“จับมันไว้!”
น้ำเสียงของตี๋ตงหมิงดังขึ้น ท่ามกลางพายุหิมะ และการต่อสู้ที่ดุเดือด จึงทำให้ดูอ่อนแอมากไปกว่าเดิม อย่างน้อยคนจากทหารราบเก้าประตูก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น ตอนที่พวกเขาเห็น ก็พบว่าพวกเขาถูกคนของตี๋ตงหมิง จับกดไว้ที่พื้นแล้ว
บรรดาทหารราบเก้าประตู กล้าที่จะลงมือกับชาวบ้านธรรมดา แต่สำหรับคนของตี๋ตงหมิงนั้น ทหารพวกนี้เคยอยู่ในสนามรบมาก่อน ถ้าต่อสู้ด้วยก็คงไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เกิดเรื่องอะไรกัน? พวกแกเป็นใคร? พวกเราเป็นคนจากทหารราบเก้าประตู ได้รับคำสั่งมาปฏิบัติหน้าที่ที่นี่ พวกเจ้าจับคนผิดแล้วหรือไม่ ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง มีอะไรค่อยพูดค่อยจา” ในเมืองหลวงนี้แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขาเคยแต่จับคนอื่น แต่ไม่เคยถูกคนอื่นจับเช่นนี้ คนจากทหารราบเก้าประตูจึงได้พากันตะโกนขึ้น
แม้จะบอกว่าในเมืองหลวงมีทหารมากมาย แต่โดยปกติแล้วทุกคนก็ทำหน้าที่ของตนเอง ไม่เข้ามาละเมิดข้องเกี่ยวซึ่งกันและกัน หากมีขัดแย้งกันบ้างก็จะไม่แสดงออกมาชัดเจน
นี่เป็นครั้งแรกที่คนจากกองทหารถูกคนอีกกลุ่มหนึ่งจับกุมตัว อะไรกันนี่?
“คนจากทหารราบเก้าประตูงั้นหรือ ใครเป็นคนสั่งให้เจ้ามาทำ หน้าที่ในครั้งนี้คืออะไร?” ตี๋ตงหมิงยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นแล้วเหยียบลงไปบนหลังของทหารนายหนึ่งที่กำลังพูด ตี๋ตงหมิงโน้มตัวไปข้างหน้า ท่าทางขี้เล่นไม่เบา
“เจ้า……เป็นใครกัน?” เดิมทีทหารนายนั้นรู้สึกโมโหมาก แต่เมื่อพบว่าตี๋ตงหมิงไม่แยแสเรื่องราวใดๆ จึงได้รู้ว่าคนคน นี้ไม่ใช่คนที่เขาจะทำให้ขุ่นเคืองใจได้ง่ายๆ ทีท่าจึงเปลี่ยนไปในทันที
“เพียะ……” ตี๋ตงหมิงตบไปที่ศีรษะของชายผู้นั้น “เจ้าไม่ตอบคำถามข้าก็ยังไม่เท่าไร กล้าดีอย่างไรจึงถามข้ากลับเช่นนี้ อยากตายอย่างนั้นหรือ ข้าจะสนองเจ้าเอง”
ตี๋ตงหมิงหยิบมีดสั้นออกมาจากรองเท้ายาวของ วิธีนี้เขาเรียนรู้มาจากเฟิ่งชิงเฉิน ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินผู้หญิงคนนั้นจะมีอาวุธที่สามารถฆ่าคนอื่นได้ใส่เอาไว้เต็มร่างกาย
ประกายของมีดแวววาวจ่อไปที่คางของคนผู้นั้น ตี๋ตงหมิงไม่ได้จัดการเขาโดยตรง แต่กลับนำมันลูบไปมาแล้วข่มขู่อีกฝ่ายอย่างดุดันว่า “เจ้าว่าข้าจะลงมือจากที่ใดก่อนดี?”
“พลั่ก ตุ๊บ……” ทหารผู้นั้นสีหน้าซีดเผือดด้วยความตกตะลึงแล้วล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นราวกับปลาตาย จากนั้นก็มีกลิ่นของปัสสาวะลอยออกมา
“ให้ตายสิขี้ขลาดเหลือเกิน” ตี๋ตงหมิงใช้ขาข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนหลังของเขา เมื่อทหารผู้นั้นขยับเขยื้อน ตี๋ตงหมิงจึงได้เอนไปตามแรงของเขาจนเกือบทำให้ต้องเหยียบปัสสาวะนั้น โชคดีเหลือเกินที่ทหารซึ่งอยู่ด้านหลังของเขาพบเข้าทัน ดังนั้นจึงเข้าไปดึงตี๋ตงหมิงเอาไว้ เพียงแต่ว่า……การกระทำนี้ ทำให้รูปลักษณ์อันหล่อเหลาและดุเดือดของตี๋ตงหมิงต้องถูกทำลาย ตี๋ตงหมิงหงุดหงิดและยกเท้าขึ้นเปลี่ยนตำแหน่งในการเหยียบไปเหยียบที่หัวของอีกฝ่าย แล้วถามขึ้นด้วยความประชดประชันว่า “จงบอกมาเดี๋ยวนี้ ผู้ใดสั่งให้เจ้ามาทำหน้าที่นี้?”
ให้ตายสิ เขาเกือบจะลื่นล้มเพราะฉี่นั้น น่าอายเหลือเกิน!
“ท่านผู้บังคับบัญชาทหารราบเก้าประตูให้คำสั่งมาว่าให้พวกเรามาจับกุมกบฏ” ทหารผู้นั้นถูกตี๋ตงหมิงเหยียบย่ำใส่จนแทบพูดออกมาไม่เป็นคำ เขาพูดติดๆ ขัดๆ ในที่สุดจึงได้พูดอย่างชัดเจน และพบว่าตี๋ตงหมิงได้ยกขาขึ้น
“บอกเสียตั้งแต่แรกก็ไม่เป็นไรแล้ว ต้องให้เท้าข้าสกปรก” ตี๋ตงหมิงทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์แล้วหยิบผ้าเช็ดมือสีขาวออกมาเช็ดรองเท้า จากนั้นยัดใส่เข้าไปในปากของทหารผู้นั้น “ลากตัวไป จับตาดูให้ดี อย่าเอาให้ตาย”
“อือ……” เจ้าหน้าที่คนนั้นพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง และใช้ขาถีบไปด้านหน้า หากบัดนี้เขาสามารถพูดได้คงจะเอ่ยถามว่า ใต้เท้าอย่างน้อยช่วยบอกหน่อยเถิดว่าท่านเป็นใคร
น่าเสียดายเหลือเกิน ตี๋ตงหมิงจะสนใจกุ้งหอยปูปลาตัวน้อยๆ แบบนี้หรือ? หากท่านทหารราบเก้าประตูเดินทางมาเองก็ยังไม่เท่าไหร่
“จงไปบอกคนที่อยู่ข้างในว่าข้าเดินทางมา และสั่งให้พวกเขาหยุด” ตี๋ตงหมิงทำท่าทางเหมือนนักเลงและเอาแต่ใจ ช่างเย่อหยิ่งผยอง ซึ่งเอาแต่เชิดหน้าและใช้จมูกมองดูคนอื่น
“แค่กๆ……” ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เขาหยิ่งหรอก แต่ว่าเขาไม่รู้จะเผชิญหน้าเฟิ่งชิงเฉินอย่างไรเท่านั้นเอง
ในตอนนั้น สาเหตุการตายของนายพลเฟิ่ง ปู่ของเขารู้ดีแต่กลับปิดบังเอาไว้ นายพลเฟิ่งทำประโยชน์ให้กับประเทศมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นแม่ทัพที่พ่ายแพ้ นี่ไม่ยุติธรรมต่อนายพลเฟิ่ง เพราะเขาไม่ได้รับเกียรติอย่างที่สมควรจะได้รับ
หลังจากที่ตี๋ตงหมิงรู้เรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกว่าทำผิดต่อนาง
เขาไม่ได้โง่พอที่จะพูดว่าให้ปู่ของเขาล้างแค้นแก่นายพลเฟิ่งและฆ่าทุกคนที่ทำร้ายนายพลเฟิ่ง แต่อย่างน้อยเขาควรจะคืนความยุติธรรมให้แก่นายพลเฟิ่ง ให้ทุกคนได้รู้ว่าเขาตายอย่างวีรบุรุษ ไม่ใช่ถูกผู้คนประณามดุด่าอย่างเช่นทุกวันนี้
คนที่ตะโกนออกไปก็คือทหารภายใต้การดูแลของตี๋ตงหมิง เขารู้วิธีการพูด จึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินหยุดลงได้ “แม่นางเฟิ่ง ท่านซื่อจื่อเดินทางมาขอรับ ผู้คนข้างนอกถูกกุมตัวไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกท่านหยุดลงมือได้แล้ว”
ตี๋ตงหมิงเดินทางมางั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินชะงักการกระทำของตนลง จากนั้นก็หันมาร้อยด้ายต่อ แล้วพูดกับคนที่กำลังปาหี่ก้อนหิมะว่า “พอได้แล้ว ผู้ช่วยเรามาถึงแล้ว”
“พลั่ก……”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนอะไรมาก่อน แต่ตอนนี้กลับมีระเบียบวินัยเช่นเดียวกับทหาร เฟิ่งชิงเฉิน ออกคำสั่งออกไปดังนั้น พวกเขาต่อให้ถือหิมะอยู่ในมือก็พากันวางลงอย่างเชื่อฟัง
ณ ที่นี้คำสั่งของเฟิ่งชิงเฉินมีประสิทธิภาพมากกว่าคำสั่งของทหารเสียอีก เฟิ่งชิงเฉินคือผู้ช่วยชีวิตผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านี้และให้ความหวังในการดำรงชีวิตต่อแก่พวกเขา
น้ำตกหิมะที่ไหลลงมา เมื่อไม่มีแรงไปสนับสนุนจึงได้ตกลงมายังพื้น กองสะสมเป็นภูเขาขนาดเล็ก
“ถุย……” ตี๋ตงหมิงอยู่ค่อนข้างใกล้ เขาจึงกินหิมะเข้าไปเต็มปากเต็มคำในขณะที่กำลังโมโหหงุดหงิดอยู่นั้น ความรู้สึกผิดต่อเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ลืมไปอย่างรวดเร็วและวิ่งตรงเข้าไป เขาไม่เห็นหรอกว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่ใด ได้แต่ตะโกนด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “เฟิ่งชิงเฉิน อะไรของเจ้ากัน ข้าเดินทางมาด้วยความยากลำบากเพื่อช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับต้อนรับข้า……”
……
ในประโยคสุดท้ายเขายังไม่ทันได้พูดออกมา เขาก็ต้องหยุดพูดเพราะพบว่าตนถูกผู้คนรายล้อมไปทั่ว
ดวงตานับร้อยๆ คู่ดูเย็นชา ทุกคนต่างจับจ้องมายังตี๋ตงหมิง ตี๋ตงหมิงถูกแววตาเช่นนั้นจับจ้องมองเสียจนขนลุกและรู้สึกตกตะลึงจนต้องถอยหลัง เขากังวลใจ แต่ยังแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วมองไปยังชาวบ้านเหล่านี้
ให้ตายสิแม่เจ้า เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนมายังถ้ำหมาป่า ผู้คนเหล่านี้จับจ้องมองเขาราวกับจะกลืนกินเข้าไปทั้งตัว ตี๋ตงหมิงแทบจะร้องไห้ออกมา เขามองไปทางเฟิ่งชิงเฉินด้วยความคาดหวัง หวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมาช่วยตน……
เสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เห็นแววตาขอความช่วยเหลือของตี๋ตงหมิงเลย แต่ต่อให้นางเห็นนางก็ไม่อยากสนใจ รอจนกระทั่งเฟิ่งชิงเฉินทำการเย็บแผลเรียบร้อยแล้ว จึงลุกขึ้นยืนมองเห็นตี๋ตงหมิง ตี๋ตงหมิงจึงได้พูดขึ้นโดยไม่กล้าเสียงดังมากว่า “เฟิ่งชิงเฉินเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน”
“เป็นดั่งที่เจ้าเห็น คนจากทหารราบเก้าประตูส่งเจ้าหน้าที่ทหารออกมา จัดการโจมตีกับกลุ่มผู้ที่ประสบภัยเหล่านั้น บรรดาชาวบ้านไม่กล้าต่อต้านจึงได้ถอยมารวมกันที่นี่ พวกเขาทำได้เพียงใช้หิมะในการต่อต้านกับทหารเหล่านั้น” เฟิ่งชิงเฉินอธิบายเรื่องนี้อย่างสั้นๆ ง่ายๆ จากคำพูดของนางเห็นได้ชัดว่านางเข้าข้างผู้ประสบภัยพิบัติ
ในความเป็นจริงแล้ว ชาวบ้านก็ไม่ได้ลงมือกระทำการใด ผู้ที่ต่อสู้กับทหารด้านนอกก่อนหน้านั้นล้วนเป็นคนแก่และคนที่หิวโหย เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้มีกำลังวังชามากมาย ต่อให้เข้าไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ก็คงจะถูกตีกลับมาจนไม่เป็นท่า
เมื่อสักครู่ตี๋ตงหมิงเห็นท่าทางของทหารเหล่านั้น เมื่อเปรียบเทียบการกับผู้ประสบภัยแล้ว บรรดาเหล่าทหารไม่อาจเรียกได้ว่าได้รับบาดเจ็บ แต่ชาวบ้านกลับถูกทหารเหล่านั้นทำร้ายทุบตีเสียจนเลือดไหลนองไปทั่ว
“ทำไมคนจากทหารราบเก้าประตูจึงได้ลงไม้ลงมือกับผู้ประสบอุทกภัยเหล่านี้?” ตี๋ตงหมิงมองเข้าไปในโรงพยาบาลเพื่อประชาชน เขาแน่ใจว่าที่นี่ไม่มีกบฏอะไรอย่างนั้น เพราะหากว่ากบฏสามารถพัฒนามาเป็นเช่นนี้ได้ องค์จักรพรรดิก็คงจะไม่นิ่งดูดาย
“เหอะๆ……” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเยาะขึ้น เนื่องจากว่า “พวกเราทำการแจกจ่ายโจ๊กและหมั่นโถว ทั้งยังให้การรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พวกเราได้เตรียมโจ๊กไว้สำหรับผู้ประสบภัย พวกเราต้องการที่จะให้พวกเขาได้กินอิ่ม จึงได้เพิ่มหมั่นโถวเข้าไปด้วย แต่ท้ายที่สุดแล้ว……การที่พวกเรา ทำไปเหล่านั้น คนจากทหารราบเก้าประตูกล่าวว่าพวกเราหน้าซื่อใจคด และตั้งใจจะก่อกบฏ”
ในประโยคสุดท้ายเฟิ่งชิงเฉินกล่าวขึ้นกัดฟันกรอดด้วยความหนักแน่น น้ำเสียงเสียดสี
หากว่าการรวมตัวกันเช่นนี้คือการกบฏล่ะก็ ไม่ต้องมีชีวิตอยู่กันพอดี
“อะไรนะ คนจากทหารราบเก้าประตูไม่มีสมองหรืออย่างไรกัน เพียงเรื่องราวเหล่านี้ก็ตั้งใจจะเข่นฆ่าประชาชน สมองของพวกเขาถูกโยนให้หมูกินแล้วหรือไง?” ตี๋ตงหมิงโมโหมากเขาไม่อยากจะเชื่อเลย
แต่ก็ไม่ผิดที่เขาจะดูลังเลใจเช่นนั้น เพราะว่าเรื่องนี้ดูช่างไร้สาระ คนจากทหารราบเก้าประตูเหตุใดจึงโง่ได้ถึงเพียงนี้ และลงมือทำร้ายร่างกายของประชาชน แต่ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะไม่ได้โกหกเขา ตอนนี้ตี๋ตงหมิงจึงรู้สึกสับสนงุนงงมาก
ท่านปู่พูดไว้ไม่ผิด ดูเหมือนเขาจะโง่เง่าเหลือเกิน ยังไม่ทันได้รู้ถึงเรื่องราวความเป็นมาเป็นไปก็ได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องเหล่านี้โดยไม่อาจถอนตัวได้อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
ตี๋ตงหมิงทำท่าทางไร้เดียงสาแล้วมองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับต้องการจะกล่าวว่า เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้ทำร้ายข้าเลย ข้าทำตามเจ้า
“ท่านซื่อจื่อ ข้าขอให้สัญญาว่าสิ่งที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่นั้นเป็นความจริงทุกประการ คนจากทหารราบเก้าประตูเดินทางมาถึงก็ลงมือทำลายข้าวของ คว่ำหม้ออาหารและเหยียบย่ำหมั่นโถวกระจัดกระจายไปทั่วพื้น ผู้คนเหล่านั้นทำลายข้าวของไม่ให้ผู้ประสบภัยพิบัติมีข้าวกิน”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าโจ๊กและหม่านโถวเหล่านั้นสำหรับพวกเขาแล้วราวกับเป็นสิ่งที่เข้ามาต่อชีวิต แต่ว่าทหารเหล่านั้นกลับไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา ได้แต่เข้าไปทำลายทิ้ง แล้วกดพวกเขาลงกับพื้นบีบบังคับให้พวกเขาเลียโจ๊กที่อยู่บนพื้น”
“ตี๋ตงหมิง ทหารเหล่านั้นเป็นมนุษย์ ประชากรเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์เช่นกัน ต่อให้พวกเจ้ารับหน้าที่ให้มาปฏิบัติภารกิจ ก็ควรที่จะเห็นแก่ความเป็นความตายของคนอื่น ไม่ควรที่จะมาทำลายอาหารประทังชีวิตของพวกเขาเหล่านี้”
“ตี๋ตงหมิงข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้ใครถูกใครผิด หวังเพียงแค่ว่าไม่อยากให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นอีกในอนาคต สวรรค์ดูเหมือนไม่อยากให้พวกเขาได้มีชีวิตรอด แต่องค์จักรพรรดิจะมาบีบบังคับให้พวกเขาต้องตายอีกหรือ พวกเขาก็เป็นหนึ่งในประชาชนแห่งราชวงศ์ตรงหลิง และเป็นคนของจักรพรรดิ เหตุใดองค์จักรพรรดิจึงไม่คุ้มครองปกป้องพวกเขาเล่า”
ในประโยคสุดท้าย ช่างบีบคั้นหัวใจเหลือเกินทุกคนที่อยู่ในที่นั้น มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินที่กล้าพูดออกมา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดประโยคนั้นออกมาแล้ว ผู้คนที่เมื่อสักครู่ได้เอาหิมะเหวี่ยงปลาบรรดาเหล่าทหารก็ได้พากันร้องไห้ร้องห่มออกมา
ตี๋ตงหมิงยืนตกตะลึงอยู่ที่เดิมเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินช่างดึงดูดหัวใจของพวกเขาเหลือเกิน อย่าว่าแต่บรรดาผู้ที่ถูกทำร้ายจากภัยธรรมชาติเลย แม้แต่ตัวเขาเองฟังดูก็รู้สึกปวดใจ
ในขณะนี้ ทหารคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายตี๋ตงหมิงเดินตรงเข้ามา แล้วกระซิบที่ข้างหูของตี๋ตงหมิงสองสามประโยค สีหน้าของตี๋ตงหมิงดูเปลี่ยนไปแววตามีความดุเดือดขึ้น เมื่อทหารคนนั้นถอยออกไปตี๋ตงหมิง ก็ได้หันไปโค้งคารวะผู้ประสบภัยทั้งหลายอย่างจากใจจริง “ทุกท่าน ขออภัยที่ข้ามาช้า”
“ฮือๆ……”
ประโยคนี้เสมือนกับกุญแจ เดิมทีพวกเขาพากันร้องไห้ร้องห่มออกมาแล้วก่อนหน้า เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวขึ้น พวกเขาก็ร้องไห้ออกมาหนักขึ้นกว่าเดิม
“เหตุใดท่านจึงไม่เดินทางมาให้เร็วกว่านี้ หากท่านเดินทางมาเร็วกว่านี้พวกเราก็จะมีโจ๊กและหมั่นโถวกิน พวกเราก็คงจะไม่อดตาย!”
“ฮือๆ……เหตุใดท่านจึงไม่มาให้เร็วกว่านี้”
เพียงแค่มาเร็วกว่านี้อีกสักเล็กน้อย พวกเขาก็คงจะไม่ต้องถูกทำร้ายร่างกายด้วยและไม่ต้องหิวโซ!