ในเวลากลางคืน เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงจัดเก็บยาที่จะใช้ในวันพรุ่งนี้ จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องของตนเพื่อเตรียมตัวเข้านอนแต่เนิ่นๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมตัวทำงานในโรงพยาบาลเพื่อประชาชนในวันรุ่งขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินอ้าปากหาว หลังจากที่นางให้ทงจือและทงเหยาออกไปแล้ว นางจึงถือตะเกียงเดินเข้าไปในลานเพียงลำพัง
เมื่อมีชุยห้าวถิงอยู่ในจวน จวนของนางจึงปลอดภัยมาก แต่นางลืมไปว่าความปลอดภัยไม่ใช่เพียงการไม่ปล่อยให้บุคคลภายนอกเข้ามา แต่ไม่อาจป้องกันคนที่เคยอยู่ในจวนเฟิ่งแต่เดิมได้ นางยังไม่ทันเดินไปได้สักกี่ก้าว ก็พบร่างหนึ่งยืนอยู่ในความมืด
“ผู้ใด?” เฟิ่งชิงเฉินถือตะเกียงและเดินไปข้างหน้า เมื่อนางกำลังพิจารณาว่าจะเรียกผู้คุ้มกันหรือไม่ เงานั้นก็โผล่ออกมา “ข้าเอง”
“เจ้าเองหรือ? เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่?” เฟิ่งชิงเฉินผ่อนคลายลงเมื่อเห็นคนผู้นั้นกำลังมา หวังจิ่นหลิงพูดถูก คนคนนี้จะไม่ทำร้ายนาง
“อืม” เซวียนเส้าฉีตอบออกมาแล้วไอ “ข้าคิดว่าเจ้ายังไม่กลับสักทีไปจึงออกมาดู นี่มันก็ดึกแล้ว เจ้าเป็นสตรี ไปไหนคนเดียวไม่ปลอดภัย ข้าจะพาเจ้ากลับไปเอง” เพราะกลัวชิงเฉินไม่เห็นด้วย เซวียนเส้าฉีจึงกล่าวขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่บังคับจิตใจเจ้า”
หลังจากพูดแล้วเซวียนเส้าฉีก็ก้าวออกไปอย่างเงียบๆ และรักษาระยะห่างจากเฟิ่งชิงเฉินไว้มากกว่าสามก้าว เพื่อพิสูจน์ว่าเขาต้องการไปส่งเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น ไม่มีเจตนาอื่นใด
เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้จากไป เซวียนเส้าฉีจึงเตือนขึ้นอีกครั้ง “ไปกันเถิด ข้าแค่อยากจะส่งเจ้ากลับไปที่เรือน ไม่มีความหมายอื่นใด หากเจ้ารังเกียจ ข้าจะยืนห่างออกไปอีกหน่อย”
เขาก็ถอยหลังไปอีกสองสามก้าวเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ในความมืดมิด ดวงตาคู่หนึ่งเปล่งประกายเจิดจ้ามองเฟิ่งชิงเฉินด้วยความคาดหวัง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้วิธีจะปฏิเสธอย่างไรจริงๆ นอกจากนี้ นางไม่ต้องการเสียเวลาโต้เถียงกับเซวียนเส้าฉีเจ้าเด็กคนนี้ช่างดื้อรั้นเหลือเกิน
“ขอบคุณนายท่านน้อย”
เฟิ่งชิงเฉินเดินถือตะเกียงเดินไปข้างหน้า ในตอนแรกนางยังให้ความสนใจบ้างเล็กน้อย แต่นางพบว่าเซวียนเส้าฉีซึ่งอยู่ข้างหลังนางได้รักษาระยะห่างจากนางมากกว่า 5 ก้าว ไม่ได้มีความตั้งใจจะเข้าใกล้นาง
เซวียนเส้าฉีแค่อยากส่งนางกลับจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหนักใจ เซวียนเส้าฉีที่อยู่ข้างหลังนางกดดันนางอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจและเดินไปข้างหน้าตามปกติ เมื่อไปถึงประตูลานบ้าน เฟิ่งชิงเฉินหยุดและมองไปที่เซวียนเส้าฉี โค้งเคารพและยื่นโคมให้เขา “ข้ามาถึงแล้ว ขอบคุณนายท่านน้อยมาก จงเอาตะเกียงนี้ไป เถิด”
แม้ว่าท้องฟ้าจะสว่างจนมองเห็นทางได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใช้ตะเกียง แต่การถือตะเกียงเช่นนี้ไว้จะสะดวกกว่า นี่คือการตอบแทนของนางต่อเซวียนเส้าฉีที่คอยคุ้มกันนางมา
เซวียนเส้าฉีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอื้อมมือไปรับมา “เข้าไปเถิด ค่ำแล้ว พรุ่งนี้เจ้าคงจะยุ่ง”
หลังจากพูดจบเขาก็ยืนอยู่ที่ประตูลานบ้านจนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปข้างใน เซวียนเส้าฉีหันศีรษะกลับไปเงียบๆ และเดินไปที่เรือนของเขา
เขาสั่งลูกน้องให้รวบรวมข้อมูลของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นข้อมูลเหล่านั้นเขาก็เกลียดตัวเองมาก เหตุใดเขาไม่ปรากฏตัวก่อนหน้านี้?
เฟิ่งชิงเฉินเรียกได้ว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข่าวของนางจึงง่ายที่จะถามถึง สิบห้าปีแรกนั้นนางค่อนข้างธรรมดา แต่โชคดีที่นางไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า การทดสอบของเฟิ่งชิงเฉินเริ่มต้นขึ้นหลังงานพิธีแต่งงานกับลั่วอ๋อง
บนกระดาษแผ่นบางๆ สองสามแผ่น พวกเขาจดสิ่งที่เกิดขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินไว้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มองดูคำพูดที่เขียนไว้ไม่มากว่า “สูญเสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน ยกเลิกงานแต่งงาน และใช้ชีวิตแบบที่โลกไม่ยอมรับ”
เขารู้สึกปวดใจแทนกับเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ เขาเกลียดตัวเองที่มาสายเกินไป หากเขาปรากฏตัวก่อนหน้านี้ ลูกสาวของป้าโม่จะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ ส่วนเขาก็ไม่ต้องทนกับสายตาแปลกๆ ของผู้คน
กระดาษธรรมดาๆ เขียนไว้ว่าเฟิ่งชิงเฉินรอดจากข่าวลือและสถานการณ์ที่คับคั่งเหล่านั้นมาได้อย่างไร ผ่านกระดาษแผ่นบางๆ นี้เขาสามารถเห็นได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินใช้ชีวิตอย่างหนักหน่วงเพียงใดในตอนแรก
ทุกคนรอบตัวนางบอกให้นางไปตายเสียดีกว่า มีเพียงความตายเท่านั้นที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนางได้ ไม่มีใครยกย่องนาง แต่นางได้เชิดหน้าขึ้น พยายามกัดฟันอดทนเอาชีวิตรอดด้วยเรี่ยวแรงความสามารถของตนเอง ความแข็งแกร่งนี้ทำให้เขาปวดใจยิ่งนัก
การตายนั้นง่าย แต่การเอาตัวรอดช่างยาก เพราะการเอาชีวิตรอดนั้นต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ มากมาย
นางคุกเข่าที่ประตูเมือง ถูกโยนไข่ใส่ และถูกจับเข้าไปในเรือนจำสวมชุดเปื้อนเลือด
นี่ไม่ใช่สิ่งที่สตรีธรรมดาจะทนได้ ไม่เพียงแต่นางได้สัมผัสมันทั้งหมดเท่านั้น แต่นางยังผ่านพ้นความยากลำบากมาด้วยความแข็งแกร่งอีกด้วย
เมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉินบ้างแล้ว ดวงตาของเซวียนเส้าฉีก็เปียกชื้นอย่างช่วยไม่ได้
นานแค่ไหนแล้วที่เขาเสียน้ำตา? ตั้งแต่ป้าโม่จากไปเขาก็ไม่ได้หลั่งน้ำตาอีก เพราะคงจะไม่มีใครเหมือนแม่และป้าโม่ซึ่งคอยกอดเขาและกล่อมเขาอย่างอ่อนโยน
เฟิ่งชิงเฉินคือบุตรสาวของป้าโม่ นั่นก็คือที่รักของเขา เขาจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้นางมีความสุข
เซวียนเส้าฉีถือตะเกียงที่เฟิ่งชิงเฉินมอบให้ ขอของเขาเหยียบไปที่หิมะแล้วเดินออกไป แต่เขาไม่รู้ว่าที่ตนสาบานว่าจะปกป้องนางตลอดชีวิต มีใครบางคนได้ยินเข้าและกำลังเอ่ยถามความเป็นมาอยู่ภายในห้อง
ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินเปิดประตูออก นางก็พบกลิ่นหอมที่คุ้นเคยลอยอยู่ในห้อง รอยยิ้มที่หางตาของเฟิ่งชิงเฉินปรากฏขึ้น นางหันไปปิดประตูและเดินไปที่ฉากกั้น
เมื่อเห็นคนที่คุ้นเคยคนนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พยายามระงับความดีใจของนางและถามว่า “เสด็จอาเก้า เป็นเจ้าจริงหรือ เหตุใดเจ้าจึงออกมาอีก?”
เฟิ่งชิงเฉินห่วงใยเสด็จอาเก้าอย่างจริงใจ แต่เสด็จอาเก้าฟังดูความหมายไม่เหมือนกัน เฟิ่งชิงเฉินทำให้การแสดงออกบนใบหน้าของเสด็จอาเก้าดูไม่น่ามอง
“ทำไม? ข้ามาเร็วเกินไปจึงรบกวนเจ้า?” อย่าคิดว่าเขาไม่รู้เรื่องเซวียนเส้าฉีส่งนางกลับมา
ฮึ่ม…… คู่หมั้น คิดว่าเก่งนักหรือ? คู่หมั้น สามารถมาที่ส่งเฟิ่งชิงเฉินที่เรือนได้หรือ
“หา?” เฟิ่งชิงเฉินทำตัวไม่ถูก นางไม่เข้าใจความหมายของเสด็จอาเก้า
“ฮึ่ม……” เสด็จอาเก้าไม่มีเวลาว่างที่จะอธิบายให้เฟิ่งชิงเฉินฟัง เขาพ่นลมหายใจออกมา เงยหน้าขึ้นอย่างเย่อหยิ่งและไม่พูดอะไรสักคำ
เสด็จอาเก้านั่งหันหลังให้กับแสง ใบหน้าบูดบึ้ง ทำให้ดูมืดมนยิ่งขึ้น เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นางรอฟังเสด็จอาเก้าและไม่ขยับเขยื้อนใดๆ
อย่าว่าแต่จักรพรรดิเลย แม้แต่ตระกูลหลูในซานตง นางไม่ได้ส่งใครไปสืบข่าวด้วยซ้ำ
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหัว ว่ากันว่าว่าจิตใจของสตรีนั้นเดายาก จากที่นางดู มันยากยิ่งกว่าที่จะเดาจิตใจของบุรุษ และความคิดในใจของเสด็จอาเก้า ทางที่ดีอย่าเดาเลย คงจะทำให้ตนเองยุ่งเหยิงแน่แท้
เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้ถาม นางต้องการถอดเสื้อคลุมออก แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ นางพบว่าอุณหภูมิในห้องต่ำกว่าอุณหภูมิภายนอกเสียอีก อากาศเริ่มเย็นลงทุกที……
เฟิ่งชิงเฉินตัวสั่นและรัดเสื้อคลุมเข้าหากันแน่นอย่างรวดเร็ว รักษาระยะห่างระหว่างตัวนางกับเสด็จอาเก้าอย่างเงียบ ๆ
นางไม่ได้กลัว แต่นางหนาว เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องแข็งตาย นางยังคงถามอย่างเชื่อฟังว่า “เสด็จอาเก้า สบายดีหรือไม่ องค์จักรพรรดิทำให้ท่านลำบากใจหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ลืมว่าเสด็จอาเก้าเพิ่งหนีออกมาจากคุกเมื่อสองวันก่อน และนางกังวลว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเสด็จอาเก้า
เพราะเสด็จอาเก้าถูกจักรพรรดิกักขังเข้าเรือนจำต่อหน้าทุกคน หากจักรพรรดิพบว่าเขาหนีออกจากคุก จะเป็นอาชญากรรมร้ายแรงถึงกับตัดศีรษะก็เป็นได้
“มานี่สิ” เสด็จอาเก้าไม่ตอบคำถามของเฟิ่งชิงเฉิน แต่โบกมือให้นางเข้าไปหา
เฟิ่งชิงเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันไม่มีความสุขของเสด็จอาเก้า นางจึงไม่กล้าคิดมากอีกต่อไป นางรีบเดินไปหาเสด็จอาเก้า และมองดูเสด็จอาเก้า โดยหวังว่าเสด็จอาเก้าจะไขความงุนงงของนางว่าเขาไปโกรธใครมา
แต่คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ได้พูดสิ่งใดเลย เขาเอื้อมมือออกมาและดึงนางไปไว้ในอ้อมแขนของเขา ซุกศีรษะเข้าไประหว่างซอกคอของเฟิ่งชิงเฉิน ลมหายใจอุ่นๆ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกวิงเวียน เมื่อนางรู้ตัวว่าเสด็จอาเก้าต้องการจะทำอะไร นางจึงรีบเอื้อมมือออกไปผลักเสด็จอาเก้า……
“อย่า!”