นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 692 สิ้นหวัง มีแรงเท่าไรใส่ให้หมด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เซวียนเส้าฉีเคยพบกับเหตุการณ์อันน่าเศร้าที่มีผู้ตายมากมายนับพันนับหมื่นคน แต่เขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน……

คนเหล่านี้ต่อสู้กับทหารทั้งหลายเพื่อโจ๊กและหมั่นโถว แม้ว่าจะไม่ได้ถึงแก่ชีวิต แต่พวกเขาดูช่างน่ากลัวเสียกว่า แววตาของพวกเขานั้นไม่หลงเหลืออะไรไว้เลยนอกจากความสิ้นหวัง

ความตายไม่ได้น่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือการรอความตาย คนเหล่านี้เป็นไปเช่นนั้น พวกเขาทุกคนกำลังรอความตาย และอดอาหารซึ่งไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น

เจ้าหน้าที่ทหารเหล่านั้นทำลายที่แจกจ่ายอาหาร ไม่ให้ผู้ประสบภัยได้มีอาหารกิน นั่นก็หมายความว่าได้ทำลายความหวังในการเอาชีวิตรอดของพวกเขาไปจนสิ้นแล้ว

หินตกลงมาปิดถนน ภูเขาก็เข้าไปไม่ได้ แม่น้ำถูกปิดกั้น นอกจากต้องพึ่งพาคนอื่นแล้วพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย แต่ ณ เวลานี้ทางการกลับเข้ามาปิดกั้นหนทางรอดเดียวของพวกเขา

หากพวกเขาต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไปล่ะก็ แม้จะต้องก้มหน้าลงไปเลียอาหารบนพื้นดุจดั่งสุนัข พวกเขาก็จะทำ

พวกเขาเพียงแค่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป มันผิดหรือ?

“พวกเราเพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เราผิดด้วยหรือ?” ชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่งที่ถูกเซวียนเส้าฉีเข้าไปรั้งเอาไว้พูดขึ้น

ชายชราร่างกายผอมโซมีแต่กระดูกเหมือนไม้เสียบผี เขาโค้งกายงอเข้าหากัน ความเศร้าในดวงตาทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกปวดใจยิ่งนัก ชายชราผู้นี้น่าจะอายุพอๆ กับปู่ของนาง นางไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าหากปู่ของนางต้องมามีสภาพเช่นนี้ แล้วนางจะทำอย่างไร?

บางทีนางอาจจะบ้าไปเลยก็ได้

ทหารเหล่านี้กำลังบีบบังคับให้ประชาชนก่อกบฏอย่างงั้นหรือ แต่นางจะไม่ทำดังนั้น พวกเขาจะเอาเหตุผลอะไรมาแอบอ้างเล่า

เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามสงบความโกรธในใจของนาง แล้วหยิบตราประทับออกมากล่าวว่า “ทงจือ จงนำตราประทับนี้ไปหาตี๋ซื่อจื่อ ให้เขาส่งคนมาจัดการสถานการณ์ที่นี่ หลังจากไปหาตี๋ซื่อจื่อเรียบร้อยแล้ว จงเดินทางไปที่จวนเซียวชินอ๋อง ขอร้องเข้าพบเซียวชินอ๋องแล้วบอกสถานการณ์ที่นี่แก่เขา ว่าภายใต้การปกครองของฝ่าบาทมีทหารที่ไร้ซึ่งกฎหมายในสายตาเช่นนี้อยู่ แล้วในที่อื่นๆเล่า ผู้ประสบภัยในที่อื่นๆ พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร” ผู้คนเหล่านี้เข้ามาท้าทายขีดจำกัดของนาง ต่อให้นางพยายามอดทนหรือเย็นชาสักเพียงไรก็ไม่อาจทนมองต่อไปได้

นางเข้าใจจุดประสงค์ของการทำร้ายและทุบตีข้าวของของคนเหล่านี้แล้ว เหตุผลที่คนเหล่านี้เข้ามาทำลายโรงแจกจ่ายอาหารและไม่ยอมไปนั้น ก็เพราะต้องการทำให้ชาวบ้านเหล่านี้ต้องรู้สึกโมโหขุ่นเคือง และเมื่อชาวบ้านสร้างความเดือดร้อนไม่สงบขึ้นมา พวกเขาก็จะมีเหตุผลที่จะจับทุกคนเข้าคุกอย่างยุติธรรม

ไม่ว่าชาวบ้านจะมีเหตุผลใดก็ตาม เพียงแค่เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ทหาร ประชาชนก็จะกลายเป็นผู้ไร้เหตุผลในทันที หากเป็นก่อนหน้านี้บางทีนางอาจจะทะเลาะเบาะแว้งด้วยแต่ตอนนี้……

นางเคยทุกข์ทนมามาก และเคยทำผิดมามาก ถ้านางยังทำเหมือนเดิมอีกก็คงจะโง่เง่านัก

ทงจือเดินทางจากไป เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองผู้คนที่อยู่ข้างกาย และพูดกับคนที่ยังพอดูแข็งแรงว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงแทรกกายเข้าไปพาผู้ที่บาดเจ็บออกมา แต่จงจำไว้ว่าอย่าต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหาร หากพวกเขาทำร้ายเจ้าก็หลบ หากหลบไม่ทันก็จงอดทนเอาไว้”

ประโยคเหล่านี้ช่างดูไร้สาระ แต่เมื่อนึกถึงผลที่จะตามมาก็คงเข้าใจ ต่อให้เจ้าหน้าที่ทหารไร้เหตุผล แต่ชาวบ้านต่อสู้ก็นับว่าผิดเช่นกัน

“แม่นางเฟิ่งพวกเราเชื่อท่าน” ชายหนุ่มผู้นั้นโมโหเป็นที่สุดเสียจนขาดสติ หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉิน เขาคงจะเข้าไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารอย่างสุดกำลังแล้ว

ความไว้วางใจดังกล่าวนี้เป็นแรงกดดันต่อเฟิ่งชิงเฉิน นางจะทำให้ความไว้วางใจของพวกเขาเสียเปล่าไม่ได้

“ไปเถิด ไปบอกกับพวกเขาว่าทุกคนจะไม่อดตาย แม้สวรรค์จะไม่อยากให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อ แต่ผู้ที่แจกจ่ายอาหารแก่พวกเจ้า คนคน นั้น……แม้จะไม่สามารถต่อสู้กับฟ้าดินได้ แต่ในใจเขาก็มีชาวบ้านอยู่”

ตอนที่นางพูดประโยคนี้ออกมา ณ ที่นี้ ทำให้ดูมีพลังน่าเชื่อถือ

“คนที่นำอาหารมาแจกจ่ายแก่พวกเราคือใครกัน ไม่ใช่แม่นางเฟิ่งหรือ?” มีใครคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นจากทางด้านหลัง

“ไม่ใช่ข้า ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น เอาล่ะ……อย่าได้มัวกล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย พวกเจ้ารีบเข้าไปช่วยคนเถิด ทั้งโจ๊กและหมั่นโถวจะยังมีให้พวกเขาอย่างแน่นอน” เฟิ่งชิงเฉินชี้ไปทางผู้คนด้านหลัง แล้วนำผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมาแยกไว้อีกฝั่งหนึ่ง ก่อนจะทำแผลอย่างง่ายๆ

“พวกเราสามารถช่วยได้หรือไม่?” สตรีนางหนึ่งและเด็กผู้หญิงผอมแห้งคนหนึ่งพากันมองดูเฟิ่งชิงเฉิน แววตาพวกเขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่าจะช่วยเฟิ่งชิงเฉินได้

เจ้าหน้าที่ทหารเหล่านี้กล่าวว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ขยะที่ไร้ประโยชน์ วันๆ เอาแต่ขออาหารคนอื่นกิน ทางการต้องเสียเงินซื้อข้าวซื้อน้ำมาเลี้ยงคนเหล่านี้ พวกเขาสมควรตายเสียด้วยซ้ำ การที่มีโจ๊กและหมั่นโถวกินก็ควรจะเอ่ยขอบคุณสวรรค์แล้ว

พวกเขาคิดมาเสมอว่าตนเองไร้ประโยชน์ คาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถสร้างประโยชน์ได้

“แน่นอนสิ สวรรค์จะช่วยเหลือผู้ที่พยายามช่วยเหลือตนเองเสมอ พวกเราจะสามารถข้ามผ่านและเอาชีวิตรอดจากภัยพิบัติหิมะครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน ทุกอย่างจะเรียบร้อยเมื่อหิมะสิ้นสุดลง” น้ำเสียงของเฟิ่งชิงเฉินดูเหมือนมีพลังพิเศษทำให้ทุกคนในที่นั่นเชื่อว่านางพูดเรื่องจริง

เพียงแค่ผ่านพ้นจากพายุหิมะนี้ไปได้ พวกเขาก็ไม่กลัวอะไรแล้ว

พวกเขาถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คนที่ยังพอมีเรี่ยวแรงก็เข้าไปในการต่อสู้นั้นแล้วรีบพาผู้บาดเจ็บออกมา ตอนที่พวกเขาก้าวขาเข้าไปท่ามกลางเหตุการณ์ชุลมุน เท้าของพวกเขาเหยียบย่ำไปบนโจ๊กและหมั่นโถว หัวใจของพวกเขาหลั่งนองเป็นเลือด แต่ละคนกำมือแน่นพยายามระงับความอาฆาตแค้นในใจของตน

“หยุดเถิด นายท่านทั้งหลาย ขอร้องปล่อยพวกเราไปเถิด พวกเราไม่ดื่มโจ๊กและไม่กินหมั่นโถวเหล่านี้แล้ว”

“ขอร้องเถิดอย่าได้ ลงมือกันอีกเลย”

ชายกลุ่มหนึ่งเข้าไปรุมล้อมและล้มลงอยู่แทบเท้าเจ้าหน้าที่ทหาร พวกเขาไม่อยากต่อสู้กับทหารเหล่านั้นจึงทำได้เพียงเอากายเข้าปิดกั้น ให้คนอื่นๆพาผู้บาดเจ็บออกไป

สตรีและเด็กที่อยู่ด้านข้าง ช่วยกันพาผู้บาดเจ็บแบกเข้าไป ด้วยความช่วยเหลือจากหมอและผู้จ่ายยาของตระกูลหยุน จึงสามารถรักษาแผลให้แก่ผู้บาดเจ็บได้อย่างราบรื่น

เมื่อร่วมใจกันสามัคคีคือพลัง

สถานการณ์อันวุ่นวายค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ทหารเหล่านั้นคิดไม่ถึงว่าชาวบ้านเหล่านี้จะไม่ต่อสู้และดูสงบเสงี่ยมทำให้พวกเขาทำตัวไม่ถูกเลย

จะทำยังไงดีล่ะคราวนี้ เบื้องบนได้ให้คำสั่งมาแล้วให้พวกเขาบีบบังคับชาวบ้านเหล่านี้ลุกขึ้นต่อสู้สร้างปัญหา บีบบังคับให้พวกเขาลงมือกับคนของทางการ แต่ตอนนี้ชาวบ้านไม่ยอมที่จะลงไม้ลงมือกับพวกเขาเลย แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรเล่า

บุกเข้าไปจัดการเลยดีหรือไม่?

อืม นี่เป็นความคิดที่ดี

ทหารเหล่านั้นพากันมองหน้าไปมา ต่างกัดฟันแล้วมุ่งเข้าไปในโรงพยาบาลซึ่งห้องซึ่งกำลังรักษาผู้คนอยู่

เซวียนเส้าฉีรั้งพวกเขาเอาไว้ ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดเดา แต่ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินแน่ใจได้แล้วว่าทหารเหล่านี้มาเพื่อหาเรื่อง ต้องการบีบบังคับให้ชาวบ้านเกิดวิวาทกับตน

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ชาวบ้านก็จะลงมือลงไม้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะมีความผิดอย่างแน่นอน

“อืม” เซวียนเส้าฉีเป็นคนฉลาด เขามองออกถึงความผิดปกติไปของทหารเหล่านี้ หากเขาไม่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ก็คงจะโง่เง่าสิ้นดี เพียงแต่ว่า……หากไม่ให้เขาฆ่าฝ่ายตรงข้าม ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถป้องกันไว้ได้นานเท่าไหร่

อีกฝ่ายหนึ่งมีจำนวนมาก แต่เขาจะต่อสู้ด้วยความรุนแรงไม่ได้

“ทุกคน เอาหิมะปาสู้พวกเขา……คนที่ยังว่างอยู่จงไปก็โกยหิมะมา แล้วใช้หิมะปั้นเป็นก้อนปาไปที่พวกเขาอย่าให้พวกเขาบุกเข้ามาข้างในได้” ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกรีบร้อนใจมาก นี่คือที่กำแพงเมือง จากเหตุผลแล้วในไม่ช้าตี๋ตงหมิงก็จะมาถึง นางเพียงกลัวว่าทงจืออาจจะหาตี๋ตงหมิงไม่เจอ หรือว่าตี๋ตงหมิงไม่อยู่ และขุนนางคนอื่นๆ คงไม่อยากเข้ามายุ่งเรื่องราวนี้อย่างแน่นอน

“พวกเราทุกคนฟังคำแม่นางเฟิ่ง ใช้หิมะปั้นเป็นก้อนแล้วปาไปยังพวกหมารับใช้เหล่านี้”

แค่มีคนมากกว่าไม่ใช่หรือ อย่าลืมไปว่าผู้ประสบภัยเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อยกว่าทหารเลย ทหารเหล่านั้นทำลายความหวังของพวกเขา เหล่าชาวบ้านผู้ประสบภัยอยากจะดื่มเลือดกินเนื้อของเจ้าหน้าที่ทหารเหล่านี้เหลือเกิน

เมื่อนางสั่งให้พวกเขาใช้หิมะขว้างปาไป พวกเขาจึงได้ใช้หิมะขว้างปาคนเหล่านั้น ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักเช่นนี้ของอย่างอื่นอาจจะหายากแต่ที่มีไม่ขาดนั่นก็คือหิมะ พวกเขาทุกคนก้มหน้าลงแล้วพากันขวาขึ้นมาเป็นก้อน

พลั่กๆๆ

ราวกับกำลังเต้นรำกลางอากาศ พวกเขาทุกคนใช้แรงทั้งหมดเท่าที่มี เอาหิมะขึ้นมาปั้นก้อนเท่ากำปั้นแล้วปาออกไปสุดแรงเกิด

เจ้าหน้าที่ทหารเหล่านั้นถูกหิมะปาใส่จนมึนงงร้องโอยกันเป็นแถวๆ หิมะเหล่านั้นแน่นหนาจนแทบกลายเป็นม่านน้ำตก แล้วปิดกั้นทหารเหล่านั้นไว้ข้างนอก ผู้ที่อยู่ด้านหลังมีหน้าที่ในการปั้นหิมะ จากนั้นผู้ที่อยู่ด้านหน้ามีหน้าที่ในการปาใส่พวกเขา ปาไปก็ด่าไป บางคนก็ถึงกับร่ำไห้……

พวกเขาไม่อยากมีเรื่องขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ทหาร พวกเขาไม่อยากต่อสู้ แต่ตอนนี้พวกเขาก็ไร้ทางสู้ ไม่มีแม้หนทางเดียวจริงๆ หากมีทางเลือกสักเล็กน้อยพวกเขาคงจะไม่อยากเข้าไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ทหารเหล่านี้

เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ด้านข้าง นางไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแต่ในใจนั้นกลับอึดอัดคับข้องใจเหลือเกิน

นางเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าอะไรคือการที่เจ้าหน้าที่ทหารบีบบังคับประชาชน อะไรคือสิ่งที่เรียกว่าไร้หนทาง และอะไรคือสิ่งที่ถูกบีบจนสิ้นหวัง สิ่งใดกันที่เรียกว่าหมดหวัง……

ใต้หล้านี้ยังมีคนจำนวนเท่าไหร่กัน ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างเลวร้ายเช่นนี้

“อย่าได้เศร้าใจไป การที่พวกเขาได้พบกับเจ้านับว่าโชคดียิ่งนัก” เซวียนเส้าฉีไม่รู้จะเอ่ยปลอบใจเฟิ่งชิงเฉินเช่นไรดี ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้ปลอบประโลมอย่างไรก็ดูไร้ผล

“การที่พวกเขาได้พบกับข้าจึงนับว่าโชคร้ายยิ่งนัก” น้ำตาในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินไหลนองอยู่ในดวงตา แต่ไม่ได้ไหลออกมา

เซวียนเส้าฉีไม่รู้หรอกว่าภัยพิบัตินี้นางเป็นคนคิดขึ้น หากไม่ใช่เพราะภัยพิบัติในวันนี้ ประชากรเหล่านี้จะได้พบกับเหตุการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร และพวกเขาก็จะไม่ถูกเจ้าหน้าที่บีบบังคับจนไร้หนทางเช่นนี้

แววตาของเซวียนเส้าฉีเป็นประกาย จากนั้นคืนสู่ความสงบดังเดิม “หากไม่ได้พบกับเจ้าพวกเขาอาจมีชีวิตได้อีกไม่กี่วัน เป็นเจ้าที่ช่วยพวกเขาเอาไว้”

ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม แต่เฟิ่งชิงเฉินทำให้ผู้ที่ประสบภัยพิบัติเหล่านี้ที่กำลังจะหิวตายมีข้าวกิน อย่างน้อยก็ไม่ต้องนอนรอความตาย

ทางการออกมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเขาเคยเห็น และโจ๊กเหล่านั้นดูเหลวเสียกว่าน้ำซาวข้าว มีกลิ่นเหม็นออกมาเสียด้วยซ้ำ ยากที่จะกลืนเข้าไปสักคำ มันไม่อาจกินได้เลย หากจะให้กินของเหล่านั้นสู้กินเกลือสักสองคำยังดีกว่า

เฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบ สิ่งที่เซวียนเส้าฉีพูดนั้นก็ไม่ผิด ไม่ว่าเสด็จอาเก้าทำเรื่องใด แต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้ประชากรเหล่านี้ได้กินอิ่ม ในยุคที่ขาดแคลนอาหารเช่นนี้เสด็จอาเก้าสามารถกระทำดังนั้นได้นับว่าไม่ง่ายแล้ว

ต่อให้มีจุดประสงค์ทางการเมือง แต่เสด็จอาเก้าก็พยายามอย่างเต็มที่ เขาต้องการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านี้จริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาเพียงแค่ต้มโจ๊กก็คงพอ เหตุใดต้องทำหมั่นโถวเหล่านี้ด้วย

เป็นนางที่คิดมากไปเอง นางบอกกับตัวเองอย่างชัดเจนว่าจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ประสบภัยเหล่านี้ด้วยจิตใจเย็นชา แต่เมื่อเห็นความน่าสลดของพวกเขานางกลับลืมไปว่านางเป็นใคร

ต่อให้นางรู้สึกสงสารคนเหล่านี้แล้วอย่างไรเล่า นางมีความสามารถเช่นนั้นหรือ นางสามารถช่วยผู้คนนับสิบ ร้อย พันหมื่นเหล่านี้ได้หรือ

นางทำไม่ได้ ดังนั้น……นางไม่มีคุณสมบัติใดที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องที่เสด็จอาเก้าบรรเทาภัยพิบัตินี้ และไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเพราะนางทำดีที่สุดแล้ว

“ข้าคิดมากไปเอง” เมื่อนางคิดได้ก็พยายามสงบสติลงแล้วหันไปช่วยรักษาผู้บาดเจ็บ และรักษาบาดแผลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสต่อไป

นางเพียงแค่ทำเรื่องของตัวเองให้ดี ส่วนเรื่องราวใหญ่โตเหล่านั้นปล่อยให้เป็นเรื่องของชายหนุ่มเถิด นางเชื่อว่าต้องมีสักวันชีวิตนั้นจะต้องดีขึ้น

ภายในห้องได้รับการจัดระเบียบจากหมอ แต่ภายนอกกลับกลายเป็นอีกโลก ขณะที่ตี๋ตงหมิงพาเจ้าหน้าที่เดินทางมาถึง เขาคิดไม่ถึงว่าจะเห็นสภาพเช่นตรงหน้านี้ คนจากทหารราบเก้าประตูถูกปิดกั้นทางเดินเอาไว้และถูกหิมะทุบใส่จนต้องร้อง

เรื่องนี้น่าสนุกแล้ว!

ตี๋ตงหมิงหัวเราะออกมาและทำสัญลักษณ์ให้คนด้านหลัง……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท