นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 682 ทะเลาะ เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ใบหน้าของ เสด็จอาเก้าเปลี่ยนมืดมนทันที

อะไรกัน คู่หมั้นคู่หมายอยู่ที่นี่ ตัวเขาจึงไม่สามารถแม้แต่จะกอดนางได้?

เสด็จอาเก้ากัดฟันเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เฟิ่งชิงเฉินอย่างดุเดือด ชายผู้หิวโหยทั้งร่างกายและจิตใจแน่นอนว่าเขาคงอารมณ์ไม่ดี แต่หากเฟิ่งชิงเฉินเพียงออดอ้อนเบาๆ สองสามประโยคเพื่อเอาใจเขา เขาก็จะไม่ถือสานางแล้ว

แต่…… เสด็จอาเก้าลืมไปว่านางคือสตรีของเขา นางคือเฟิ่งชิงเฉิน สตรีที่เหมือนกับเขาซึ่งเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง ไม่อาจก้มศีรษะของนางลงอย่างง่ายดายได้

เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมแพ้ นางจ้องไปที่เสด็จอาเก้าด้วยใบหน้าโมโห ตาของพวกเขาทั้งสองจ้องมองกัน ดวงตาของทั้งคู่เปล่งประกายด้วยความโกรธ

“เฟิ่งชิงเฉิน!” เสด็จอาเก้าคำรามอย่างไม่พอใจ เขาไม่สามารถแม้แต่จะกอดนางได้ในตอนนี้ นางไม่อธิบายเรื่องคู่หมั้นนั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ บัดนี้กลับกล้ามาจ้องมองเขาอีก

เพื่อไม่ให้ตนพ่ายแพ้ เฟิ่งชิงเฉินจึงตะคอกกลับ “ตงหลิงจิ่ว!”

นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่งแสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง เสด็จอาเก้าเห็นนางเป็นคนเช่นไรกัน แม้นางจะไม่ต้องไว้ทุกข์ แต่ก็ไม่ควรทำตัวบุ่มบ่ามกับนางเช่นนี้ในขณะที่กระดูกของบิดามารดานางยังไม่ทันได้ฝังลงดิน

ทั้งคู่สบตากันไม่มีใครยอมใคร ทั้งสองยังคงกอดกัน แต่ไม่มีบรรยากาศที่คลุมเครือเลยแม้แต่น้อย

กลิ่นเผาไหม้อบอวลไปเต็มห้อง หัวหน้าองครักษ์ได้โบกมือให้คนอื่นถอยออกไป! หากยังอยู่ต่อคาดว่าคงจะโชคร้าย

ทั้งสองคนอยู่ด้วยท่าทางเช่นนี้เป็นเวลานาน จนเฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่านางเริ่มจะเมื่อย และคอของนางก็ปวด ขณะที่นางตั้งใจจะละความสนใจจากชายผู้นี้ที่เพิ่งหนีออกมาจากคุก คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะยอมอ่อนข้อให้นางก่อน

“ชองเฉิน……”

เสด็จอาเก้าปรับน้ำเสียงของเขาให้อ่อนลงและกอดเฟิ่งชิงเฉินอย่างนุ่มนวล ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเห็นใจเฟิ่งชิงเฉิน แต่เพราะเขายุ่งมากและไม่มีเวลาที่จะอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินที่นี่มากนัก

กว่าที่เขาจะออกมาได้มันง่ายหรือ เขาไม่ได้เดินทางไปหาหวังจิ่นหลิงกับซูเหวินชิง เขากลับเดินทางมาหาเฟิ่งชิงเฉินโดยตรง แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นคืออะไร?

เขาเห็นเซวียนเส้าฉีส่งเฟิ่งชิงเฉินกลับมาที่เรือน และเห็นพวกเขาทำท่าทางเหมือนไม่อยากจากกันอยู่หน้าจวน เขาจะไม่โกรธได้อย่างไร

เอ่อ…… เสด็จอาเก้า ตาข้างไหนของท่านมองเห็นเฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีทำท่าทางเหมือนไม่อยากจากกันที่หน้าประตู?

ข้าเห็นกับตาตัวเองทั้งสองข้าง ทำไมเล่า? เจ้าคัดค้านหรือ?

มิกล้า มิกล้า แท้จริงข้าก็มีส่วนผิดด้วยเช่นกัน

เสด็จอาเก้ายอมอ่อนข้อให้เช่นนี้ แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่แข็งกระด้างอีกต่อไป แต่สตรีก็มีศักดิ์ศรีในตัวของสตรี จะมาตะคอกหรือเกลี้ยกล่อมตามอำเภอใจมิได้

“อืม” เฟิ่งชิงเฉินตอบด้วยน้ำเสียงอันเบา หน้าของนางยังเชิดขึ้นเล็กน้อยโดยไม่มองไปทางเสด็จอาเก้า เป็นการบอกอย่างชัดเจนว่า เรื่องนี้สามารถเจรจากันได้ แต่ต้องดูที่ท่าทีของเจ้า

อดทน!

เสด็จอาเก้าสูดหายใจเข้าลึก แล้วพ้นลมหายใจออกมาอีกครั้ง ลมหายใจนั้นพ่นรดตรงคอของเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกคัน นางขยับร่างกายโดยไม่รู้ตัว ความเย็นชาก่อนหน้าได้ลดลงไปมาก

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่านางใจง่ายเสียจริงๆ เกลี้ยกล่อมได้โดยง่ายดายเช่นนี้

เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินอ่อนโยนลง ความเยือกเย็นในดวงตาของ เสด็จอาเก้าก็อ่อนลงเช่นกัน บัดนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ เขาจะไม่ยอมให้คนวุ่นวายเหล่านั้นมาคุกคามตำแหน่งเขาอย่างแน่นอน

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้ากับเซวียนเส้าฉีเรื่องนี้เป็นมาอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธที่จะพูด ดังนั้นเขาจึงถามด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเสียหน้าเล็กน้อย แต่ก็เป็นวิธีที่เด็ดขาด

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสด็จอาเก้าก็เกลียดชังเสด็จพี่ของเขาเหลือเกิน ที่จับเขาขังคุกในเวลานี้ ดูเหมือนว่าแผนสร้างเทพเจ้าของเฟิ่งชิงเฉินจะต้องรีบทำให้สำเร็จแล้ว

เสด็จอาเก้ากำลังสองจิตสองใจ แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สังเกต เมื่อรู้ว่าเสด็จอาเก้าโกรธเพราะเรื่องนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางคิดว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเสด็จอาเก้าเสียอีก จึงทำให้นางกังวลใจเปล่าๆ

เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการให้เสด็จอาเก้ารู้สึกไม่สบายใจ จึงอธิบายทันทีว่า “เรื่องของเซวียนเส้าฉีกับข้าเป็นเหมือนที่เจ้ารู้ เขาเป็นคู่หมั้นของข้า แม่ข้าหมั้นหมายไว้ตั้งแต่ตอนที่ข้ายังไม่เกิด ข้าคิดว่าแม่ของข้าคงไม่ได้คิดเป็นเรื่องจริงจัง ไม่เช่นนั้นคงจะไม่มีการสมรสระหว่างข้ากับตงหลิงจื่อลั่ว แต่เซวียนเส้าฉีกลับจริงจังเช่นนี้”

สำหรับการที่เสด็จอาเก้ารู้เรื่องเซวียนเส้าฉีกับเฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่แปลกเลย คงจะแปลกกว่านี้หากเสด็จอาเก้าไม่รู้

ผู้คุ้มกันข้างกายนางนั้นคือคนของซูเหวินชิงและหลานจิ่วหลิง อีกทั้งซูเหวินชิงกับหลานจิ่วหลิงเป็นคนของเสด็จอาเก้า ทุกการเคลื่อนไหวของนาง แน่นอนว่าต้องไปถึงหูเสด็จอาเก้า

“เจ้ายอมรับว่าเขาเป็นคู่หมั้นของเจ้า?” เสด็จอาเก้าอยากจะบดขยี้เฟิ่งชิงเฉินให้ตายเหลือเกิน คู่หมั้นอะไรกัน พูดได้สนิทสนมเหลือเกิน

“ข้าจะยอมรับว่าหรือไม่ก็ตาม แต่เรื่องที่เขาคือคู่หมั้นหมายที่มารดาของข้ากล่าวเอาไว้นั้นไม่ผิดแน่ สิ่งนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่อยู่ที่ข้า แต่เป็นที่เขา ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ต้องการให้เซวียนเส้าฉีแต่งงานกับข้า แต่เป็นเพราะเขาอยากแต่งงานกับข้าต่างหาก” ด้วยจี้หยกของทั้งคู่ และความคุ้นเคยและความคิดถึงของเซวียนเส้าฉีเมื่อพูดถึงมารดาของนาง นางไม่มีเหตุผลใดต้องสงสัยเลย

“เจ้าหมายความว่า ตราบใดที่เขายึดมั่นในสัญญาแต่งงาน เจ้าก็จะแต่งงานกับเขา? เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะเปลี่ยนจากงานแต่งงานของเขาเป็นงานศพหรือ?” ขนตาเรียวยาวของเขาสั่นเทาเบาๆ ซ่อนความเศร้าโศกและความเข้มงวดในดวงตาของเขาไว้ เผยให้เห็นแต่ความเยือกเย็นและดูถูกเหยียดหยาม

“อย่าเอาแต่ตะโกนใส่ข้าไปเสียทุกทีเช่นนี้ ข้าไม่ได้บอกว่าข้าอยากแต่งงานกับเขาสักหน่อย” เฟิ่งชิงเฉินมองไปด้วยความโกรธเกรี้ยว เมื่อนางพูดถึงการแต่งงานของนาง ดูเหมือนกำลังจะไปฆ่าใครสักคน คนที่ไม่รู้คงคิดว่านางเป็นฆาตกร

นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าจะต้องโกรธอย่างแน่นอนเพราะเรื่องคู่หมั้นของนาง แต่เรื่องนี้จะตำหนินางก็ไม่ได้ นางมิได้เป็นคนจะหมั้นหมายกับเขา ตอนที่ทำสัญญาหมั้นหมายกันนั้น นางยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ นางไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกล่าวความใดๆ

เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินบอกว่านางจะไม่แต่งงาน ดวงตาของเสด็จอาเก้าก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าไม่แต่งงานกับเขา เหตุใดเจ้าถึงเก็บเขาไว้ที่นี่?”

เสด็จอาเก้าลืมไปว่าเดี๋ยวต้องสนทนากับหวังจิ่นหลิงอีก ถึงเรื่องแผนการโจมตีเผ่าเซวียนเซียวกง หากไม่มีเซวียนเส้าฉี จะมีวิธีการเหล่านี้ได้อย่างไร

“หากข้าไม่เก็บเขาไว้ เขาก็คงไม่จากไปอยู่ดี นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับมารดาของข้าไม่ธรรมดา เพื่อเห็นแก่มารดาของข้า ข้าไม่สามารถขับไล่เขาไปได้ เพราะมารดาของข้าเกลี้ยกล่อมเขาตอนที่ยังเป็นเด็กให้เขารออีกสิบแปดปี……” เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนที่หนักแน่น แต่เมื่อเห็นดวงตาอันเย็นชาของเสด็จอาเก้าที่ทวีคูณเรื่อยๆ เฟิ่งชิงเฉินยิ่งกล่าวยิ่งไม่มั่นใจ และในที่สุดก็กลายเป็นเสียงพึมพำ

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเพียงเห็นแก่มารดา ไม่ใช่เพราะเจ้าซาบซึ้งใจที่เขารอเจ้าอยู่ถึงสิบแปดปี?” ไม่น่าแปลกใจที่เสด็จอาเก้าใจร้อน เซวียนเส้าฉีช่างอันตรายเหลือเกิน

หากเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดถึง เขาคงลืมไปแล้วว่าเซวียนเส้าฉีดื้อรั้นเพียงใด เวลาสิบแปดปีเพียงเพราะคำพูดมารดาของเฟิ่งชิงเฉิน เซวียนเส้าฉีรอเฟิ่งชิงเฉินอยู่เป็นเวลาสิบแปดปี หากไม่พบเฟิ่งชิงเฉินละก็ คาดว่าเขาคงจะรอจนถึงปีหน้า

ผู้ชายเช่นนี้ทำให้สตรีใจอ่อนง่าย ถึงแม้เขาจะไม่ได้ทำท่าทีใดๆ แต่ก็คงมีแต่คนเห็นใจ

“มิใช่อย่างแน่นอน ตงหลิงจิ่ว เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบไหนกัน? หากข้าจะแต่งงานกับเขาเพราะข้าซาบซึ้งใจ ข้าคงจะแต่งงานกับเขาไปนานแล้ว” ข้าจะรอเจ้าอีกหรือ เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่ตงหลิงจิ่วด้วยความผิดหวัง

นางต้องบอกเขาอีกกี่ครั้ง เสด็จอาเก้าจึงจะเชื่อว่านางไม่มีแผนจะแต่งงานจริงๆ

ข้อเสนอการแต่งงานของหยุนเซียว การดำรงอยู่ของเซวียนเส้าฉี ล้วนไม่ได้อยู่ในการควบคุมของนาง ดังนั้นเหตุใดนางถึงต้องคอยยืนยันทุกครั้ง?

หากสักครั้งสองครั้ง นางคงรู้สึกว่ามันสนุก เพราะทำให้เสด็จอาเก้าห่วงใยนาง แต่หลายครั้งที่เสด็จอาเก้าทะเลาะกับนางด้วยเหตุนี้ ทำให้นางสงสัยว่าเสด็จอาเก้าไม่ไว้ใจนางหรือ

เดิมทีตัวนางเองก็ปวดหัวเนื่องจากตัวตนของเซวียนเส้าฉีอยู่แล้ว เสด็จอาเก้าไม่เพียงไม่ช่วยคิดวิธีแก้ปัญหาให้นาง แต่เขายังไม่เชื่อใจนาง เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเศร้าใจทันทีเมื่อเห็นว่าเสด็จอาเก้าไม่พูดสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน นางผลักเขาออกไปเมื่อรู้สึกรำคาญ “ปล่อยข้า”

เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่กอดเฟิ่งชิงเฉินไว้แน่น ศีรษะซุกไว้ในอ้อมแขนตรงหน้าอกของเฟิ่งชิงเฉิน และบอกเฟิ่งชิงเฉินอย่างเงียบๆ ในใจว่าข้าขอโทษ!

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อในใจนาง แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อเขาอย่างมาก เขาไม่สามารถทนต่อความผิดพลาดใดๆ ได้ หากเขาไม่ได้อยู่ในคุกและขาดการติดต่อกับโลกภายนอกเช่นนี้ เขาก็คงไม่กระวนกระวายใจ

เฟิ่งชิงเฉินไม่อาจรู้ได้หรอกว่าเขากลัวแค่ไหนเมื่อเขาได้รับข่าวว่าเฟิ่งชิงเฉินมีคู่หมั้นตอนที่เขาอยู่ในคุกเช่นนี้

เมื่อยอมรับว่าเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันแล้วก็จะเป็นการยุ่งยากหากแก้ไข ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินก็จะเสียหายไปด้วย

เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนกตัญญู อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคู่หมั้นที่มารดาของนางกำหนดเอาไว้ อีกทั้งสามารถจัดงานแต่ง มอบตำแหน่งภรรยาอย่างเปิดเผยให้นางได้ เขาเป็นกังวลเหลือเกินว่านางจะใจอ่อน

หากเขาไม่สูญเสียอิสรภาพไปเช่นบัดนี้ เขาจะไม่สนใจเซวียนเส้าฉีแม้แต่น้อย เขาคงจะมาที่จวนเฟิ่งอย่างผู้ชนะ ประกาศให้เซวียนเส้าฉีรู้ว่า เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงของเขา

แต่ตอนนี้เขาทำอะไรไม่ได้เลย ความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมได้นั้นมันแย่มากสำหรับเขา เขาเกลียดเรื่องราวที่ไม่อาจควบคุมได้เช่นนี้เหลือเกิน

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้ากังวลเรื่องใดอยู่ ดังนั้นนางจึงผลักเสด็จอาเก้าออกไป หากไม่เป็นผล นางตั้งใจจะลงไม้ลงมือ

“ตงหลิงจิ่ว ปล่อยข้านะ ข้าบอกให้ปล่อย ได้ยินหรือไม่?”

“ข้าไม่ปล่อย!” ตงหลิงจิ่วปฏิเสธทันทีและเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ดวงตาของเขาเคร่งขรึม ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

เขาจะไม่เปิดเผยความไม่สบายใจของตนเองต่อบุคคลภายนอก แม้แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ตาม

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ถึงความไม่สบายใจในใจของเสด็จอาเก้า เมื่อเห็นว่าเสด็จอาเก้าสงบลงเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกท้อแท้ “เสด็จอาเก้า ต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะเชื่อว่าข้าไม่มีแผนจะแต่งงานกับเขา อีกอย่าง ข้าสามารถแต่งงานกับใครได้หรือ? มีชายคนใดยินยอมจะแต่งงานกับสตรีที่ไม่บริสุทธิ์?”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินก็น้ำตาไหล ด้วยเหตุนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงกล้าที่จะเก็บเซวียนเส้าฉีไว้ข้างกาย หากเซวียนเส้าฉียืนยันที่จะแต่งงานกับนาง ละก็ นางจะบอกเซวียนเส้าฉีว่านางไม่บริสุทธิ์แล้ว

ผู้ชายในโลกนี้จะไม่มีวันยอมแต่งภรรยาที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้วเด็ดขาด หากเสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน พวกนางจะถูกโยนเข้าไปในกรงหมูแล้วถ่วงน้ำ เซวียนเส้าฉีจะไม่มีวันแต่งงานกับนางแน่นอน

“ข้ารับได้ เฟิ่งชิงเฉิน หากสตรีนางนั้นคือเจ้า ข้าก็จะแต่งกับเจ้า!” อย่าได้กล่าวถึงตนเองเช่นนี้เลย ข้าปวดใจยิ่งนัก เสด็จอาเก้าลูบไปที่ผมของนางเบาๆ แสดงออกถึงความรักใคร่

เขารู้สึกรำคาญใจกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคู่หมั้นนั้นเหลือเกิน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่รีบเดินทางมาถามเฟิ่งชิงเฉินหรอก

เขาลืมไปว่าเซวียนเส้าฉีไม่ใช่ฉินเป่าเอ๋อร์ ไม่ใช่คนที่จะร้องโอดโอยหากถูกโจมตี และไม่มีความเป็นไปได้ที่เฟิ่งชิงเฉินจะไม่สามารถกำจัดเขาได้

“อะไรนะ เจ้าพูดอะไรเสด็จอาเก้า!” เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่โกรธในตอนแรก แต่เมื่อนางได้ยินคำพูดของเสด็จอาเก้า นางก็ต้องตกตะลึง

ไม่ต้องพูดถึงชายโบราณ แม้แต่ชายในสมัยใหม่ก็ยังกังวลเรื่องความบริสุทธิ์ของภรรยามาก เสด็จอาเก้าผิดหรือนางผิด?

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท