บรรยากาศในการแจกจ่ายอาหารเปลี่ยนไปในทันที ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กำลังต่อแถวรับอาหารหรือผู้ที่ได้รับอาหารแล้ว ล้วนรู้สึกซาบซึ้งใจ พวกเขาพากันคุกเข่าลง ก้มศีรษะคารวะไปทางพระราชวัง
“ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ!”
แต่ละคนพากันกล่าวของเจ้าองค์จักรพรรดิว่าราชวงศ์ตงหลิงมีจักรพรรดิที่ดีเหลือเกิน แต่เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูของจักรพรรดิ คาดว่าเขาคงจะรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินเผยอริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มเต็มไปด้วยความสนุกสนาน
เนื่องจากบัดนี้ในพระราชวังมิได้มีเพียงองค์จักรพรรดิที่ประทับอยู่ เสด็จอาเก้าก็ประทับอยู่ที่นั่นด้วย เสด็จอาเก้าได้คิดแผนนี้ไว้แต่เนิ่นๆ ชายผู้นี้ไม่เคยปล่อยให้โอกาสใดผ่านไปเปล่าๆ เลย
นางหุบยิ้มลง เมื่อหันหลังกลับมาก็พบกับเซวียนเส้าฉีที่ยืนทำตากลมโตอยู่ นางมองไปทางแววตาอันใสสว่างของเซวียนเส้าฉี รอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ชะงักลงทันที
ชายผู้นี้ไม่ธรรมดา โชคดีที่เขาไม่ใช่ศัตรูของนาง
“อะแฮ่ม……พวกเราเข้าไปข้างในกันเถิด ถึงเวลาทำงานแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างทำตัวไม่ถูก เซวียนเส้าฉีก็มิได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงยิ้มแล้วพยักหน้า มือถือกล่องยาเดินตามเฟิ่งชิงเฉินไปด้านหลัง พยายามทำตัวเป็นผู้ช่วยอย่างสุดความสามารถ
ทงจือยืนอยู่ข้างหลังเขา มองดูคนสองคนที่เดินตามกันเข้าไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
ยามที่เดินกับเสด็จอาเก้า ท่าทางคุณหนูของนางเหมือนจะเดินตามไปหนึ่งก้าว แต่เมื่อเดินไปกับเจ้าชายใหญ่ ทั้งสองมักจะเดินเคียงข้างกัน เวลาเดินกับเซวียนเส้าฉี ผู้ชายคนนี้……
กลับเดินอยู่หลังคุณหนูของพวกนางไปครึ่งก้าว เขายืนอยู่ทางด้านซ้ายขอบคุณหนู เหมือนผู้คุ้มกันซึ่งปกป้องคุณหนู
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่ผู้ชายคนนี้ก็ไม่มีวัตถุประสงค์ร้ายต่อคุณหนู ซึ่งนางไม่อาจรังเกียจเขาได้เลย
สถานการณ์ในโรงพยาบาลเพื่อประชาชนนั้นเลวร้ายกว่าที่เฟิ่งชิงเฉินคิดเสียอีก
ทันทีที่เดินเข้ามา ก็มีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์มาปะทะใบหน้า แม้ในหิมะตกหนัก กลิ่นเหม็นเปรี้ยวนั้นก็ไม่ถูกกลบไปได้ บนพื้นถูกคลุมด้วยฟางอย่างง่ายๆ ผู้ป่วยนอนอยู่ที่นั่นมากมาย คนที่อาการไม่หนักมากก็ได้ลุกขึ้นนั่ง ให้คนที่อาการหนักกว่าได้นอน
เมื่อผู้ป่วยเข้ามา ไม่จำเป็นต้องบอก พวกเขาก็จะลุกออกจากที่นั่งโดยทันที
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเข้ามา หมอในห้องโถงที่ส่งมาจากตระกูลหยุนได้ทำการตรวจรักษาอยู่ ผู้จัดยาก็กำลังเตรียมยาอยู่ด้านหลัง ผู้จัดยาคนหนึ่งต้องจัดเตรียมยาหลายสิบอย่าง โชคดีที่พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มิเช่นนั้นอาจกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
ซุนซือสิงไปที่ห้องด้านหลัง ซึ่งผู้ป่วยที่นั่นอยู่ในสภาพย่ำแย่มาก ซุนซือสิงอยู่ในกำลังให้การตรวจชายชราคนเมื่อครู่ที่เพิ่งถูกพาเข้ามา เฟิ่งชิงเฉินมองดูอาการของชายชราจากระยะไกล จากเบื้องต้นนั้นนางสามารถตัดสินได้ว่าเขาหิวและหนาวมาก แต่จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต
หมอในโรงพยาบาลเพื่อประชาชนทุกคนยุ่งมากไม่มีโอกาสหายใจเลย หากเป็นเมื่อก่อน เฟิ่งชิงเฉินคงจะวางกล่องยาลงและเริ่มทำงานอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่วันนี้……
ซุนซือสิงเจ้างี่เง่าคนนั้น นางเตรียมผลงานนี้ไว้ให้เขา แต่เขาไม่รู้ว่าจะคว้าโอกาสนี้ไว้อย่างไร กลับปล่อยให้หมอของตระกูลหยุนจัดการเรื่องนี้โดยเปล่าประโยชน์ จริงเลยเชียว……
น่าโมโหยิ่งนัก!
โรงพยาบาลเพื่อประชาชนก็มีความเฉพาะเจาะจงเช่นกัน โดยทั่วไป หมอจะเลือกคนที่มีอาการป่วยน้อยกว่ามารักษา เพราะจะได้รักษาได้มากกว่า อีกทั้งไม่ต้องเสี่ยงอันตรายใดๆ
คนไข้ที่ป่วยหนักนั้นไม่ต้องพูดถึงการรักษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย แม้จะเข้ามาในโรงพยาบาลก็ไม่รับ หมอต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองและหวงแหนชื่อเสียงของพวกเขาไว้ สำหรับผู้ป่วยที่กำลังจะเสียชีวิตนั้นอย่าว่าแต่หมอเลย ทางโรงพยาบาลเองก็ไม่รับรักษา
หากผู้ป่วยเสียชีวิตในมือของเจ้า แม้ว่าจะไม่ใช่การวินิจฉัยผิดพลาดก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถขจัดความวุ่นวายนี้ไปได้
หากผู้ป่วยเสียชีวิตในมือหมอระหว่างมาทำการรักษา ครอบครัวของผู้ป่วยจะโทษว่าหมอไม่มีมโนธรรม เพราะหมอไม่ได้เก็บเงินจึงปัดความรับผิดชอบทั้งหมด โดยบอกว่าหมอเป็นคนหน้าซื่อใจคด จากนั้นชื่อเสียงของหมอก็จะเสียหาย……
ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อในทักษะทางการรักษาของซุนซือสิง แต่ซุนซือสิงเพิ่งฝึกฝนทักษาะด้านการรักษา และอนาคตของเขายังกว้างไกล จะให้เขาเสียชื่อเสียงไปเช่นนี้ไม่ได้ จะมีคนป่วยตายในมือเขาไม่ได้ เพราะจะส่งผลเสียต่อเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ออกตรวจอาการผู้ป่วย แต่รีบเข้าไปในห้องโถงด้านในคว้าซุนซือสิงออกมาแล้วลากเขาออกไปข้างนอก
“ท่านอาจารย์ อาจารย์ อาจารย์……” ซุนซือสิงไม่กล้าขัดขืน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงร่วมมือด้วยท่าทางไม่พอใจ เพราะกลัวว่าเฟิ่งชิงเฉินจะล้มลง
เมื่อพวกเขาไปถึงห้องโถงด้านนอก เฟิ่งชิงเฉินก็ปล่อยซุนซือสิง ใบหน้าและท่าทางที่ดูไม่ตรงกับอายุของนางชี้ไปที่ผู้ป่วยดูดุดัน “เพิ่งมาเรียกข้าว่าอาจารย์? ตามปกติแล้วข้าสอนเจ้าว่าอย่างไร? จงทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาคนให้มาก และใช้ยาให้น้อยที่สุดเพื่อรักษาผู้ป่วยส่วนมากแล้วดูเจ้าทำอะไร?
ทันทีที่เจ้าเข้ามา เจ้าก็วิ่งตรงไปหาคนไข้อาการหนักทันที ทักษะทางการรักษาของเจ้ายอดเยี่ยมมาก เจ้ามีความสามารถในการรักษาผู้ป่วยวิกฤตได้ แต่เจ้าละเลยผู้ป่วยเล็กน้อยเหล่านี้? เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ารักษาผู้ป่วยอาการหนัก1คน จะทำให้ผู้ป่วยอาการเบา10คนอาจมีอาการหนักขึ้น
เมื่อถึงเวลานั้น นอกจากจะทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรยาแล้ว ยังสร้างภาระให้ผู้ป่วยคนอื่นๆ อีกด้วย ค่ารักษาผู้ป่วยหนักมากถึง 3 เท่าของค่ารักษาพยาบาลทั่วไป คนธรรมดาสามารถจ่ายได้มากมายเช่นนั้นเชียวหรือ?
ในฐานะหมอ เราสามารถใช้ทักษะทางการรักษาเพื่อหาเงินได้ แต่เราต้องมีจิตสำนึกในใจ ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยเปลี่ยนความเจ็บป่วยเล็กน้อยให้กลายเป็นการเจ็บป่วยที่ร้ายแรง เพราะความเจ็บป่วยที่ร้ายแรงนำไปสู่ความเจ็บป่วยระยะสุดท้ายซึ่งไม่อาจรักษา” เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาอย่างรวดเร็ว แต่คำพูดของนางชัดเจน ซุนซือสิงตะลึงราวกับว่าเขาไม่อาจเข้าใจได้
ในความคิดของเขา การช่วยคนย่อมเป็นการช่วยชีวิตคนที่ป่วยหนักก่อน จะรอช้าไม่ได้ และอาจถึงแก่ชีวิตได้หากล่าช้า ในขณะที่คนที่ป่วยน้อยกว่าสามารถรอได้ แต่เขาไม่เคยคิดว่าการรอจะทำให้พวกเขาป่วยจากเบาเป็นหนัก
ดวงตาอันไร้เดียงสาของเขาหันไป เฟิ่งชิงเฉินก็รู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความคิดของซุนซือสิงนั้นไม่ผิด แต่เมื่อทรัพยากรทางการรักษามีน้อยและหมอขาดแคลน การรักษาผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงน้อยลงจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ยาตัวเดียวกัน หมอคนเดียวกัน รักษาผู้ป่วยวิกฤตได้เพียงคนเดียว แต่ถ้าเป็นการรักษาคนที่อาการไม่รุนแรงก็ประหยัดได้ 10 กว่าเท่าตามหลักการแสวงหากำไรแน่นอนว่าจะประหยัดกว่าหากรักษาผู้ป่วยสิบรายที่มีอาการไม่รุนแรง
แม้ว่าชีวิตของทุกคนจะเท่าเทียมกัน แต่ชีวิตไม่ควรวัดด้วยวิธีนี้ แต่…… ทฤษฎีก็คือทฤษฎี ความเป็นจริงคือความจริง ทางประเทศจะใช้เงินหลายสิบล้านหรือหลายร้อยล้านเพื่อรักษาผู้นำของประเทศแต่จะไม่ยอมนำเงินจำนวนเท่ากันไปรักษายาจกขอทาน
โลกนี้ไม่ยุติธรรมโดยแท้ หากว่าเราเจอกับสถานการณ์คับขัน เราคงจะช่วยเด็กและสตรีก่อน แล้วทิ้งคนแก่และผู้ชายไว้ข้างหลัง ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่คุ้มที่จะรักษา แต่เมื่อโอกาสมีไม่พอ ก็ควรให้แก่ผู้ที่ต้องการมันมากที่สุด
หัวข้อสนทนานี้หนักอึ้งเกินไป เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการทำลายความปรารถนาดีในหัวใจของซุนซือสิง เอาเป็นว่านางจะไม่ยอมให้ซุนซือสิงรักษาผู้ป่วยอาการหนักแน่
เฟิ่งชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึก และพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายที่สุดว่า “ซือสิง ความเชี่ยวชาญของเจ้าข้านั้นเชื่อ แต่ความเร็วของเจ้าตามไม่ทันข้าแน่ ข้าสามารถพันบาดแผลกับคนสิบคนได้ในเวลาเดียวกัน เจ้าทำได้หรือไม่”
ดวงตาของซุนซือสิงเป็นประกาย เขามองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยความชื่นชม เมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย เขาส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย “ข้าทำไม่ได้”
นางรอประโยคนี้อยู่
“ในเมื่อทำไม่ได้ เจ้าจึงต้องฝึกฝนให้มากขึ้น สำหรับหมอแล้วความเร็วเป็นสิ่งสำคัญมาก ในบางครั้ง หากเจ้ารวดเร็วขึ้นหนึ่งวินาที เจ้าก็สามารถช่วยคนอีกคนได้”
ซือสิง บัดนี้เป็นโอกาสที่จะปรับปรุงความรวดเร็วของเจ้า ผู้คนภายนอกเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นคนที่เจ็บป่วยจากความหนาว ข้าขอส่งต่อให้เจ้า ส่วนผู้ป่วยภายใน เจ้ามั่นใจได้ อาจารย์จะช่วยพวกเขา”
ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางเจาะกลุ่มผู้ป่วยโรคร้ายแรงมารักษา ตามปกติหากไปโรงพยาบาลเพื่อประชาชน เวลาเจอคนไข้อาการหนัก ทุกคนจะไม่รับช่วงต่อ แต่จะรีบส่งไปที่โรงพยาบาลใหญ่ คนไข้เหล่านั้นอาจไม่สามารถรอให้ยาออกฤทธิ์ก็สิ้นใจตายก่อน
แต่ตอนนี้…… นางยอมถูกประณามว่าทำให้คนไข้ตาย ดีกว่าปล่อยให้ชื่อเสียงของซุนซือสิงเสียหาย
“ตกลง” ซุนซือสิงงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไปรักษาคนไข้ที่ป่วยหนักเหล่านั้นด้วยตนเอง เขากลัวจริงๆ ว่าอาจารย์จะปฏิเสธการรักษาพวกเขา
คนไข้เหล่านั้นเป็นโรคเล็กๆ น้อยๆ ที่นำไปสู่การเจ็บป่วยที่รุนแรง และต้องใช้ทั้งยาและเวลาในการรักษา
ท่านอาจารย์พูดถูก เขาสามารถรักษาผู้ป่วยวิกฤตได้ไม่เกินสามถึงห้าคนต่อวัน แต่เขาสามารถรักษาผู้ป่วยหลายร้อยคนที่มีอาการป่วยเล็กน้อยเหล่านี้ได้
หลอกแล้วยังยิ้มได้
ยกตัวอย่างกรณีของเซวียนเส้าฉี ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากในคืนเดียว นางคงไม่เชื่อถ้าไม่มีใครพูดถึงเขา……
เขาเป็นคนหูเบามาก ในอนาคตหากไม่มีสตรีดีๆ มาคอยดูแลล คาดว่าคงแย่แน่นอน
เฮ้อ! เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปที่ทงจือและพูดว่า “ทงจือ เจ้าอยู่กับข้ามาก็นานแล้ว เจ้ารู้วิธีดูแลสถานที่แห่งนี้ดี จงไปช่วยซือสิงรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ นอกจากนี้ยังไม่อนุญาตให้หมอคนอื่นๆ ช่วยซือสิงรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ ซือสิงต้องรักษาเองทุกคน”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ทงจือไม่ใช่ซุนซือสิง นางเข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินให้ความสำคัญกับซุนซือสิงเพียงไร ดังนั้นนางจึงรีบตอบตกลงทันที
“ท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง” ซุนซือสิงยืนยัน เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ ซุนซือสิงแตะไปที่ศีรษะของเขาอย่างเด็กๆ “ท่านอาจารย์ ข้าจะรีบไปรักษาพวกเขาแล้ว”
“อืม ไปเถอะ อาจารย์เชื่อในตัวเจ้าว่าเจ้าทำได้” ซุนซือสิงสูงเกินกว่าเฟิ่งชิงเฉินจะลูบศีรษะเขา จึงทำได้เพียงตบไหล่เขาเบาๆ เท่านั้น
เฟิ่งชิงเฉินเรียนหมอมาแต่ไม่ได้ต้องการใช้ยาเพื่อสร้างชื่อ แต่ศิษย์ของนางจะกลายเป็นผู้อุทิศตนด้านการรักษาอย่างแท้จริง
เมื่อเห็นว่าซุนซือสิงอุทิศตนเพื่อการรักษาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ยืนยันอีกครั้งว่าการตัดสินใจของนางไม่ผิดไป สิ่งที่ซือสิงต้องการเพียงแค่มีสมาธิในการรักษาผู้ป่วย ปล่อยให้ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของนาง นางจะมอบโลกบริสุทธิ์ให้แก่ซือสิงอย่างแน่นอน ให้เขาอุทิศตัวเองเพื่อรักษาผู้อื่นจากใจ
“เข้าไปกันเถอะ คนไข้ข้างในรอไม่ไหวแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปที่เซวียนเส้าฉีเพื่อให้เขาถือกล่องยาตามนางไป นางสวดภาวนาในใจอย่างเงียบๆ ว่าขอให้วันนี้โรงพยาบาลเพื่อประชาชนและโรงทานจะราบรื่น
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นความหวังที่เกินความจริง เพราะในเวลานี้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินทางออกจากทหารราบเก้าประตู เป้าหมายของพวกเขาคือโรงทานและโรงพยาบาลเพื่อประชาชนที่ตรงประตูเมือง มองดูลักษณะอันดุร้ายของพวกเขา เรียกได้ว่าไม่มีสิ่งดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน……