นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 689 แม่นาง พวกข้าอยากรู้ว่าเจ้าคือใคร

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

คนจากจวนทหารราบเก้าประตูถูกส่งออกไป เฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะเคยคาดเดาไว้ แต่ก็มองว่าเรื่องนี้ไร้ประโยชน์ เพราะทั้งสองยังคงไม่สามารถหยุดการกระทำของราชสำนักได้

ทั้งสองเดินเข้ามาด้านใน เตรียมที่จะรักษาผู้ที่มีอาการป่วยหนักแต่ไม่มีเงินรักษา เฟิ่งชิงเฉินอธิษฐานอยู่ในใจ หวังว่าจะไม่มีผู้ป่วยอาการหนักกำลังจะสิ้นใจ นางไม่ต้องการให้วันแรกที่เปิดโรงพยาบาลเพื่อประชาชนมีข่าวการเสียชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งมันไม่เอื้ออำนวยต่อพวกเขาเท่าไรนัก

เซวียนเส้าฉีติดตามเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาอย่างเงียบๆ เฟิ่งชิงเฉินเกือบลืมบุคคลผู้นี้ไปเสียแล้ว เมื่อหันไปมอง เฟิ่งชิงเฉินก็ได้ยินเซวียนเส้าฉีพูดจากทางด้านหลังว่า

“มันไม่ดีนักที่เจ้าจะปกป้องเขาเช่นนี้ เจ้าไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต”เซวียนเส้าฉีคิดอยู่นานก่อนที่จะกล่าวคำนี้ออกมาเอ่ยเตือน

ฝีเท้าของเฟิ่งชิงเฉินหยุดลง นางตกตะลึงครู่หนึ่งเพราะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เซวียนเส้าฉีเอ่ยปากพูด ทั้งยังเป็นการตักเตือนนาง

“เขา” จากปากของเซวียนเส้าฉีหมายถึงใคร ทั้งสองคนล้วนเข้าใจดี เช่นนั้นการที่เซวียนเส้าฉีพูดเรื่องนี้ก็หมายความว่าเขาชื่นชอบซุนซือสิงไม่เช่นนั้นเขาจะไม่สนใจเรื่องของคนอื่นเป็นแน่

ผู้ชายคนนี้สง่างามและใจดีมาก การกระทำของซุนซือสิงในวันนี้เห็นได้ชัดเจนว่าสร้างความวุ่นวายให้กับเขา แต่เขาไม่ได้ใส่ใจ เขากลับใส่ใจเรื่องการพัฒนาของอีกฝ่ายในอนาคต

เป็นการดีที่เขาชื่นชอบซุนซือสิง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้หันหลังกลับมา แต่หันหลังให้กับเซวียนเส้าฉีและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าจะมีหมอที่แสนบริสุทธิ์อยู่ในโลกนี้ ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เขาเป็นเช่นนั้น มอบโลกให้เขาได้ใช้ชีวิตอันบริสุทธิ์ ในโลกนี้สำหรับเขาจะมีแต่ผู้ป่วยและการรักษาของหมอ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใดๆ”

เมื่อกล่าวจบ เฟิ่งชิงเฉินก็เดินไปข้างหน้า นางรู้ว่านางกำลังทำอะไรอยู่ แม้นางจะไม่สามารถปกป้องซือสิงได้ แต่ก็มีคนอื่นๆ ที่ช่วยนางได้ นางจะพยายามเพื่อซือสิงอย่างสุดความสามารถของนางในการปกป้องเขา

น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดูนุ่มนวลมาก แต่เมื่อเซวียนเส้าฉีได้ยินเข้าไปในหูกลับรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อมองไปที่ร่างอันดูบอบบางแต่แข็งแรงของเฟิ่งชิงเฉิน เซวียนเส้าฉีก็เข้าใจในทันที เฟิ่งชิงเฉิน……

นางเคยเป็นหมอที่แสนธรรมดา แต่ความเป็นจริงในโลกนี้ไม่อาจทำให้นางบริสุทธิ์ได้อีกต่อไป บัดนี้เมื่อนางได้พบกับหมอที่แสนบริสุทธิ์คนหนึ่ง นางจึงไม่ต้องการให้ความเป็นจริงบนโลกใบนี้มาทำลายความใสซื่อของซุนซือสิง

หมอที่แสนบริสุทธิ์

ชิงเฉิน หากนี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าจะทำหน้าที่ของข้าอย่างเต็มที่เพื่อเจ้า ปกป้องซุนซือสิงและสร้างโลกขึ้นมาเพื่อเขาด้วยผู้ป่วยและทักษะทางการแพทย์ โลกของเขาจะมีแต่ด้านบวกและแสงแดด ส่วนความมืดและเลือดให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาเอง

ทั้งสองมาถึงห้องผู้ป่วยอาการหนัก กลิ่นเหม็นเปรี้ยวคละคลุ้งไปทั่วห้อง กระจัดกระจายลอยไปในอากาศ ทำให้สะอิดสะเอียนยิ่งนัก

เฟิ่งชิงเฉินหยุดที่ตรงประตูและถอดเสื้อคลุมออก บัดนี้เซวียนเส้าฉีเพิ่งเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินสวมชุดสีขาว

เสื้อคลุมสีขาวรูปร่างแปลกๆ คลุมร่างของเฟิ่งชิงเฉินจรดเท้า แต่เฟิ่งชิงเฉินดูดีในนี้มาก นางดูน่าเชื่อถือกว่าซุนซือสิงที่งี่เง่าเหลือเกิน

แววตาของเซวียนเส้าฉีเผยถึงความประหลาดใจเล็กน้อย บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ท่าทางเคร่งขรึมทำให้คนอื่นๆ มองข้ามรูปลักษณ์ท่าทางของนางไป

เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียว นางหยิบหมวกจากกระเป๋าด้านข้างแล้วนำขึ้นมาสวมศีรษะ เก็บผมทุกเส้นเข้าไปในหมวก จากนั้นใส่ถุงมือและหน้ากากอนามัย นางหันหลังกลับไปมองดูเซวียนเส้าฉีแล้วโยน หน้ากากอนามัยกับถุงมือไปให้เซวียนเส้าฉี

“รีบใส่เถิด ข้าไม่อยากรักษาคนไข้เพิ่มอีกคน” ไม่มีใครรู้ว่ามีโรคติดต่ออยู่ในที่แห่งนี้บ้างหรือไม่ ดังนั้นจึงต้องทำการป้องกันเอาไว้ให้ดี หากคนกันเองกลับมาป่วยก็คงจะน่าขันยิ่งนัก

แม้เซวียนเส้าฉีจะไม่รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มีประโยชน์เช่นไร แต่เมื่อเห็นใบหน้าท่าทางอันจริงจังของนางแล้วเขาก็ไม่เอ่ยถามใดๆ ได้แต่รีบสวมใส่ตามวิธีการที่เห็นเฟิ่งชิงเฉินสวมเมื่อสักครู่

เขาสวมชุดจีนโบราณแต่ใส่อุปกรณ์การแพทย์ในสมัยปัจจุบัน มองไปช่างน่าขำเหลือเกิน แต่กลับไม่มีใครหัวเราะออกมา วินาทีที่เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปด้านในนั้น กระเป๋าแพทย์อัจฉริยะก็ได้เปิดการทำงานขึ้น

งานด้านอายุรกรรมซึ่งนางไม่ถนัดที่สุด ได้เริ่มขึ้นแล้ว!

ใช่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่เก่งเรื่องอายุรกรรม นางเก่งเรื่องศัลยกรรม นับได้ว่างานฝ่ายอายุรกรรมเป็นความท้าทายและการพัฒนาสำหรับนาง

ในยุคปัจจุบัน หมอแบ่งสาขาค่อนข้างละเอียด อายุรกรรมและศัลยกรรมแต่ละอย่างก็แบ่งอีกหลายชนิด ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของตนเองเท่านั้นจึงจะรู้รายละเอียดดี แต่ในที่นี้เลือกไม่ได้ เพราะว่าไม่มีหมอคนอื่นมาให้ความร่วมมือกับนาง นางจำเป็นจะต้องเรียนรู้ทำด้วยตนเอง ……

แต่ว่ายังโชคดีที่นางมีกระเป๋าแพทย์อัจฉริยะติดตัวมาด้วย ซึ่งสามารถลดการวินิจฉัยผิดพลาดได้มากทีเดียว ต้องรู้ก่อนว่าโดยมากแล้วผู้ป่วยเสียชีวิตภายใต้การวินิจฉัยที่ผิดพลาดของหมอ

ด้วยคนไข้จำนวนมากที่อาจแน่นกันอยู่ ณ ที่นี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คืออย่าได้วินิจฉัยอาการเจ็บป่วยผิดพลาดไป ซึ่งตอนนี้เวชระเบียนนับว่าถูกนำมาใช้ได้ทุกสถานการณ์ ในสมัยโบราณหมอและคนไข้จะรักษากันตัวต่อตัว ซึ่งการรักษาเช่นนี้จำเป็นต้องเก็บความลับเอาไว้ ทว่านางไม่จำเป็น นางได้บอกกับซุนซือสิงเอาไว้แล้วก่อนหน้าว่าการรักษาผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับ หากมีหมอมาสอบถามคำแนะนำจากเขา ถ้าเขารู้ก็ให้บอกไป ถ้าไม่รู้ก็ให้บอกว่าไม่รู้ ไม่จำเป็นต้องปิดบังเรื่องใด

ทักษะด้านการรักษาไม่จำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้นกัน หากสามารถแบ่งปันกันได้ยิ่งดี เหตุใดบรรดาหมอในประเทศจีนจึงได้ลดน้อยลงเล่า นั่นก็เป็นเพราะว่าตระกูลแพทย์เหล่านั้นยึดถือการรักษาของตนเป็นความลับไม่เผยแพร่ต่อคนภายนอก

ดังนั้นทักษะทางการรักษาจึงไม่ได้พัฒนามากขึ้น นี่คือเรื่องน่าเศร้าของการแพทย์ประเทศจีน และด้วยความถดถอยทางการรักษา มีผู้สืบทอดตำราหมอเพียงแค่คนสองคนแต่ผู้ป่วยนับไม่ถ้วน จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้

นอกจากเรื่องความลับของกระเป๋ายาอัจฉริยะนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดจะปิดบังความรู้ด้านการรักษาต่างๆ ของตน นางยินดีที่จะแบ่งปันกับหมอทั่วใต้หล้า เรียนรู้จนกระทั่งแก่เฒ่า หมอควรจะเป็นเช่นนั้น คนที่จะพัฒนาทักษะทางด้านการรักษาของต้นไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดจึงจะทำให้คุณภาพการรักษาพัฒนามากยิ่งขึ้น

ผู้ป่วยในที่แห่งนี้ไม่มีคนใดดูสดชื่น หากใช้สายตามองจากภายนอกเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าคนใดมีอาการหนัก ดังนั้นนางจึงตัดสินใจตรวจจากทางด้านซ้ายไปด้านขวา

เฟิ่งชิงเฉินหยิบเวชระเบียนที่ตนทำขึ้นออกมาแล้วเริ่มเอ่ยถามชื่อสกุลอายุของผู้ป่วยแต่ละคน หลังจากเขียนเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นการประหยัดเวลา เฟิ่งชิงเฉินจึงได้นำกระเป๋าแพทย์อัจฉริยะออกมาตรวจสอบ และนางก็ไม่ได้หลีกเลี่ยงเซวียนเส้าฉี

โดยพื้นฐานแล้วเซวียนเส้าฉีไม่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของชาวบ้าน เขาเพียงสนใจเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้น และไม่อยากจะไปสืบความลับใดของนาง เขาเพียงทำหน้าที่ติดตามอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉินให้ดี เมื่อใดที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการสิ่งของเขาก็จะไปรับมาให้ ต้องการหยิบสิ่งใดเขาก็จะทำให้ เมื่อตอนแรกดูเหมือนจะเงอะงะ แต่ให้ที่สุดแล้วเมื่อเฟิ่งชิงเฉินเรียกใช้เวลาผ่านไปนานเข้าเขาก็เริ่มเคยชินกับมัน อีกทั้ง…… บางครั้งเฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องเอ่ยเขาก็รู้ว่าต้องนำเครื่องมือใดให้เฟิ่งชิงเฉิน

เมื่อตรวจร่างกายผู้ป่วยไปได้ประมาณสิบรายแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป ทุกอย่างมันดูราบรื่นเหลือเกิน

นางจึงได้มองย้อนกลับไปข้างหลังด้วยความประหลาดใจ นางเห็นเซวียนเส้าฉีท่าทางสงบนิ่ง เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาเพียงแต่ทำงานต่อ

บนโลกใบนี้ มีอัจฉริยะมากมายเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่าเซวียนเส้าฉีมีพรสวรรค์ในด้านการเรียนรู้ ไม่ได้หมายความว่าเขามีความสามารถด้านการรักษา เพียงแต่มีความสามารถในการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ดีเท่านั้น

หลังจากนั้นต่อมา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินตรวจร่างกายของผู้ป่วยเสร็จเรียบร้อยแล้ว นางก็จะบอกกับผู้ป่วยถึงความเจ็บป่วยของพวกเขาและวิธีรักษาเบื้องต้น

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากมีพื้นฐานด้านการรักษาสักเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย นางพยายามกล่าวออกมาอย่างเต็มที่ ส่วนเซวียนเส้าฉีจะจำได้มากน้อยเท่าไหร่นั้น ก็ต้องดูความสามารถของเขาแล้ว เพราะถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้คิดว่าจะให้เซวียนเส้าฉีกลายเป็นหมอ

ในตอนแรกเริ่ม เซวียนเส้าฉียังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก จนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินกล่าวถึงห้าครั้งถึงเรื่องเป็นหวัด เซวียนเส้าฉีจึงได้เข้าใจว่าเฟิ่งชิงเฉินเห็นตนกลายเป็นซุนซือสิงไปแล้ว และทำการสอนเขาถึงวิธีการต่างๆ โดยไม่ปิดบัง

เฟิ่งชิงเฉินเห็นเขาเป็นคนกันเองไปแล้วงั้นหรือ? ในใจของเขารู้สึกดีอกดีใจขึ้นเล็กน้อย คลื่นความตื่นเต้นตื้นตันปรากฏขึ้นในหัวใจ แววตาดูนุ่มนวลสว่างไสว เดินตามติดเฟิ่งชิงเฉินไป

เมื่อคนไข้เหล่านั้นได้ยินเฟิ่งชิงเฉินอธิบายเรื่องอาการเจ็บป่วยและวิธีการรักษาของตน ดวงตาอันดูคลุมเครือก็ชัดเจนเป็นประกายขึ้น แม้พวกเขาจะฟังไม่เข้าใจนักแต่ก็พอรู้บ้าง ……

พวกเขายังสามารถรักษาให้หายได้ หมอหญิงคนนี้ทำให้พวกเขาได้เห็นความหวังของชีวิต

ภายนอกห้อง ผู้จัดยาเดินผ่านไปพอดี ได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นของสตรีผู้นั้นก็อดไม่ได้ที่จะหยุดฝีเท้าลงแล้วเงี่ยหูฟัง เฟิ่งชิงเฉินอธิบายถึงการเจ็บป่วยและการรักษา

เนื่องจากว่า บรรดาหมอที่อยู่ในร้านขายยาล้วนเก็บกักความรู้ของตนเองเอาไว้อย่างแน่นหนา นั่นก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้จ่ายยาเหล่านี้ขโมยสูตร กลัวว่าพวกเขาจะเข้าไปแทนที่ตำแหน่งตน บัดนี้เมื่อมีโอกาสอันดีเข้ามาพวกเขาจะปล่อยวางมันได้อย่างไร

เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ที่ข้างนอกห้องก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย นอกจากผู้จัดจ่ายยาแล้วยังมีครอบครัวของคนไข้ที่เดินทางมา สายตาของพวกเขามองไปที่เฟิ่งชิงเฉิน ได้ยินนางเอ่ยถึงทักษะทางการแพทย์และอาการเจ็บป่วยการรักษาต่างๆ

ปัจจุบันนี้มีหมอจำนวนน้อยเหลือเกินที่จะบอกวิธีรักษาออกมาอย่างไม่เห็นแก่ตัว พวกเขาเหล่านี้แม้จะไม่รู้วิธีการรักษาทางการแพทย์แต่ก็พอจะเรียนรู้ได้นิดหน่อย

ที่ด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย ส่วนเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ด้านในคงจดจ่ออยู่กับการรักษาผู้ป่วยโดยไม่รู้ว่าด้านนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น เซวียนเส้าฉีหันมาเห็นและไม่ได้ขับไล่คนเหล่านั้นไป เนื่องจากเขารู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่รังเกียจที่จะให้คนเหล่านี้รู้เรื่องนี้ด้วย

มองจากภายนอกแล้วแม่เฟิ่งชิงเฉินจะดูจิตใจจดจ่ออยู่กับผลประโยชน์ แต่ภายในจิตใจของนาง นางเป็นหมอที่มีหัวใจบริสุทธิ์คนหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ป่วยเหล่านี้ นางสนใจเพียงคิดหาวิธีรักษาให้แก่พวกเขา ให้ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถขจัดความเจ็บปวดออกไปได้ และไม่เคยคิดจะเอาประโยชน์จากผู้ป่วยเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย

เฟิ่งชิงเฉินในสภาพเช่นนี้ทำให้คนอื่นรู้สึกเห็นใจเหลือเกิน ตัวนางและความคิดในอุดมคติ ได้เดินทางมาบรรจบกันแล้ว

เฟิ่งชิงเฉินมีความอดทนกับคนไข้มากและตั้งใจ ดึงดูดเซวียนเส้าฉีไม่น้อย เขามองดูนางอย่างไม่รู้สึกเบื่อหน่าย นางก้มลงไปตรวจดูอาการของผู้ป่วยที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจว่าร่างกายของพวกเขาจะสกปรกและเหม็นเพียงใด นางตั้งใจตรวจอาการเจ็บป่วยของทุกคนอย่างละเอียด หัวใจของเซวียนเส้าฉีก็รู้สึกอบอุ่นตามมาด้วย เฟิ่งชิงเฉินซึ่งมีเพียงร่างกายบอบบาง กลับมีพลังอันยิ่งใหญ่ นางนำความหวังและแสงอาทิตย์อันสดใสมาให้ผู้อื่น

บัดนี้ในสายตาของเฟิ่งชิงเฉินเหลือเพียงแค่ผู้ป่วยเท่านั้น ทัศนคติของนางที่มีต่อทุกคนล้วนเหมือนเดิม ไม่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมีเพียงท่าทางอันจริงจัง บัดนี้ทำให้เซวียนเส้าฉีเพิกเฉยต่อรูปลักษณ์ภายนอกและอายุของนาง เขาเชื่อมั่นในตัวนางอย่างไร้เหตุผล เชื่อว่านางสามารถรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ทุกคนได้

เฟิ่งชิงเฉินใช้วิชาความรู้ในด้านต่างๆ ของอาชีพนาง ทำให้ทุกคนในที่นั่นเริ่มจากความสงสัยจนกระทั่งเชื่อ เชื่อว่าสตรีที่มีอายุเพียงน้อยนิดคนนี้จะสามารถรักษาโรคต่างๆ ของพวกเขาได้……

ขณะเดียวกันก็ทำให้พวกเขาทุกคนอยากรู้ว่าหมอหญิงที่ดูอายุน้อยคนนี้คือใครกัน?

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท