ้ายังต้องการบุญคุณการรักษาจากผู้อื่น อยากมีตัวตนเหนือกว่าคนเหล่านั้น ให้คนอื่นเห็นว่าตนเองเป็นผู้มีพระคุณไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?
ถ้าหากเจ้าคิดเช่นนี้ เจ้าอย่ามาเป็นหมอเลยดีกว่า คนที่มีความคิดเช่นนี้อยู่ในใจไม่มีทางเป็นหมอได้อย่างแท้จริง
เฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปพร้อมกับซุนซือสิง ทำให้ในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงคุณชายหยวนซีและชุยห้าวถิง มองการจากไปของเฟิ่งชิงเฉิน คุณชายหยวนซีกล่าวออกมาด้วยอารมณ์ว่า “เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้มีสติปัญญา นางฉลาดมาก และรู้จักเลือกวิธีที่ถูกต้อง”
ถ้าหากเฟิ่งชิงเฉินเลือกจะรับบุญคุณครั้งนี้ของชุยห้าวถิงไว้ แน่นอนว่าในช่วงระยะเวลาอันสั้นตระกูลชุยไม่มีทางพูดอะไรออกมา แต่ถ้าหากเวลาผ่านไปนาน ความไม่สบายใจก็จะเกิดขึ้น
ไม่มีใครชอบให้ผู้อื่นเอาบุญคุณมาค้ำคอ เที่ยวไปบอกคนอื่นว่านางเป็นผู้ช่วยชีวิตของเจ้า ไม่มีนางเจ้าตายไปตั้งนานแล้ว เรื่องแบบนี้ได้มันน่ารำคาญมากเกินไป เหมือนกับว่าตนเองกำลังติดหนี้นางอยู่
ตระกูลชุยของพวกเขาไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณเฟิ่งชิงเฉิน!
“ทุกคนล้วนมีปรัชญาในการเอาชีวิตรอดของตัวเอง นี่คือปรัชญาการเอาตัวรอดของเฟิ่งชิงเฉิน ถ้าหากนางไม่มีนิสัยเช่นนี้ นางจะกลายเป็นคนสนิทของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวังได้อย่างไร จะได้รับคำชื่นชมจากซีหลิงเทียนอวี่ได้อย่างไร”
เฟิ่งชิงเฉินรักษาดวงตาของหวังจิ่นหลิงจนหายดี ทำให้ซีหลิงเทียนอวี่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ นี่สำหรับซีหลิงเทียนอวี่กับหวังจิ่นหลิงแล้วถือเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินต้องการอะไรจากพวกเขา แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางปฏิเสธ
แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยเอาเรื่องราวเหล่านี้ไปพูดกับคนภายนอก ไม่เคยแสดงตัวว่าตนเป็นผู้มีพระคุณต่อหน้าซีหลิงเทียนอวี่กับหวังจิ่นหลิง หรือให้พวกเขาทำการตอบแทนแต่อย่างใด
การกระทำเช่นนี้ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นถือเป็นเรื่องที่ฉลาดมาก มองจากตรงนี้ ดูเหมือนว่านางเองจะเสียอะไรไปมาก แต่เจ้าจะรู้เองว่าสิ่งที่นางได้กลับไปนั้นมันมากกว่า
“ผ่านประสบการณ์ความเป็นตายครั้งนี้ เจ้าดูสงบลงไม่น้อย ในที่สุดข้าก็สามารถวางใจได้ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้อยู่บนสวรรค์ เห็นร่างกายของเจ้ากลับมาแข็งแรง เห็นการเติบโตของเจ้า พวกเขาจะต้องดีใจมากเป็นแน่” คุณชายหยวนซีนำมือลูบใบหน้าของชุยห้าวถิง ด้วยความโล่งใจ……