กว่าสถานการณ์จะสงบลงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย บัดนี้ก็พากันส่งเสียงเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง โดยมากผู้คนล้วนคุกเข่าพากันขอโทษ ส่วนคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย เมื่อได้ยินคนรอบข้างพูดออกมาเช่นนั้นจึงเข้าใจถึงเหตุและผล ต่างก็พากันคุกเข่าลง “แม่นางเฟิ่งผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม แม่นางเฟิ่งผู้สูงส่ง!”
ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น นอกจากเฟิ่งชิงเฉินแล้วล้วนพากันทำสีหน้าท่าทางอันตื่นเต้น แม้แต่ซุนซือสิงเองก็ดีอกดีใจเสียจนพูดไม่ออก เซวียนเส้าฉีทำท่าทางภูมิใจแทนเฟิ่งชิงเฉิน มีเพียงใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเท่านั้นที่ยังคงเฉยเมยดังเดิม
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” เซวียนเส้าฉีพบว่าเฟิ่งชิงเฉินดูผิดปกติไปจึงได้เอ่ยถาม
“ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งชิงเฉินพึมพำอยู่ในใจ มุมปากของนางขยับเล็กน้อย นางหัวเราะออกมาเบาๆ แต่แววตานั้นไม่ได้มีรอยยิ้มอยู่เลย เมื่อมองไปยังชาวบ้านที่พากันคุกเข่าอยู่ตรงหน้านี้ และได้แต่โทษตัวเองต่างๆ นานา แววตาของเฟิ่งชิงเฉินกลับดูเยือกเย็นลงกว่าเดิม
การที่เลือกโรงพยาบาลเพื่อประชาชนให้อยู่ใกล้กับประตูเมือง ก็เพื่อต้องการผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่หรือ? แต่ทำไมตอนนี้นางดูรู้สึกไม่ดีใจแม้แต่น้อย?
เฟิ่งชิงเฉินหันหลังกลับไปเงียบๆ มองไปยังทิศทางของพระราชวังแล้วนึกในใจว่า เสด็จอาเก้า ผลลัพธ์เช่นนี้ เจ้าพอใจแล้วหรือไม่?
นางเคยเจ็บปวดและถูกประณามอย่างอัปยศอดสู แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้คนเหล่านี้ พวกเขาทั้งหลายเพียงแค่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ก็เท่านั้น อีกอย่างการที่พวกเขาเอาแต่ตำหนิตนเองออกมาเพื่ออะไรกัน ต่อให้พวกเขาไม่แสดงความเสียอกเสียใจและรู้สึกผิดเช่นนี้ออกมา ตัวนางก็สามารถใช้ชีวิตอย่างดีได้
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลงหายใจเข้าลึก เมื่อนางกล่าวขึ้นมาอีกครั้งน้ำเสียงนั้นก็ดูสงบ ท่าทางอันเป็นธรรมชาติดูเหมือนไม่ได้รับการกระทบใดๆ จากผู้คนเหล่านี้เลย
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”
ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้ขยับเขยื้อน พากันนั่งนิ่งเงียบ แต่ละคนมองมาทางเฟิ่งชิงเฉิน ดูเหมือนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงดูสงบนิ่งได้เพียงนี้ เพราะในตอนนั้นพวกเขาทั้งหลายได้ทำร้ายนางอย่างสาหัส
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด เรื่องในอดีตจงปล่อยให้มันผ่านพ้นไป อย่านำไปใส่ใจเลย หากข้ายังถือสาพวกเจ้าทุกคนก็คงจะไม่เดินทางมาให้การรักษาในวันนี้” แม้ว่าการรักษาในวันนี้นาง ไม่ได้เป็นคิดขึ้นเพื่อตนเอง แต่ในเมื่อพูดแล้วก็ควรที่จะพูดให้ดี
“แม่นางเฟิ่ง ท่าน ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน” คำพูดนับหมื่นพันคำกลายมาเป็นเพียงประโยคนี้ประโยคหนึ่ง บรรดาชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นชายรูปร่างกำยำหรือหญิงวัยกลางคน ต่างพากันจ้องหน้ากันไปมาและดูกระอักกระอ่วม
นางช่างเป็นคนดีเหลือเกิน!
สำหรับพวกเขา สิ่งที่พูดออกมาเมื่อสักครู่นั้นมาจากใจจริง แต่เมื่อได้ยินไปถึงหูของเฟิ่งชิงเฉินกลับกลายเป็นการประชดประชัน
นางไม่ได้ดีเลย!
“เอาล่ะ อากาศในฤดูหนาวช่างหนาวเหน็บ หากคุกเข่าอยู่ที่พื้นเป็นเวลานานอาจจะทำให้ความเย็นเข้าสู่ร่างกายและเป็นหวัดเอาง่ายๆ ทุกคนลุกขึ้นเถิดอย่าได้มองคุกเข่ากันไปเลย” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดูบางเบาและเยือกเย็น แต่เมื่อทุกคนได้ยินกลับกลายเป็นว่านางเป็นห่วงพวกเขา
เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงพวกเขา!
ในที่สุดทุกคนก็หยุดทำการดื้อรั้นและช่วยกันพยุงขึ้นจากพื้น
“ฮือๆๆ” บรรดาผู้ที่เคยทำร้ายเฟิ่งชิงเฉินได้แต่ตำหนิตนเองแล้วก้มหน้าด้วยละอายใจ ไม่กล้ามองดูเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินหลับตาลง ซ่อนรอยยิ้มอันเยือกเย็นในดวงตาของตนเอาไว้ คำขอโทษเช่นนี้สำหรับนางสำคัญงั้นหรือ
บางทีนางอาจจะเคยบ่นว่าคนเหล่านี้โง่เขลา ไม่รู้เรื่องรู้ราวถูกยุยงได้ง่าย แต่ในตอนนั้นนางไม่ได้ทำอะไรเลย คนเหล่านี้กลับมาทำร้ายนาง เอาเถอะตอนนี้นางไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นและไม่สนใจว่าคนเหล่านี้จะคิดอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจผู้ที่อยู่ตรงหน้าและหันไปพูดกับซุนซือสิงที่อยู่ด้านข้างว่า “ซือสิงกลับไปทำงานของเจ้าอย่าทิ้งผู้ป่วยเอาไว้เช่นนี้”
“ท่านอาจารย์ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” ใบหน้าของซุนซือสิงดูเป็นห่วงกังวลเฟิ่งชิงเฉิน
ผู้คนเหล่านี้แม้จะบอกว่าขอโทษอาจารย์ของเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ต่างอันใดกับการที่โรยเกลือไปลงบนบาดแผลอีกครั้ง ทำให้อาจารย์ของเขาต้องรู้สึกเจ็บปวดอีกครั้งหนึ่ง แม้เขาจะมีจิตใจงดงาม แต่เขาก็มีหัวใจนอกจากบิดามารดาของตนแล้ว อาจารย์เป็นคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา
“จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้าได้อีกแล้ว เดิมทีเรื่องราวในตอนนั้นก็ไม่ใช่ความผิดของข้า บัดนี้พวกเขาได้เอ่ยขอโทษข้าแล้วจงให้เรื่องราวเหล่านั้นผ่านไปเถิด” ต่อให้ไม่ปล่อยให้มันผ่านไปนางเองก็ไม่อยากสนใจเอาผิดกับคนธรรมดาเหล่านี้
“หากท่านอาจารย์ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซุนซือสิงพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวไปจัดการธุระก่อน”
ก่อนเดินทางจากไปสายตาของเขาจับจ้องไปที่เซวียนเส้าฉี ซุนซือสิงดูสับสน คุณชายชุยกล่าวว่าท่านอาจารย์ไม่อยากแต่งงานกับเซวียนเส้าฉี ต่อให้ตัวเขาคิดว่าเซวียนเส้าฉีเป็นคนดีก็ไม่ได้ เขาควรที่จะช่วยอาจารย์ขับไล่เซวียนเส้าฉีออกไป แต่ตอนนี้ข้างกายของท่านอาจารย์มีเพียงเซวียนเส้าฉีคนเดียวเท่านั้น
ซุนซือสิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปกล่าวกับเซวียนเส้าฉีอย่างจริงจังว่า “นายท่านน้อย ได้โปรดช่วยดูแลท่านอาจารย์ของข้าด้วย” ทุกสิ่งทุกอย่าง ความปลอดภัยของอาจารย์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
เซวียนเส้าฉีชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองใบหน้าอันจริงจังของซุนซือสิง แล้วพยักหน้าตอบรับอย่างเคร่งขรึม “จงวางใจเถิด”
ทั้งสองฝ่ายแยกย้ายกันออกไปคนหนึ่งเข้าไปข้างในคนหนึ่งออกไปข้างนอก แต่ยังไม่ทันเดินไปได้กี่ก้าวด้านนอกก็เกิดน้ำเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นพร้อมกับเสียงสิ่งของกระทบกระทั่งกัน
“อย่า ขอร้องได้โปรดเถอะนายท่าน อย่าได้ทุบเลย อย่าทุบเลย นี่เปรียบเสมือนชีวิตของพวกเรา สิ่งนี้ประทังชีวิตของพวกเรา!”
“นายท่านได้โปรดเถิด อย่า โปรดให้ทางรอดแก่พวกเราด้วย!”
“นั่นมันหม่านโถวจริงๆ อย่าได้เหยียบมันเลย ได้โปรดอย่าเหยียบมัน!”
“โอ้……อย่าเททิ้ง อย่าเทมันทิ้ง หม้อนั้นให้ชีวิตพวกเราได้ ท่านทำเช่นนี้เท่ากับบีบบังคับให้เราถึงแก่ชีวิต!”
น้ำเสียงร้องไห้ต่างๆ นานาดังขึ้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องผิดปกติไป เฟิ่งชิงเฉินจึงหันหลังกลับมาอย่างรวดเร็ว นำยาในมือยื่นไปให้ซุนซือสิงแล้วพูดว่า “ซือสิง คนไข้ด้านในข้าได้เขียนอาการของพวกเขาเอาไว้พร้อมกับต้องจ่ายยาชนิดใด เจ้าจงจ่ายยาตามที่ข้าเขียนเอาไว้หากทำไม่ได้ให้รอข้ากลับมา ข้าจะออกไปดูหน่อยว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
เฟิ่งชิงเฉินรีบวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว
“ข้าไปด้วย!” เซวียนเส้าฉี ทำเช่นเดียวกันกับเฟิ่งชิงเฉิน เขาเอายาใส่ไว้ในมือของซุนซือสิงแล้วพูดว่า “ถือให้ดีอย่าทำหายล่ะ”
เมื่อพูดจบเขาก็วิ่งออกไปข้างนอก
“เร็วเข้ารีบไปดูกันเถอะว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ดูเหมือนว่าโจ๊กและหม่านโถวที่นำมาให้เราจะมีคนมาทำลายทิ้ง รีบไปดูเถิด”
คนที่อยู่ด้านในก็รู้เช่นกันว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจึงพากันวิ่งออกไปด้านนอก
“ข้าไปด้วย ข้าก็อยากไปด้วย!” ซุนซือสิงหอบยาเอาไว้ในอ้อมแขนแล้ววิ่งออกไปด้วยความโมโห บัดนี้ใครจะมาสนใจเขาอีกเล่า ซุนซือสิงไม่รู้จะทำอย่างไรจึงทำได้เพียงถือยาเหล่านั้น เข้าไปในห้องแล้วเกลี้ยกล่อมผู้ป่วย
ตอนที่เฟิ่งชิงเฉินและเซวียนเส้าฉีเดินออกมา ก็มองเห็นพวกทหารและเจ้าหน้าที่กระทำอย่างโหดเหี้ยม พวกเขาใช้หอกทำลายอาหารที่นำมาแจกจ่าย และอาหารเหล่านั้นก็ถูกเหยียบย่ำเสียจนเละเทะ ชาวบ้านบางคนวิ่งเข้าไปเพื่อที่จะห้ามการกระทำเหล่านี้ของพวกเขา โดยไม่สนใจใดๆ แต่ผู้คนเหล่านี้ก็ได้ใช้หอกของตนทิ่มแทงฟาดลงไปโดยไม่สนใจว่าชาวบ้านจะเป็นตายร้ายดี
“โธ่……นายท่าน ขอร้องเถิดอย่าได้ทุบเลย อย่าทุบเลย หากท่านโกรธสิ่งใดจงมาตีข้าเป็นการระบายเถิด”
“นายท่าน นี่คืออาหารประทังชีวิตและช่วยชีวิตของเราเอาไว้ ได้โปรดมอบทางรอดให้แก่เราเถิด”
“อ๊ากๆๆ ……ข้าจะต่อสู้กับพวกเจ้า ข้าจะสู้กับพวกเจ้า พวกเรามากมายที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนต้องการโจ๊กและหม่านโถวเพื่อเลี้ยงประทังชีวิต พวกเจ้าเอาอำนาจใดมาทุบทำลายทิ้งเช่นนี้ พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“นี่เปรียบเสมือนชีวิตของพวกเรา ท่านฆ่าพวกเราแล้ว ท่านไม่ให้หนทางรอดแก่เราเลย!”
ชาวบ้านพากันร้องไห้ร้องห่มและตะโกนอ้อนวอนก็มี แต่เจ้าหน้าที่และทหารเหล่านั้นล้วนไม่สะทกสะท้าน สีหน้าของพวกเขาดูประชดประชันแล้วเปล่งเสียงว่า “ไอ้พวกชั้นต่ำ กล้าดีอย่างไรมาถามพวกข้าเช่นนี้ ข้าใช้อำนาจได้มาทำลายทุบทิ้งนะหรือ ชุดที่ข้าสวมใส่อยู่นี้มีเหตุผลเพียงพอที่ข้าจะทำลายของเหล่านี้ทิ้ง แล้วพวกเจ้าจะทำอย่างไรกับพวกข้า?”
“กินๆๆ! วันๆ เอาแต่กิน กินกันให้ตายไปเลย ทางการมอบของให้แก่พวกเจ้ากินและดื่ม ท่านใต้เท้าได้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่เนิ่นๆ แต่พวกเจ้ากินบนเรือนขี้บนหลังคา ได้รับสิ่งของจากทางการแล้วยังมาหาอาหารจากคนไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเหล่านี้อีก”
“กบฏ พวกเจ้ากำลังกบฏรู้หรือไม่!”
“ทุบทิ้ง จงทำลายทิ้งให้หมด ใครสั่งให้พวกเจ้าตั้งแผงแจกจ่ายอาหารเช่นนี้ ได้รับอนุญาตจากทางการแล้วงั้นหรือ เสแสร้งแกล้งทำเป็นคนดี ทุบทิ้งให้หมดให้สิ้น หากใครกล้าขัดขืนข้าจะจับเข้าคุก!”
เหล่าทหารทำท่าทางหยิ่งยโสยิ่งกว่าโจร พวกเขาโจมตีคนที่ไม่มีอาวุธและทำร้ายร่างกายคนเหล่านั้นโดยไม่คำนึงถึงชีวิตและความเจ็บปวด
“พลัก!……” เลือดสาดกระจายไปทั่ว ทำให้หิมะสีขาวผ่องถูกย้อมเป็นสีแดงในทันควัน……
“หยุดนะ พวกเจ้าจงหยุดเดี๋ยวนี้ คิดอยากจะทำสิ่งใดกัน?” ทงจือรีบวิ่งออกไปนางเห็นฉากตรงหน้า แววตาแดงก่ำ และตั้งใจจะพุ่งตัวออกไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ขุนนางและทหารเหล่านั้น กลับถูกเฟิ่งชิงเฉินรั้งเอาไว้ว่า “อย่าไป”
“คุณหนู?” ทงจือไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคำเหล่านี้ออกมาจากปากของเฟิ่งชิงเฉิน คุณหนูของนางเกลียดแค้นความอยุติธรรม นางเด็ดเดี่ยวและมีจิตใจกล้าหาญไม่ใช่หรือ?
“ต่อให้เจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ ดูเถิดทหารพวกนั้นได้เตรียมตัวมาล่วงหน้าแล้ว ต่อให้พวกเราเข้าไปก็ได้ประโยชน์ พวกเขาทำลายอาหารทิ้งไปจนเกลี้ยงแล้ว บัดนี้พวกเราแทรกเข้าไปก็ทำให้ความขัดแย้งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้นเอง” เซวียนเส้าฉีมองดูเฟิ่งชิงเฉินไม่อยากจะอธิบายเรื่องเหล่านี้เขาจึงได้เอ่ยแทนนาง
เขาไม่อยากให้บ่าวรับใช้คนนี้เข้าใจเฟิ่งชิงเฉินผิดไป อีกอย่าง ไม่ควรต่อสู้กับทหาร การที่พวกเขาเข้าไปต่อสู้กับทหารและขุนนางเหล่านี้เดิมทีไม่ผิดก็ต้องผิด
“คุณหนูเจ้าคะ ข้า……” ทงจือเข้าใจได้ในทันที นางหันไปทางเฟิ่งชิงเฉินแล้วเอ่ยขอโทษ
ทุกสิ่งอย่างพังทลายหมดแล้ว ต่อให้พวกนางพุ่งเข้าไปแล้วทำอะไรได้เล่า จะช่วยอะไรได้บ้าง?
ทหารเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเดินทางมาเพื่อสร้างปัญหา ในเมื่อพวกเขาทุกๆ อย่างทุกสิ่งทิ้งแล้วก็คงจะเดินทางจากไป บัดนี้หากทุกคนก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวคงจะทำให้ทหารเหล่านี้ห้าวหาญมากยิ่งขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดอะไร นางทำเพียงหยุดคนอื่นๆ ที่ต้องการจะเข้าไป ขัดแย้งต่อสู้กับทหาร หากเป็นก่อนหน้านี้คนเหล่านั้นคงไม่เชื่อฟังคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน ทว่าในเวลานี้ไม่เหมือนเดิม
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้น แม้พวกเขาไม่อยากจะหยุดฝีเท้าอยู่ตรงนั้นแต่ทุกคนก็ต้องหยุดและเก็บความคับข้องใจเอาไว้
“แม่นางเฟิ่ง……” ชายคนหนึ่ง ถึงกับน้ำตาไหลเมื่อเห็นโจ๊กและหม่านโถวถูกเหยียบย่ำลงไปบนพื้น
“อย่าเลย อย่าได้ไปเลย ไร้ประโยชน์ ปล่อยให้พวกเขาทุบเถิด เมื่อทุบเสร็จพวกเขาก็จากไปเอง” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ปลอบโยนพวกเขานางเพียงกล่าวออกมา
“ฮือๆ……” ผู้คนพากันร้องไห้ร้องห่มมากยิ่งขึ้น แต่ละคนส่งสายตาอันดุเดือดมองไปทางทหาร แต่ไม่มีใครก้าวเข้าไปข้างหน้าเพื่อหยุดยั้ง แววตาของพวกเขาจับจ้องมองไปยังโจ๊กและหมั่นโถวที่อยู่บนพื้น
“โจ๊กนี้ทั้งหอมและเข้มข้นเหลือเกิน พวกเขาไม่กล้าที่จะกินแม้แต่คำเดียว” ทุกคนตั้งใจจะเก็บเอาไว้ไปให้บิดามารดาที่บ้านกิน แล้วไหนจะหมั่นโถวอีก หลายปีมานี้พวกเขาไม่เคยได้กินหมั่นโถวที่รสชาติกลมกล่อมหอมนิ่มขนาดนี้มาก่อน
“โอ้สวรรค์ ท่านไม่ต้องการให้พวกเรามีชีวิตอยู่เเล้วงั้นหรือ!”
“ข้าแต่สวรรค์ผู้เมตตา พวกเราทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือพวกเราทำสิ่งใดผิดไป?”
“พวกเจ้าไม่ได้ทำผิดหรอก คนที่ผิดก็คือบรรดาขุนนางที่กินไม่รู้จักอิ่มเหล่านั้น พวกเขาไม่เข้าใจถึงความหิวโหยและไม่เข้าใจว่าความหิวมันน่ากลัวและลำบากเจ็บปวดเพียงใด”
เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าชาวบ้านเหล่านั้นไม่ได้เข้าไปปะทะกับทหาร นางจึงวางใจเล็กน้อย เพราะหากเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเพิ่มเติม
“ไปเถิด ไปตามคนเหล่านั้นมา” นางหันหลังกลับไป แล้วกำชับกับเซวียนเส้าฉี
นางให้เขาไปนำผู้ที่ปะทะกับทหารเมื่อครู่ดึงกลับมา ผู้คนเหล่านั้นถูกทุบตีเสียจนเลือดออก……ทำให้ทั้งโจ๊กและหมั่นโถวสีขาวที่อยู่บนพื้นแดงเรื่อ แต่พวกเขาล้วนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด และเข้าปะทะกับทหารเหล่านั้นด้วยความเย็นชา
โจ๊กหมดไปแล้ว หมั่นโถวก็หมดไปแล้ว ความหวังเดียวในชีวิตของพวกเขาได้หมดสิ้นลง ในเมื่อพวกเขาไม่มีหนทางรอด เช่นนั้นชีวิตนี้จะเก็บไว้เพื่ออะไรเล่า สู้เถิดสู้ให้ถึงที่สุด……