หลังจากที่องค์จักรพรรดิเสด็จไปแล้ว เสด็จอาเก้าก็ได้สั่งให้คนในวังออกไป ทั้งนางในและขันทีรับใช้เหล่านี้ล้วนเป็นผู้เฉลียวฉลาด พวกเขาเข้าใจดีว่าวันพรุ่งนี้เสด็จอาเก้าจะเดินทางกลับแล้ว และรู้ว่าองค์จักรพรรดิยอมถอยให้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่เฝ้าอีกต่อไป
เหล่านางในและขันทีต่างพากันแยกย้ายทำให้ตำหนักอันเงียบสงบนี้เหลือเพียงเสด็จอาเก้าคนเดียว ไม่มีใครมองเห็นรอยยิ้มอันประชดประชัน ดูถูกเหยียดเยาะเย้ยของเสด็จอาเก้า
เสด็จพี่ หวังว่าวันพรุ่งนี้จะยังหัวเราะออกได้! ข้าไม่ใช่คนที่จะถูกใครเอาเปรียบง่ายๆ
พระราชโองการ!
ในค่ำคืนนั้น องค์จักรพรรดิก็ได้ประกาศพระราชโองการลงไป ให้ซุ่นเทียนฝู่ปล่อยตัวข้ารับใช้ของเสด็จอาเก้าออกไปทั้งหมด ให้พวกเขากลับไปยังจวนอ๋องเก้าเพื่อที่จะเก็บเตรียมสิ่งของในจวนให้เรียบร้อย รอคอยต้อนรับเจ้านายของตนในวันรุ่งขึ้น
ตอนที่คนจากจวนอ๋องเก้าได้ยินข่าวนี้ก็ไม่ได้ดีอกดีใจเสียตะโกนร้องออกมา เนื่องจากพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี จะไม่แสดงท่าทีใดๆ ออกมาอย่างชัดเจนนัก
ในฐานะคนสนิทของเสด็จอาเก้า พวกเขาล้วนเข้าใจดี ตราบใดที่เสด็จอาเก้ายังไม่ล้มลง พวกเขาก็จะไม่เกิดเรื่องได้อย่างแน่นอน และด้วยความสามารถของเจ้านายพวกเขา การเดินทางออกจากคุกนั้นเป็นเรื่องไม่ช้าก็เร็ว
หลังจากที่พ่อบ้านแห่งจวนอ๋องเก้าทำการนับจำนวนคนในจวนเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นำพวกเขาทุกคนที่เป็นบ่าวรับใช้ในจวนอ๋องก้าว เดินมุ่งหน้ากลับไปทางจวน แม้ว่าจะถูกกักตัวไว้เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่บ่าวรับใช้ในจวนอ๋องก้าวแต่ละคนก็ดูสดชื่น ไม่มีความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย
ฝู่หลินยืนอยู่บริเวณหัวมุมถนน สายตามองไปยังบ่าวรับใช้ของจวนอ๋องเก้าเหล่านั้น แววตาอันประหลาดใจประกายออกมา จากนั้นหันหลังกลับเดินทางไปยังทิศทางตรงข้ามกับจวนอ๋องเก้า
ไว้เจอกันใหม่!
เรื่องราวที่บ่าวรับใช้ในจวนของเก้าถูกปล่อยออกมาจากเรือนจำนั้น เผยแพร่ออกไปในระยะเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงยาม ผู้คนในเมืองหลวงที่ควรรู้ล้วนรู้กันสิ้น ชุนฮุ่ย ชิวฮั่ว เซี่ยหว่าน และตงชิงพากันเข้าไปโอบล้อมอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเฉินแล้วกล่าวว่า “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋อง ท่านอ๋องออกมาแล้ว!”
“คุณหนูเจ้าคะ ช่างดีเหลือเกิน ช่างดีเหลือเกิน ท่านอ๋องออกมาแล้ว คุณหนูจะได้ไม่ต้องลำบากเช่นนี้อีก!”
บ่าวรับใช้ทั้งสี่คนทำท่าทางดีใจอย่างเหลือล้นแล้วกระโดดโลดเต้นไปรอบด้าน เฟิ่งชิงเฉินเองก็ดีใจเช่นกัน และไม่ได้ตำหนิที่พวกนางดีใจจนเกินเหตุ
ทงจือและทงเหยาที่ยืนอยู่ด้านนอก พากันมองหน้าได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
การที่เสด็จอาเก้าสามารถออกมาจากคุกได้นั้น แน่นอนว่าพวกนางก็ดีใจ แต่ไม่ได้แสดงท่าทีออกหน้าออกตาดังเช่นทั้งสี่คน ทั้งยังดูเหมือนจะ เป็นห่วงคุณชายใหญ่เล็กน้อย
ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็เป็นอิสระสักที เฟิ่งชิงเฉินเองก็มีความสุขมาก เพียงแต่ว่า …… จวบจนกระทั่งบัดนี้นางเองก็ยังไม่เข้าใจว่าเสด็จอาเก้าใช้วิธีใดกันแน่เกี่ยวกับภัยพิบัติในครั้งนี้ เหตุใดยังไม่ทันได้เผยแพร่ออกไปว่าใครเป็นคนทำ องค์จักรพรรดิก็ได้ปล่อยตัวเขาแล้ว
การเมืองการปกครองเป็นสิ่งที่ซับซ้อนจริงๆ นางไม่เข้าใจเลย
จนกระทั่งหลายวันต่อมาเฟิ่งชิงเฉินจึงได้รู้ว่าที่แท้องค์จักรพรรดิและเสด็จอาเก้าร่วมมือกัน หรือกล่าวได้ว่าฝ่ายองค์จักรพรรดิคิดไปเองเพียงฝ่ายเดียว ว่าสองพี่น้องหันหน้าเข้าหากันร่วมมือกำจัดตระกูลชุย และปกป้องราชวงศ์ตงหลิง
แน่นอนว่าหนทางนั้นยังอีกยาวไกล สิ่งที่เสด็จอาเก้าลงทุนทำไปนั้นก็คือโรงทานของบุคคลลึกลับ นับตั้งแต่วันที่เสด็จอาเก้าออกมาจากพระราชวัง พวกเขาก็หายไป อีกทั้งทางการก็ขาดแคลนอาหาร ด้วยเหตุนี้เอง……
บรรดาผู้ประสบภัยพิบัติไม่มีอาหารกินมาเป็นเวลาสองวันแล้ว แม้บัดนี้จะยังไม่มีใครอดตาย แต่ก็เกิดการโกลาหลไม่น้อย น่าเสียดายที่องค์จักรพรรดิได้รู้ข่าวนี้หลังจากนั้นสองวัน และได้เรียกเสด็จอาเก้าเข้าไปในพระราชวังเพื่อเอ่ยถาม เสด็จอาเก้ากลับไม่รู้สึกสึกกังวลใจแม้แต่น้อย แล้วตอบว่า “เสด็จพี่ ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว โปรดสงบลงเถิด ประเดี๋ยวเดินทางออกจากวังแล้วข้าจะส่งคนไปเผยแพร่ข่าว ให้พวกเขาหยุดจำหน่ายแจกจ่ายอาหาร แล้วนำอาหารทั้งหมดมามอบให้กับราชสำนัก แต่ระหว่างนั้นก็อาจต้องใช้เวลาเล็กน้อย จากที่ข้ารู้มา ทางราชสำนักได้เริ่มแจกจ่ายโจ๊กแล้ว”
วิธีการอธิบายเช่นนี้ก็ไม่ผิด เพียงแต่ว่า…… ใครเล่าที่บอกเขาได้ว่าข่าวการหยุดแจกจ่ายอาหารทำไมได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเช่นนั้น แต่เรื่องของการโยกย้ายอาหารของราชสำนักกลับช้าไปถึงสองวัน ทำให้เกิดเหตุจลาจลในหมู่ผู้ประสบภัย
แม้ว่าจะไม่ได้เกิดการจลาจลจริงๆ ก็ตามแต่ ทว่าการกระทำนี้กลับสื่อให้ทุกคนในโลกรู้ว่าเขาผู้เป็นจักรพรรดิก็มีความผิด ทำให้ทุกคนสงสัยในแหล่งที่มาของอาหารบรรเทาภัย
ชายลึกลับผู้นั้นและราชสำนักหยุดทำการแจกจ่ายอาหารในวันเดียวกัน หลังจากนั้น พื้นที่แจกจ่ายอาหารของชายนิรนามก็หายไป และมีการแจกจ่ายอาหารจากราชสำนักเข้ามาแทนที่ นั่นหมายความว่าอย่างไร
ผู้ใดก็ตามที่พอจะมีความคิดอยู่บ้างเล็กน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าองค์จักรพรรดิได้แย่งอาหารของชายนิรนามผู้นั้นไป จากนั้นทางราชสำนักก็เข้ามา แทนที่ในการช่วยเหลือภัยพิบัติ
แน่นอนว่าความคิดเช่นนี้เผยแพร่อยู่ในเฉพาะสังคมชั้นสูง เพราะชาวบ้านธรรมดาทั่วไปไม่อาจคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ แต่สิ่งที่องค์จักรพรรดิให้ความสนใจมากที่สุดนั่นก็คือความคิดเห็นของคนชั้นสูงเหล่านี้
เสด็จอาเก้าราวกับกำลังตบหน้าเขาอย่างรุนแรง ทำให้เขาขายหน้าเป็นยิ่งนัก องค์จักรพรรดิจะไม่โกรธได้อย่างไรเล่า และจะยอมรับคำอธิบายง่ายๆ เช่นนี้ของเสด็จอาเก้าหรือ
เสด็จอาเก้าก็หาได้กลัวองค์จักรพรรดิ แม้จะเผชิญหน้ากับความโมโหขององค์จักรพรรดิอยู่ แต่เขาก็ได้เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “เสด็จพี่ อาหารไม่ได้อยู่ในมือข้า ข้าเองก็ไร้สิ้นปัญญา”
ประโยคนี้ของเสด็จอาเก้าไม่มีความหมายอื่นใด อาหารเหล่านั้นเป็นของเขาแต่ไม่ได้อยู่ในมือเขา เพียงแต่องค์จักรพรรดิได้ยินเป็นอีกความหมายหนึ่ง อันลึกซึ้งนั่นก็คือ
ตระกูลชุยไม่ให้ความร่วมมือ และเขาจะทำเช่นไร?
ตุ๊บ …… ในครั้งนี้องค์จักรพรรดิรู้สึกโมโหมากจริงๆ เขาใช้แรงตบลงไปบนโต๊ะ “ตระกูลชุย ไอ้พวกตระกูลชุย คิดว่าข้าไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้อย่างนั้นหรือ พวกเจ้ากำลังท้าทายขีดจำกัดของข้าอยู่ น้องเก้าหลังจากฤดูใบไม้ผลิแล้วเจ้าจงเดินทางไว้ที่ซานตง ข้าต้องการให้ตระกูลหลูแห่งซานตงหายไปจากจิ่วโจวแห่งนี้!”
เนื่องจากตอนนี้องค์จักรพรรดิไม่สามารถแตะต้องตระกูลชุยได้ จึงนึกถึงได้เพียงตระกูลหลูแห่งซานตง เขาต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ให้พวกที่ เย่อหยิ่งเหล่านั้นมองให้ชัดเจน ว่าการที่เขาไม่ได้ออกมากล่าวสิ่งใดไม่ได้แปลว่าเขาไม่กล้าแตะต้อง
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่” เสด็จอาเก้าคิดไม่ถึงว่าการที่ตบหน้าองค์จักรพรรดิเช่นนี้และสามารถใส่ร้ายป้ายสีตระกูลชุยอีกทั้งยังมีผลพลอยได้ ดังนั้นจึงได้รับพระราชโองการไปอย่างไม่เกรงใจ
ส่วนตระกูลชุยนั้น……ขอโทษที่คงจะต้องยอมรับผิดต่อไปเช่นนี้
ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นเรื่องที่เสด็จพี่คาดเดาเอาเอง ข้าก็เพียงแค่ไม่ได้อธิบายเท่านั้น
เสด็จอาเก้าตบแขนเสื้อเบาๆ แล้วเดินทางออกจากพระราชวังไปอย่างเฉลียวฉลาด
หลังจากจัดระเบียบหรือสองวัน เขาก็ได้จัดการกับเร่งเรื่องเร่งด่วนในมือจนเรียบร้อย ส่วนตัวเขาเองนั้นก็ฟื้นฝู่สภาพร่างกายไม่มากไม่น้อย เขาสามารถเดินทางไปจวนเฟิ่งได้แล้ว
เสด็จอาเก้าเสด็จออกมาจากวัง จากนั้นสั่งให้องครักษ์เปลี่ยนทิศทางไปยังจวนเฟิ่ง……
เสด็จอาเก้าเพิ่งจะก้าวขาออกไปจากพระราชวัง ก็มีใครคนใดคนหนึ่งที่เขาคิดไม่ถึงเดินทางเข้าวังมา
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” ชายคนหนึ่งในชุดสีเขียว ผมสีดำ มีผ้าโพกศีรษะยืนอยู่ตรงนั้น แม้เขาจะเห็นองค์จักรพรรดิแต่ไม่ได้คุกเข่าลง กลับยืนอยู่นิ่งๆ แสดงถึงท่าทางอันเย่อหยิ่ง
แต่องค์จักรพรรดิกลับไม่รู้สึกโมโห เขาพิจารณามองดูคนผู้นี้แล้วเอ่ยขึ้นท้ายที่สุดว่า “เจ้าคือคนจากจวนฝู่อย่างนั้นหรือ ฝู่หลิง?”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นคนจากตระกูลฝู่” ฝู่หลินตอบอย่างไม่ได้รู้สึกถ่อมตัวได้ ความหยิ่งผยองเผยแพร่ออกไปทั่ว ไม่รู้ว่าเขาทำมันได้อย่างไร ช่างดูเก่งกาจเหลือเกิน
“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่ จะให้ข้าเชื่อได้ว่าอย่างไรเรื่องที่จำเป็นทายาทของตระกูลฝู่จริงๆ?” ที่ไปที่มาของฝู่หลินนั้นองค์จักรพรรดิให้ไปสืบมาเรียบร้อยแล้ว และเป็นไปดังที่ฝู่หลินกล่าว เขามาจากเกาะที่ไม่มีชื่อแห่งหนึ่ง หากไม่ไปสืบมาก่อนล่วงหน้าองค์จักรพรรดิก็คงจะไม่เข้าพบคนเช่นนี้
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมก็คือสิ่งที่ยืนยันและเป็นเครื่องพิสูจน์ ทายาทของตระกูลฝู่ทุกคนในใต้หล้านี้ไม่มีใครที่กล้าใช้แซ่ฝู่” ตระกูลฝู่หายไปจากจิ่วโจวเนิ่นนานเพียงนี้ ดังนั้นคนที่แซ่ฝู่จึงน้อยมาก คำพูดของฝู่หลินประโยคนี้จึงไม่ผิด
ต่อให้ต้องการหลอกก็คงไม่มี คนโกหกคนไหนจะใช้นามสกุลฝู่และอ้างว่าตนเป็นทายาทเอามาหลอกองค์จักรพรรดิ อยากเป็นทายาทของ ตระกูลฝู่อย่างงั้นหรือ เจ้าต้องมีคุณสมบัติเพียงพอด้วย
“จากประโยคของเจ้าหนี้ ข้าไม่มีทางใดที่จะไม่เชื่อเจ้า” องค์จักรพรรดิหวังว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้จะเป็นทายาทตระกูลฝู่จริงๆ หลังจากที่เขาค่อยๆ นั่งลง ก็มีผู้เข้ามาพยุงไว้ทั้งสองข้าง
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไม่เอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นอย่างแน่นอน กระหม่อมสามารถรับประกันได้ วันพรุ่งนี้ประมาณเก้าโมงสี่สิบห้านาที หิมะจะหยุดตกอย่างแน่นอน” ฝู่หลินไม่ได้รู้สึกโกรธเพราะองค์จักรพรรดิสงสัยเขา แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมแล้วย้ำคำพูดของตนเองอย่างเคร่งขรึม
ใช่แล้ว การที่ฝู่หลินสามารถเข้ามาในพระราชวังได้นั่นก็เพราะว่าเขามีความสัมพันธ์อยู่ที่นี่ จากนั้นก็เผยแพร่ข่าวสารออกไปว่าเขารู้ดีถึงเรื่องหิมะจะหยุดตกเมื่อไร
หิมะครั้งนี้ตกติดต่อกันมาเป็นเวลาสิบห้าวันแล้ว ทุกคนได้แต่อธิษฐานภาวนาขอให้มันหยุดตก แต่หิมะก็ยังคงตกต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะหยุด บัดนี้เมื่อฝู่หลินปรากฏกายขึ้น อีกทั้งยังบอกกับองค์จักรพรรดิอย่างมั่นอกมั่นใจว่าภายในพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงสี่สิบห้านาทีโดยประมาณหิมะจะหยุดตก เรื่องนี้จะไม่ทำให้องค์จักรพรรดิต้องรู้สึกประหลาดใจหรือ?
หากว่าสิ่งที่ฝู่หลินพูดนั้นเป็นความจริง เช่นนั้น……
ประกายแวววาวในดวงตาขององค์จักรพรรดิส่องสว่าง
นี่คือโอกาสดียิ่งนักเป็นโอกาสที่จะเอาชนะใจของชาวบ้านกลับคืนมา ต่อให้คำทำนายของฝู่หลินจะผิดพลาดไปแต่เขาก็ไม่ได้สูญเสียอะไรเลยเขากลัวแต่ว่าจะเสียเวลาเปล่า
“ฝู่หลิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าประโยคนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร” องค์จักรพรรดิดึงสติและสายตากลับคืนมาก่อนจะมองไปทางลูกหลานของตระกูลฝู่ที่อยู่ตรงหน้านี้
“กระหม่อมรู้ดีพ่ะย่ะค่ะ ในวันพรุ่งนี้เวลาประมาณเก้าโมงสี่สิบห้านาทีหากว่าหิมะยังไม่หยุดตกล่ะก็ กระหม่อมยินดีที่จะถูกลงโทษตัดศีรษะประจาน” ฝู่หลินเอ่ยให้คำสัญญาขึ้นอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัว เขาไม่ได้บอกกับองค์จักรพรรดิว่าคำพยากรณ์ของเขานั้นถูกต้อง นี่คือศักดิ์ศรีของฝู่หลิน
“อืม วันพรุ่งนี้ข้าจะคอยดูว่าตอนเก้าโมงสี่สิบห้านาทีฝนจะหยุดตกหรือไม่ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะเอาชีวิตเจ้ามาเดิมพัน” องค์จักรพรรดิไม่ได้เชื่อฝู่หลินไปทุกประการ แต่เขาก็ยินดีที่จะให้โอกาสนี้กับฝู่หลิน
หากว่าเขาผู้นี้คือทายาทของตระกูลฝู่จริงๆ ล่ะก็คงจะเป็นประโยชน์และไม่มีอันตรายแม้แต่น้อย หากว่ามีทายาทของตระกูลลึกลับคอยสนับสนุนแล้วจะไปเกรงกลัวสิ่งใดเล่า
“ทหาร พาคุณชายไปพักผ่อน” องค์จักรพรรดิโบกมือและสั่งคนรับใช้ให้พาฝู่หลินไปพักผ่อน
หลังจากที่ฝู่หลินเดินทางไปแล้ว องค์จักรพรรดิก็ได้เอ่ยถามผู้ทำนายดาราศาสตร์ว่าหิมะจะหยุดตกเมื่อไร ผู้ทำนายให้คำตอบที่ทำให้องค์จักรพรรดิไม่อาจรู้สึกดีใจขึ้นได้ เขากล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หิมะจะหยุดในเร็ววันนี้”
ในเร็ววัน?
เร็ววันอีกแล้วหรือ? นับตั้งแต่หิมะตกวันที่สาม องค์จักรพรรดิก็ได้เอ่ยถามผู้พยากรณ์ว่าหิมะจะหยุดตกเมื่อไร แต่คำตอบที่ได้ นั่นก็คือในเร็ววัน
ในเร็ววันนี้หรือ???
ข้าหลอกง่ายหรืออย่างไร!
องค์จักรพรรดิโมโหใส่อยากจะฆ่าเขา หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าผู้ทำนายมีอายุมากแล้ว อีกทั้งได้กล่าวตอนที่เขาขึ้นครองราชย์ว่าทุกสิ่งอย่างจะดีขึ้น ฟ้ากำหนดให้เขามามอบความเป็นธรรมแก่โลก คาดว่าเขาคงจะฆ่าตาเฒ่านี้ตายไปนานแล้ว
องค์จักรพรรดิได้จัดการขับไล่ผู้พยากรณ์ออกไป จากนั้นตนก็เดินไปมาอยู่ในห้องโถงเพียงลำพัง
คำพูดของฝู่หลิน เขาจะเชื่อดีหรือไม่?
คนที่บอกว่าตนเป็นทายาทของจวนฝู่ เขาเป็นทายาทจวนฝู่จิ่งงั้นหรือ?
องค์จักรพรรดิรู้สึกกังวลใจเป็นหญิง เพราะหากว่าเขาตัดสินใจไปแล้วนั้น อาจจะนำมาทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี สุดท้ายที่สุด……
เขาพบว่าเรื่องดีมีมากกว่า องค์จักรพรรดิจึงได้ตัดสินใจปล่อยมือ
“ทหาร จงสั่งให้หอดาราศาสตร์จัดเตรียมพิธีสังเวยท้องฟ้าภาวนาให้หิมะหยุดตก”
องค์จักรพรรดิตัดสินใจที่จะปล่อยวาง หากเขาไม่ปล่อยวางละก็ ความสำคัญของเขาในใจของประชาชนทั่วไปคงจะต่ำลงเรื่อยๆ เขาจะต้องทำอะไรบางอย่างเป็นการช่วยเหลือ
หิมะตกมาเนิ่นนานหลายวัน ซึ่งบัดนี้ควรจะหยุดตกได้แล้ว
เสด็จอาเก้าพร้อมกับขบวนเดินทางไปยังจวนเฟิ่ง โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งวัน เหตุการณ์ต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสะท้านโลก การที่องค์จักรพรรดิกระทำเช่นนี้ทำให้พวกเขา ไม่ทันได้ตั้งตัว ……