นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 684 หาพวก เสด็จอาเก้าเจ้าเล่ห์จริง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 684 หาพวก เสด็จอาเก้าเจ้าเล่ห์จริง

ซูเหวินชิงพยักหน้าอย่างระมัดระวัง แน่นอนว่าเสด็จอาเก้าได้เอ่ยเตือนเขาแล้ว เขาไม่โง่ที่จะไปวิ่งชนตระกูลชุย สิ่งที่เขากังวลตอนนี้คือ……

“จิ่วชิง ตระกูลชุยและตระกูลหวังให้ความร่วมมือในครั้งนี้ หากตระกูลชุยใช้โอกาสนี้เพื่อเอาชนะตระกูลหวัง ปล่อยให้ตระกูลหวังโอนเอนไปฝั่งพวกเขา คาดว่าคงจะแย่”

ซูเหวินชิงมั่นใจได้ว่าตระกูลชุยได้ตกลงที่จะร่วมมือกับตระกูลหวังในครั้งนี้ ความว่าคงมีความปรารถนาที่จะเอาชนะตระกูลหวัง

ตระกูลชุยร้ายกาจจริงๆ!

ตระกูลหวังโอนเอนไปทางตระกูลชุย?

เสด็จอาเก้าส่ายหัว ไม่มีทางเป็นไปได้ เสือสองตัวสามารถร่วมมือกันได้ชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม แต่ก็เป็นความร่วมมืออันเท่าเทียมกัน เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนที่เสือตัวใดตัวหนึ่งจะก้มหัวให้เสือตัวอื่น

สมาชิกของตระกูลชุยและตระกูลหวัง ต่อให้ตายไปไม่ยอมก้มหัวให้อีกฝ่าย นี่เป็นความภาคภูมิใจของตระกูลขุนนาง

ดังนั้นเสด็จอาเก้าจึงไม่กังวลเลยว่าตระกูลหวังจะสนับสนุนตระกูลชุย ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะหยุดความร่วมมือของตระกูลชุยและตระกูลหวัง ป้องกันไม่ให้พวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว

“เหวินชิง เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ไป ตระกูลหวังจะไม่สามารถสนับสนุนตระกูลชุยและคนที่อยู่ในมือของตระกูลชุย ตระกูลสูงสุดจะมีเพียงตระกูลเดียวเท่านั้น ตระกูลชุยและตระกูลหวังต่างก็อ้างว่าเป็นตระกูลสูงสุดในจิ่วโจว หลายร้อยปีมานี้ทั้งสองตระกูลไม่เคยหยุดต่อสู้กันเพื่อตำแหน่งนี้

หากตระกูลหวังยอมก้มศีรษะให้ตระกูลชุย คนที่สนับสนุนตระกูลชุย แม้จะสำเร็จในท้ายที่สุดแต่ตระกูลหวังก็อยู่ภายใต้ตระกูลชุยอยู่ดี

หากข้าเป็นหวังจิ่นหลิง ข้าจะไม่เข้าไปพัวพันกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในจิ่วโจวนี้อย่างแน่นอน ทว่าหากต้องการมีส่วนร่วม ก็จะไม่เลือกร่วมมือกับตระกูลชุย ในทางกลับกัน ข้าจะสนับสนุนผู้ที่ต่อต้านตระกูลชุย ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถกดขี่ตระกูลชุยได้อย่างสมบูรณ์และกลายเป็นหัวหน้าตระกูล

หวังจิ่นหลิงเป็นคนฉลาดรอบคอบ เรื่องที่จะชนะตระกูลหวังนั้นเขารู้ดีว่าไม่สามารถรีบเร่งได้ หวังจิ่นหลิงจะไม่ไปต่อแถวเพื่อจัดการตระกูลชุย แต่เมื่อจิ่วโจวอยู่ในความวุ่นวาย หวังจิ่นหลิงจะทำมัน”

ในการสู้รบเพื่อแย่งชิงอำนาจของจักรพรรดิ ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นจากมันได้เลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตระกูลขุนนางที่มีทรัพยากรมหาศาลและมีความมั่งคั่งอยู่ในมือ การต่อแถวเข้าแก่งแย่งเป็นเรื่องแน่นอน ในเวลานี้จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถ หากเลือกคนถูกก็จะสงบสุข หากเลือกผิดก็จะพ่ายแพ้

ซูเหวินชิงไม่ค่อยเชื่อใคร แต่เขาเชื่อฟังสิ่งที่เสด็จอาเก้ากล่าว เสด็จอาเก้ากล่าวว่าตระกูลหวังจะไม่สนับสนุนตระกูลชุย ซึ่งเขาก็เชื่อเช่นนั้น

ซูเหวินชิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการบรรเทาภัยพิบัติลงใต้โต๊ะ หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งมีแผนที่อยู่ยื่นให้เสด็จอาเก้า “นี่คือแผนที่เข้าสู่เผ่าเซวียนเซียวกง มันถูกส่งมาจากจิงหยุน เขาได้เข้าไปภายในสำเร็จและกำลังมองหาแผนที่ของจิ่วโจวอยู่

นอกจากนี้ ปรมาจารย์แห่งหุบเขาเซวียนยีได้รักษาใบหน้าของเซวียนเฟยเรียบร้อยแล้ว บัดนี้เมื่อเซวียนเฟยไม่พูด นางก็ดูเหมือนกับเฟิ่งชิงเฉินทุกประการ ภรรยาของผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกงคล้ายกับเฟิ่งชิงเฉินมาก ปู้จิงหยุนได้ยินผู้นำเผ่าเรียกภรรยาเขาว่าอี่โม่

ซูเหวินชิงไม่รู้จริงๆ ว่า “อี่โม่” เป็นใครมาก่อน แต่ตอนนี้เขาจะไม่รู้เชียวหรือว่ามารดาของเฟิ่งชิงเฉินชื่อลู่อี่โม่

ซูเหวินชิงไม่คิดว่าสตรีที่ชื่อ “อี่โม่” ในเผ่าเซวียนเซียวกงเป็นมารดาของเฟิ่งชิงเฉิน ต้องรู้ว่าเซวียนเฟยแก่กว่าเฟิ่งชิงเฉินครึ่งปีและไม่ว่าลู่อี่โม่จะแข็งแรงแค่ไหนนางก็ให้กำเนิดลูกสองคนในหนึ่งปีไม่ได้

“อี่โม่?” เสด็จอาเก้าเยาะเย้ยและเคาะลงไปบนโต๊ะ “ให้จิงหยุนส่งคนไปตรวจสอบตัวตนของนางอี่โม่ ตรวจสอบแล้วไม่ต้องรายงานกลับ หาทางเปิดเผยให้ผู้นำของเผ่าเซวียนเซียวกงทราบ” เขาไม่มีความเกลียดชังกับเผ่าเซวียนเซียวกง สิ่งที่เขาต้องการคือแผนที่จิ่วโจวของเผ่าเซวียนเซียวกง ดังนั้น…… เผ่าเซวียนเซียวกงควรจะวุ่นวายยิ่งวุ่นวายยิ่งดี

“ข้าเกรงว่าจะยาก ไม่มีใครรู้ที่มาของเฟิ่งฮูหยินในตอนนั้น พวกเขารู้แค่ว่านางเป็นคนนอกรีตที่นายพลเฟิ่งจับไปเป็นภรรยาของเขา แล้วก็ตามนายพลเฟิ่งไปต่อสู้ในทุกทิศทาง ซูเหวินชิงส่งคนไปสอบสวนแต่เน่เนิ่นๆ แล้ว น่าเสียดายที่ไม่ได้ผล

“หากหาข้อมูลไม่พบก็ปล่อยให้นางพูดเอง แล้วให้จิงหยุนเปิดเผยข่าวของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินต่อหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกง” ของปลอมยังไงก็ของปลอม แม้จะแสร้งทำเป็นเหมือนอย่างไน หางก็จะโผล่มาเสมอ

สตรีในเผ่าเซวียนเซียวกงผู้นั้นไม่ใช่ลู่อี่โม่อย่างแน่นอน หากนางเป็นลู่อี่โม่จริงๆ เซวียนเส้าฉีจะไม่มาหาเฟิ่งชิงเฉิน

น่าเสียดายที่หัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกงไม่ได้คิดเรื่องนี้ เพราะอย่างไรก็ตามคงไม่มีใครสงสัยภรรยาของตน

ไม่เป็นไร ในเมื่อหัวหน้าเผ่าเซวียนเซียวกงไม่อยากคิดเกี่ยวกับมัน เขาจะผลักดันเอง

หลังจากอธิบายเรื่องราวต่างๆ กับซูเหวินชิงว่าทำงานเช่นไรแล้ว เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้หยุดลงแม้แต่น้อย เขารีบไปที่สถานที่ซึ่งนัดกับหวังจิ่นหลิงเอาไว้ทันที

หวังจิ่นหลิงรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเสด็จอาเก้ามาถึง หวังจิ่นหลิงได้ดื่มชาไปกาที่สองแล้ว เมื่อเสด็จอาเก้ามาถึง หวังจิ่นหลิงก็หยิบถ้วยเปล่าออกมา รินน้ำหนึ่งแก้วยื่นให้เสด็จอาเก้า “ชาเย็นชืดแล้ว หวังว่าเสด็จอาเก้าจะไม่รังเกียจ”

มองจากผิวเผิน เขากำลังรินชาให้เสด็จอาเก้า แต่ในความเป็นจริงเขากำลังบอกเสด็จอาเก้าว่ามาสาย และเขาเดาได้ว่าเหตุใดเสด็จอาเก้ามาสาย

ในโลกนี้นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้ว มีใครอีกบ้างที่สามารถรั้งตัวเสด็จอาเก้าได้?

“ชาดี” ชาที่เย็นแล้วจะมีรสขมในปาก แต่เสด็จอาเก้าดื่มมันเข้าไปโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ทั้งยังเอ่ยชมด้วย

นี่เป็นการบอกหวังจิ่นหลิงว่าไม่สำคัญว่าเขาจะมาถึงเร็วหรือช้า สิ่งสำคัญคือทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่กระทบต่อความร่วมมือของพวกเขา

“หากเสด็จอาเก้าชอบ จะดื่มอีกสองถ้วยก็ย่อมได้” หวังจิ่นหลิงยกกาขึ้นอีกครั้งและเติมให้เสด็จอาเก้า ชาเย็นรสชาติแย่กว่าน้ำเย็นเสียอีก

ในเมื่อช้าเร็วนั้นไม่สำคัญ เช่นนั้นจะกลับช้าหน่อยก็ย่อมได้ เขาอยากจะเห็นนักว่าคนในคุกหลวงจะช่วยเขายืดเวลาได้นานเท่าไร

ใบหน้าของหวังจิ่นหลิงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มิได้เผยความเจ้าเล่ห์ออกมาเลย

เสด็จอาเก้าจะไม่แสดงออกมาแม้ว่าเขารีบร้อนเพียงใด เขานั่งอยู่ที่นั่นหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ “หลังจากหิมะหยุดตก ข้าจะเชิญคุณชายมาร่วมดื่มน้ำชาที่จวน”

หลังจากหิมะหยุดตก เขาคงจะออกมาจากคุกหลวงแล้ว เรื่องเผ่าเซวียนเซียวกงเขาจะจัดการเป็นการส่วนตัว

“จิ่นหลิงจะสวดภาวนาให้หิมะหยุดตกในเร็ววัน” ซึ่งหมายความว่าเขาตกลงที่จะรอจนกว่าเสด็จอาเก้าจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำก่อนที่จะดำเนินการกับเผ่าเซวียนเซียวกง

แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะไม่ชอบเสด็จอาเก้า แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าความสามารถของเสด็จอาเก้านั้นไม่ธรรมดา เมื่อเขาเข้าควบคุมต่อสู้กับเผ่าเซวียนเซียวกง ความสูญเสียของพวกเขาจะน้อยลง

หลังจากบรรลุข้อตกลงแล้ว เสด็จอาเก้าก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับแผนของเขา “เผ่าเซวียนเซียวกงมีความจำเป็นสำหรับการดำรงอยู่” นั่นคือเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำลายเผ่าเซวียนเซียวกง หวังจิ่นหลิงคิดอย่างไร?

“ในฐานะคนในเจียงหู แค่ให้บทเรียนก็พอ เซวียนเส้าฉีนั้นไม่เลว” หากอยากเก็บไว้ก็เก็บไว้ เพราะหากทำลายเผ่าเซวียนเซียวกง เฟิ่งชิงเฉินคงจะรู้สึกละอายใจต่อเซวียนเส้าฉี เผ่าเซวียนเซียวกงยังมีอยู่นั้นไม่เป็นไร แต่หัวหน้าเผ่าต้องถูกแทนที่โดยคนอื่น เขาไม่ต้องการใช้เวลาของเขาในเรื่องของเผ่าเซวียนเซียวกง มันไม่สนุกเท่าไร

หวังจิ่นหลิงกล่าวว่าเซวียนเส้าฉีดี ไม่ได้จะสรรเสริญเขา แต่บอกว่าเขาเป็นคนดีพอที่จะเป็นหัวหน้าเผ่า

ณ จุดนี้ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะทำลายเผ่าเซวียนเซียวกง และไม่เพียงแค่นั้นพวกเขายังต้องการช่วยเซวียนเส้าฉีกำจัดข้อกล่าวหา

ในการต่อสู้กับเผ่าเซวียนเซียวกง มองผิวเผินคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือเซวียนเส้าฉี และแน่นอนว่าคนที่ยุ่งที่สุดก็คือเซวียนเส้าฉี

เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงจ้องมองกันแล้วพยักหน้า

จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ทั้งสองเข้าใจกันโดยปริยาย พวกเขาบรรลุข้อตกลงที่จะใช้โอกาสนี้เพื่อบังคับเซวียนเส้าฉีให้กลับไปที่เผ่าเซวียนเซียวกง

ในเวลานั้นพวกเขาจะคืนเผ่าเซวียนเซียวกงให้แก่เซวียนเส้าฉีเมื่อดูจากภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาต้องการให้ยุ่งเหยิง ดูสิว่าจะมีเวลาอยู่ในจวนเฟิ่งมากเท่าไร

ทั้งสองบรรลุข้อตกลงกัน เสด็จอาเก้าเอ่ยถามหวังจิ่นหลิงเกี่ยวกับการบรรเทาภัยพิบัติ หวังจิ่นหลิงคาดเดาเจตนาของเสด็จอาเก้าได้อย่างคลุมเครือ เขาไม่ได้เห็นด้วยหรือเห็นด้วย

เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากดื่มชาเย็นในถ้วยแล้วเสด็จอาเก้าก็จากไป ทิ้งให้หวังจิ่นหลิงอยู่คนเดียว มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนและครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง

เขาต้องคิดให้มากกว่านี้

เมื่อครู่เสด็จอาเก้าบอกถึงความทะเยอทะยานของเขาออกมา ส่วนเขาก็แค่อยากแสร้งทำเป็นไม่รู้

ตงหลิงจิ่ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าจะทนกับจักรพรรดิที่นั่งอยู่ในตำแหน่งนั้นได้ เพราะสิ่งที่เจ้าต้องการไม่ใช่เพียงตงหลิง แต่เป็นใต้หล้า

เขาจะสร้างยุคอันรุ่งเรืองอีกครั้ง ตงหลิงจิ่ว คนคนนั้นจะเป็นเจ้าหรือ?

หวังจิ่นหลิงเข้าใจดีว่าคืนนี้เขาคงไม่ได้นอน ระเบิดที่เสด็จอาเก้าทิ้งไว้เพียงพอที่จะทำให้เขานอนไม่หลับได้หลายวัน เพราะคำพูดของตระกูลชุยเปิดเผยความตั้งใจที่จะเอาชนะตระกูลหวังเมื่อไม่กี่วันก่อน

ตระกูลหวังและตระกูลชุยสามารถร่วมมือกันได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถร่วมมือกันได้เป็นเวลานาน หวังจิ่นหลิงไม่อยากฆ่าตัวเองตาย แม้ว่าตระกูลชุยถดถอย เสนอข้อเสนออย่างบ้าคลั่ง แต่เขาจะไม่ยอมรับมัน

ก่อนหน้านี้ตระกูลชุยเคยให้สัญญาไว้ จากนั้นเสด็จอาเก้าได้เอ่ยปากพูด ดูเหมือนว่าตระกูลหวังจะหนีไม่พ้น อำนาจในโลกจะถูกแบ่งออก ทั้งสี่อาณาจักรจะอยู่ในความวุ่นวายอีกครั้งในเวลาไม่ถึงร้อยปีหลังจากการก่อตั้งประเทศ ในโลกที่วุ่นวายนี้ ผู้ใดเล่าจะหนีพ้น

หวังจิ่นหลิงพบว่าภาระของเขาเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นผู้นำตระกูลหวัง หากไม่ระวัง ตระกูลหวังอาจถึงวาระสุดท้าย และเขาก็จะกลายเป็นคนผิดในตระกูลหวัง

บูม…… ไฟพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเพียงไม่ถึงสี่ชั่วโมงหลังจากที่เสด็จอาเก้าเดินทางออกจากคุกหลวง เปลวไฟขนาดใหญ่พุ่งโชนอยู่บนท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้าในนครหลวงสว่างไสว ผู้คนรอบเรือนจำทุกคนถูกไฟนี้ปลุกให้ตื่น พวกเขาวิ่งออกไปพลางตะโกน

“ไฟไหม้ ไฟไหม้……”

“ดับไฟ ดับไฟเร็ว”

……

ในคืนที่เงียบสงัด เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที หัวหน้าเรือนจำหลวงยกน้ำเข้าดับไฟ มีเพียงผู้พิทักษ์สามสี่คนที่ส่งมาจากองค์จักรพรรดิเท่านั้นที่เห็นสถานการณ์แล้วรีบเข้าคุกเพื่อดูว่าเสด็จอาเก้าอยู่ที่นั่นหรือไม่

หากเสด็จอาเก้าตายในกองไฟนี้ หรือหายตัวไปในกองไฟนี้ คนที่รับความผิดต้องเป็นจักรพรรดิ

ทั้งสี่ไม่สนใจไฟที่ลุกโชน พวกเขารีบเข้าไปในคุก เมื่อเห็นเสด็จอาเก้านั่งอยู่ที่นั่นทุกคนก็โล่งใจ “ท่านเสด็จอาเก้า ได้โปรด……”

ไฟลุกโชนเช่นนี้เขายังรับไหว ความอดทนของเสด็จอาเก้าทำให้ทุกคนล้วนพากันชื่นชม

เสด็จอาเก้าเงยหน้าขึ้น เหลือบมองคนตรงหน้าอย่างเย็นชา แสดงรอยยิ้มประชดประชันแล้วลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างช้าๆ

แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่ได้พูดสิ่งใด แต่ผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ได้แต่ก้มหน้าด้วยความอับอาย เปลวไฟดูเหมือนจงใจจัดการเสด็จอาเก้า หรือมีคนต้องการจะเผาเสด็จอาเก้าทั้งเป็น……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท