ในค่ำคืนอันวุ่นวาย เฟิ่งชิงเฉินทำทุกอย่างที่ตนเองสามารถทำได้ แต่ยังไม่มีร่องรอยว่าหลานจิ่วชิงจะฟื้นขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินตรวจชีพจรและวัดอุณหภูมิให้หลานจิ่วชิงทุกสามสิบนาที
ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่กลับไม่มีร่องรอยของการฟื้นตัว นี่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินเกิดความสงสัยในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะว่าเทคโนโลยีขั้นสูงนี้มันเชื่อถือได้หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม แม้เทคโนโลยีขั้นสูงไม่สามารถเชื่อถือได้ แต่ประสบการณ์ของนางเชื่อถือได้อย่างแน่นอน ผลตรวจของนางเหมือนกับผลตรวจจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะ นั่นก็คือหลานจิ่วชิงไม่ได้เป็นอะไร ค่าดัชนีต่างๆในร่างกายของเขาเหมือนกับคนปกติ
แน่นอน ยกเว้นความผิดปกติทางระบบประสาท
เวลาผ่านไป ซูเหวินชิงเริ่มกลับมาสงสัยในความเชื่อเดิม ตอนนี้เขาไม่สบายใจ เห็นว่าฟ้าใกล้จะสาง หลานจิ่วชิงยังคงไม่วี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมา ซูเหวินชิงแทบจะเป็นบ้า ภาพลักษณ์ของสุภาพบุรุษผู้สง่างามแทบไม่หลงเหลืออยู่เลย
รู้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร?
วันนี้เป็นวันที่จักรพรรดิทำพิธีบูชาฟ้า ต่อให้พวกเขาไม่ได้คิดจะทำลายพิธี แต่หลานจิ่วชิงควรจะฟื้นขึ้นมา ไม่อย่างนั้น……ทุกอย่างจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
“ชิงเฉิน เมื่อไหร่จิ่วชิงจะฟื้นขึ้นมา?” ซูเหวินชิงหมดหนทางจึงเอ่ยปากถามเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้ว่าชิงเฉินทำสุดความสามารถแล้ว เขาไม่เองก็ไม่คิดจะสร้างแรงกดดันให้เฟิ่งชิงเฉิน แต่แรงกดดันที่เขามีอยู่มันมากเกินไป
เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจิ่วชิงจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ร่างกายของเขาไม่ได้มีปัญหาอะไร ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มรักษาจากตรงไหน ตอนนี้สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้คือการรอคอย” รอความผิดปกติในระบบประสาทของหลานจิ่วชิงหายไป เขาก็น่าจะฟื้นขึ้นมา
ส่วนเรื่องความผิดปกติในระบบประสาทของหลานจิ่วชิงนั้นจะหายไปเมื่อไหร่ นางเองก็ไม่แน่ใจ นางเป็นศัลยแพทย์หัวใจและสมอง ศัลยแพทย์ทั่วไป แต่แม้จะเป็นศัลยแพทย์รักษาโรคทั่วไปก็ไม่มีทางเชี่ยวชาญในทุกเรื่อง และในเรื่องของระบบประสาทยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พลังของมนุษย์นั้นมีจำกัด แม้จะบอกว่านางเป็นหมออัจฉริยะ แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจถึงขั้นเล่าเรียนสิ่งใดก็สามารถปฏิบัติได้ทั้งหมด เกี่ยวกับระบบประสาทนางไม่ได้รู้อะไรมาก หากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะสามารถวินิจฉัยผลการตรวจได้อย่างแม่นยำ นางอาจจะพอมีวิธีการรักษา แต่กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะกลับวินิจฉัยออกมาแค่ว่า ระบบประสาทผิดปกติ นี่ทำให้นางไม่รู้ว่าควรจะทำการรักษาอย่างไรต่อไป
ซูเหวินชิงร้อนรน นางเองก็ร้อนรนเช่นกัน ถ้าหากความผิดปกติในระบบประสาทของหลานจิ่วชิงไม่หายไปเกรงว่าเขาคงจะต้องอยู่แบบนี้ไปชั่วชีวิต ไม่มีทางฟื้นขึ้นมาแน่นอน กลายเป็นเจ้าชายนิทรา แต่ความเป็นไปได้เช่นนั้นมีเพียงเล็กน้อย เนื่องจากระบบประสาทของหลานจิ่วชิงแค่ผิดปกติ ไม่ได้เกิดความเสียหายรุนแรง
หมอไม่ใช่ผู้มีความสามารถในทุกด้าน นางเล่าเรียนแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่ได้ลงลึกถึงรากฐานในแต่ละสาขา รักษาและบรรเทาได้ตามอาการ เมื่อรู้ถึงสาเหตุของโรคนางถึงจะจ่ายยาได้ ตอนนี้แม้แต่สาเหตุของโรคยังไม่รู้ แบบนั้นนางจะไปทำการรักษาได้อย่างไร
แต่ถ้าหากรู้สาเหตุของโรค รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร แบบนั้นก็อาจจะหาแนวทางการรักษาได้
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย จับซูเหวินชิงซึ่งดูเหมือนจะทุกข์ทรมานจากความบ้าคลั่งและถามว่า “ใครเป็นคนทำร้ายจิ่วชิง ตามหาคนผู้นั้นได้หรือไม่? ถ้าหากได้รู้จากปากของอีกฝ่ายว่าสิ่งที่ทำให้จิ่วชิงต้องเป็นแบบนี้คืออะไร ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีทางรักษา”
เรื่องนี้……ซูเหวินชิงส่ายหน้าด้วยความลำบากใจ “จากรายงานของสายลับ ตอนที่พวกเขาพบร่างของจิ่วชิง จิ่วชิงอยู่กับซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝาน แต่พวกเขาไม่ได้ต่อสู้กัน ดังนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายจิ่วชิง” อีกอย่าง ต่อให้ออกตามหาคนผู้นั้นในตอนนี้ก็คงไม่ทัน ก่อนฟ้าสาง จิ่วชิงจำเป็นจะต้องฟื้นขึ้นมา
“หากเป็นแบบนี้ก็คงหมดหนทาง ทำได้เพียงรอให้จิ่วชิงฟื้นขึ้นมาถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายใช้อะไรในการโจมตีเขา” เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับไป ไม่ได้พูดอะไรมาก นางยืนตะลึงอยู่ที่เดิม
แค่นี้งั้นหรือ? พูดมากกว่านี้อีกสักสองสามคำได้ไหม?
เสียงตะโกนดังขึ้นมาในหัวใจของซูเหวินชิง เขาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเข้าใจความรู้สึกของเขา หลังจากนั้นก็รีบหาหนทางทำให้หลานจิ่วชิงฟื้นขึ้นมา แต่สุดท้ายเฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงเฝ้าดูอาการของหลานจิ่วชิงต่อไป ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เขาหวังว่าหลานจิ่วชิงจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา หลังจากนั้นก็รีบฟื้นขึ้นมา สุดท้ายหลานจิ่วชิงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขาอยู่ในสภาพร้อนรน และในตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่านอกจากร้อนรนแล้วเขายังสามารถทำอะไรได้อีก
เวลาค่อยๆเดินผ่านไป ซูเหวินชิงก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้นเรื่อยๆ บนพื้นเต็มไปด้วยเส้นผม นั่นไม่ใช่เส้นผมที่ร่วงหล่นลงไปเอง ทั้งหมดซูเหวินชิงเป็นคนทำ ถ้าหากหลานจิ่วชิงยังไม่ฟื้นขึ้นมาเกรงว่าซูเหวินชิงจะกลายเป็นคนบ้าแถมยังหัวล้าน……
หลานจิ่วชิงจะปล่อยให้พ่อค้าซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและสง่างามอย่างซูเหวินชิงกลายเป็นคนหัวล้านได้อย่างไร ดังนั้นเขาจะต้องพยายามเคลื่อนไหวและบอกว่าตนเองมีสติ
ใช่ มีสติ……
หลังจากเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาในห้องได้ไม่นาน เขาก็ได้ “สติ” ขึ้นมาแล้ว รู้ว่าตนเองไม่ได้ถูกพิษ เลือดสีดำเป็นเพียงแค่กลอุบาย เขารู้ว่าร่างกายของตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอะไร แต่ทำไมถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมา
แค่ลองไตร่ตรองดูก็รับรู้ได้ หากเขาถูกพิษจริง พิษที่สามารถทำให้เลือดของเขากลายเป็นสีดำได้ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางออกมาจากพระราชวังได้ ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ต่อหน้าซีหลิงเทียนเหล่ยและหนานหลิงจิ่นฝานได้ บาดแผลนั่นจะต้องมีผลทำให้จิตใจร้อนรุ่มเพราะความกังวลใจ
ต้องบอกเลยว่าฝู่หลินเล่นกับจิตใจคนได้ดี สิ่งซึ่งเรียกว่า “อาวุธลับอาบยาพิษ” ทำให้คนคิดไปเองแล้วว่าอาวุธนั้นมียาพิษอยู่ ฝังเข็มเพื่อสกัดจุด กินยาถอนพิษ โชคดี โชคดีที่ในตอนนั้นเป็นช่วงเวลาเร่งรีบ ประกอบกับร่างกายพิเศษของเขา เขาไม่ได้กินยาถอนพิษ ไม่อย่างนั้นตอนนี้……
เกรงว่าตอนนี้ก็คงยังไม่ได้สติกลับคืนมา
รับรู้ถึงความร้อนรนของซูเหวินชิง หลานจิ่วชิงเองก็ไม่อยากให้เขากังวลต่อไป ขยับนิ้วเพื่อทำให้ซูเหวินชิงรับรู้ว่าเขามีสติ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินหาหนทางทำให้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการนี้
ใช่ พันธนาการ เขาได้สติกลับคืนมา แต่ร่างกายของเขากลับแข็งทื่อไปทั้งตัว ความรู้สึกนี้ทำให้เขาเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
นิ้วมือสั่นไหวเล็กน้อย นี่คือขีดจำกัดของเขาแล้ว หลานจิ่วชิงทำได้เพียงหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินและซูเหวินชิงจะสังเกตเห็นมัน
ไม่ทำให้หลานจิ่วชิงผิดหวัง แม้เฟิ่งชิงเฉินจะอยู่ในอาการงงงวย แต่ซูเหวินชิงจับจ้องหลานจิ่วชิงอยู่ตลอดเวลา ไม่ปล่อยให้รายละเอียดใดๆคลาดสายตาไปแม้แต่น้อย ในตอนที่นิ้วของหลานจิ่วชิงขยับ ซูเหวินชิงคิดว่าตนเองตากวาดไป เขายืนนำมือขยี้ตา จากนั้นก็พบว่านิ้วมือของหลานจิ่วชิงขยับอีกครั้ง ซูเหวินชิงตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว จิ่วชิงฟื้นแล้ว”
ราวกับถูกรางวัลใหญ่ ดวงตาของซูเหวินชิงเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายแสงแห่งความปีติยินดี หันกลับมาหาเฟิ่งชิงเฉินอย่างรวดเร็ว ชี้ไปยังนิ้วมือซึ่งขยับอยู่ของหลานจิ่วชิง กล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ชิงเฉิน เจ้าดูนั่นเร็ว จิ่วชิงขยับแล้ว นิ้วมือของจิ่วชิงกำลังขยับอยู่ เขากำลังจะฟื้นขึ้นมาใช่หรือไม่?”
“ข้าขอตรวจสอบดูก่อน” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกับซูเหวินชิง นางเดินเข้าไปตรวจสอบอย่างใจเย็น ผลก็คือ……นิ้วของจิ่วชิงหยุดการเคลื่อนไหวแล้ว ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินสงสัยว่าซูเหวินชิงคิดไปเอง นิ้วของหลานจิ่วชิงก็ขยับขึ้นมาอีกครั้ง
ฟื้นแล้วจริงหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินรีบไปหยิบหูฟังการแพทย์ แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นไปตามปกติ ร่างกายของเขานั้นตรวจสอบไม่พบความผิดปกติ แบบนั้นความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือปัญหาเกี่ยวกับสมอง?
เฟิ่งชิงเฉินจับจ้องไปบนศีรษะของหลานจิ่วชิง พิจารณาว่าจำเป็นต้องนำเครื่องวิเคราะห์คลื่นสมองออกมาหรือไม่ นางสงสัยว่าหลานจิ่วชิง “ฟื้น” ขึ้นมาแล้ว แน่นอนหลานจิ่วชิงสติอยู่กับตัวสมองน่าจะรับรู้ถึงสิ่งซึ่งเกิดขึ้นรอบตัวจากโลกภายนอกทั้งหมด แต่ไม่สามารถตอบสนองออกมาได้
เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่
“เป็นอย่างไรบ้าง? เป็นอย่างไรบ้าง?” ซูเหวินชิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่พูดอะไรออกมาจึงถามด้วยความร้อนรน
“ทุกอย่างปกติดี” ยังคงเป็นคำตอบเดิม นี่เป็นเพียงคำตอบเดียวที่เฟิ่งชิงเฉินตอบกลับมา
“ทุกอย่างปกติ? ทุกอย่างปกติแล้วทำไมจิ่วชิงถึงยังไม่ฟื้นขึ้นมา?” ครั้งนี้ซูเหวินชิงไม่สามารถยอมรับคำตอบของเฟิ่งชิงเฉินได้ นี่มันจะไร้สาระเกินไปแล้ว
หมอปลอม หมอปลอม ถ้าหากผู้ที่อยู่ด้านหน้าไม่ได้แซ่เฟิ่งและชื่อชิงเฉิน เขาจะต้องเรียกคนมาลากตัวนางออกไปอย่างแน่นอน
เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองหลานจิ่วชิงที่กำลังพยายามพิสูจน์ตนเองอย่างเต็มที่ว่าตนเองกำลังตื่นอยู่ คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าวออกมาว่า “จิ่วชิงได้สติกลับคืนมาแล้ว เขารับรู้ถึงทุกอย่างจากโลกภายนอก แต่ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้”
คำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น พูดออกมาเพื่ออธิบายให้ซูเหวินชิงเข้าใจ และอธิบายให้หลานจิ่วชิงฟัง นางเชื่อว่าหลานจิ่วชิงจะได้ยินสิ่งที่นางพูด
“หมายความว่าอย่างไร?” ซูเหวินชิงสับสน หลานจิ่วชิงเองก็ไม่เข้าใจว่าคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินนั้น ควรจะทำความเข้าใจอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินนำมือกอดอก กล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ “ปกติแล้วจะเรียกอาหารนี้ว่า ผีอำ ในตอนนี้หลานจิ่วชิงได้ฟื้นสติกลับมาแล้ว สิ่งที่พวกเราทำได้คือรอ ส่วนจิ่วชิงจะฟื้นขึ้นมาหรือไม่ จะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ ทั้งหมดมันก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง พวกเราช่วยอะไรไม่ได้”
ผลการวินิจฉัยจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะบอกว่ามีความผิดปกติ การรักษาทำให้มันยิ่งแย่ลง เนื่องจากตรวจสอบไม่พบว่าความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นด้วยเหตุใด การรักษาโดยไม่มีหลักการจะทำให้อาการของคนไข้แย่ลง
“ช่วยไม่ได้? ขนาดเจ้าเป็นหมอก็ช่วยไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” หากเป็นเช่นนี้แล้วจะมีหมอไว้เพื่ออะไร ซูเหวินชิงเริ่มสงสัยในสายอาชีพของเฟิ่งชิงเฉิน
“หมอไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง หลายครั้งที่พวกเราต้องพึ่งพาจิตใจอันแน่วแน่ของผู้ป่วย มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่มียารักษา เจ้าเข้าใจไหมว่าปาฏิหาริย์ทางการแพทย์คืออะไร?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกรธ แต่อธิบายออกไปแทน
ซูเหวินชิงส่ายหน้า เขาไม่รู้จริงๆว่าอะไรคือปาฏิหาริย์ทางการแพทย์ หากแยกคำออกจากกันเขายังพอเข้าใจ แต่เมื่อเอามาอยู่ร่วมกันเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ปาฏิหาริย์ทางการแพทย์จะเกิดขึ้นเมื่อหมอได้ตัดสินไปแล้วว่าไม่สามารถรักษาผู้ป่วยได้ หรือผู้ป่วยไม่มีทางฟื้นขึ้นมาอีกตลอดไป แต่ผู้ป่วยกลับฟื้นขึ้นมา นี่มันไม่ใช่ความสำเร็จของหมอ มันคือจิตใจอันแน่วแน่ของผู้ป่วย ผู้ป่วยใช้จิตใจอันแน่วแน่เพื่อพิชิตโรคร้ายด้วยตัวเอง ข้าเชื่อว่าหลานจิ่วชิงเองก็ทำได้” เมื่อพูดจบ เฟิ่งชิงเฉินไม่อธิบายอะไรไปมากกว่านั้น หันหลังและเก็บกล่องยา
จะเช้าแล้ว ร่างกายของหลานจิ่วชิงไม่ได้มีปัญหาอะไร นางอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ กลับไปก่อนจะดีกว่า
“เหวินชิง ฟ้าใกล้จะสางแล้ว ให้คนส่งข้ากลับไป หากฟ้าสางแล้วหลานจิ่วชิงยังไม่ฟื้นขึ้นมา เจ้าค่อยสั่งให้คนไปรับข้าที่จวนเฟิ่ง” ฟ้าสางแล้ว นางสามารถให้คนเข้าไปยังจวนเฟิ่งได้อย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อไป เนื่องจากอาจสร้างปัญหาถ้าหากมีผู้อื่นรับรู้
“จิ่วชิงไม่เป็นอะไรจริงงั้นหรือ?” ซูเหวินชิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เรื่องที่จะต้องพานางกลับไปส่งนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำ แต่……แม้เขาจะสงสัยในฝีมือการรักษาของเฟิ่งชิงเฉิน แต่หากเฟิ่งชิงเฉินกลับไป ความมั่นใจของเขาก็น้อยลง อย่างน้อยเฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่ก็ทำให้เขาสบายใจมากกว่า
เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองหลานจิ่วชิง แม้จะไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ด้วยการตัดสินใจจากทักษะทางการแพทย์ของนาง สภาพของหลานจิ่วชิงในตอนนี้ถือว่าไม่เลว บาดแผลเล็กน้อยไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่กล้าพูดอะไรมากเกินไป นางพูดแค่ว่า “ข้ารับประกันได้ว่า ร่างกายของจิ่วชิงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด”
“งั้นก็ได้ ข้าจะไปส่งเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาเช่นนี้ ซูเหวินชิงจะทำอะไรได้ ให้เฟิ่งชิงเฉินอยู่ที่นี่ต่อไป สำหรับพวกเขาและเฟิ่งชิงเฉินแล้วต่างไม่ใช่เรื่องดี
ทั้งสองคนเดินออกไปด้านนอกของห้องลับ ไม่ได้สังเกตเห็นว่า……
จิตใจอันแน่วแน่!
ข้าทำได้!