นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 712 ข้าคือจักรพรรดิ ข้าจะไปกลัวใคร

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ท้องฟ้าเริ่มสาง ขุนนางในพระราชวังทุกคนรวมตัวกันทางด้านประตูตะวันออก รอเดินทางไปยังตำหนักในตอนเช้า

หิมะตกลงมาตามสายลมร่วงหล่นบนรถม้า ไม่นานก็ละลายหายไป จากนั้นก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง แม้หิมะจะตกน้อยลงมาก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตกในระยะเวลาอันสั้น

“ไม่รู้ว่าหิมะบ้านี่จะหยุดตกลงเมื่อใด” ขุนนางร่างผอมยกม่านบนรถขึ้นพร้อมยื่นหน้าออกมา หิมะร่วงหล่นสัมผัสปลายจมูกของเขา เขาหนาวจนตัวสั่นแต่ก็ยังลงมาจากรถอย่างไม่มีข้อกังขา

ต่างบอกว่าขุนนางในพระราชสำนักนั้นเป็นคนดี แต่ใครจะรู้บ้างว่าพวกเขานั้นทุกข์ทรมานขนาดไหน เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องในเช้านี้ เป็นการดีที่จักรพรรดิมีความกระตือรือร้นในการปกครองบ้านเมือง แต่การเรียกขุนนางเข้าไปในท้องพระโรงทุกวันมันก็ไม่ใช่สิ่งอันควร

“ใครว่าไม่ นี่มันผ่านมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ช่างน่าแปลกเหลือเกิน ทำไมหิมะถึงยังไม่หยุดตก หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอย่าว่าแต่ประชาชนเลย พวกเราเองก็คงจะแข็งและหิวตาย” ขุนนางอีกคนซึ่งได้ยินคำพูดจากรถม้ากล่าวออกมา ทั้งสองเดินไปทางด้านพร้อมพูดคุยกัน

ในเวลานี้ทุกคนมารวมตัวกัน ไม่พูดเรื่องอะไรนอกจากเรื่องหิมะตก นี่เป็นเรื่องที่ปลอดภัยที่สุด

“อนิจจา ต่างพูดกันว่าหิมะตกเป็นปีที่ดี แต่หิมะตกหนักขนาดนี้มันจะไปเป็นปีที่ดีได้อย่างไร” คำพูดนี้ออกมาจากขุนนางซึ่งรับหน้าที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม ตอนแรกเขาก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่เนื่องด้วยภัยพิบัติหิมะทำให้อาหารขาดแคลน เขาซึ่งมีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเกษตรกรรมจึงมีหน้าที่เพิ่มขึ้น

พูดถึงภัยพิบัติหิมะ ทุกคนต่างพูดกันไม่รู้จบ เดินไปพูดคุยกันไปเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ เนื่องจากนี่เป็นเหมือนการเข้าเฝ้าเล็กๆ ทุกคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่……

สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจคือ ในตอนที่ท้องฟ้าใกล้สาง คนสองคนที่ไม่ควรปรากฏตัวก็ปรากฏตัวออกมา

ขุนนางในพระราชวังกล่าวออกมาเสียงดังว่า “เสด็จอาเก้า ซู่ชินอ๋อง เสด็จมาถึงแล้ว ”

อะไรนะ? เหล่าขุนนางตกตะลึง เนื่องจากจักรพรรดิเป็นคนขยัน ในทุกวันจึงมีการเข้าเฝ้าเล็กๆ และในทุกสามวันจะมีการเข้าเฝ้าครั้งใหญ่ เสด็จอาเก้าและซู่ชินอ๋องจะมาในงานเข้าเฝ้าครั้งใหญ่เท่านั้น วันนี้เป็นการเข้าเฝ้าเล็กๆ ทำไมทั้งสองถึงมาปรากฏตัวได้

หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?

เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจ ความรู้สึกกังวลเกิดขึ้นมากมาย เนื่องจากในหมู่ของพวกเขาไม่มีใครสะอาดเลย

แต่ในตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะมาคิดอะไรมากมาย พวกเขาเลิกส่งเสียง จัดเครื่องแต่งกายและเดินเรียงกันเป็นสองแถว เปิดช่องทางเดินตรงกลางไว้ และกล่าวทักทายทั้งสองคนพร้อมกัน

“ถวายบังคมเสด็จอาเก้า”

“ถวายบังคมซู่ชินอ๋อง”

“อ่า” เสด็จอาเก้าสวมชุดของเชื้อพระวงศ์สีดำ ชุดนี้ทำขึ้นด้วยเนื้อผ้าชั้นดี ด้านบนมีลวดลายของมังกรปักอยู่ ปกคอและแขนเสื้อถักด้วยด้ายสีทอง ในวันที่หิมะตกเช่นนี้แสงสีทองบนเสื้อของเขาเด่นชัดมาก แต่สิ่งซึ่งโดดเด่นมากที่สุดก็คือ ท่าทางและทัศนคติอันเย่อหยิ่งของเสด็จอาเก้าที่มีต่อทุกคน มันชัดเจนและมองเห็นได้ในระยะพันลี้

เสด็จอาเก้าเดินเข้ามา แม้แต่เสนาบดีเขายังไม่สบสายตา ตามธรรมเนียมแล้วเขาควรจะตอบรับหรือพูดคุยกับเหล่าขุนนาง ดูจากท่าทางแล้ว การที่จักรพรรดิขังเสด็จอาเก้าเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน ไม่เพียงแค่ทำให้เสด็จอาเก้าเยือกเย็นขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้เฉียบคมมากยิ่งขึ้น

เมื่อเทียบกับเสด็จอาเก้า ซู่ชินอ๋องดูดีกว่ามาก แม้ว่าเขาจะเข้มงวด แต่เมื่อพูดถึงเรื่องอารมณ์และมารยาท เขาดีกว่าเสด็จอาเก้า เขาให้เกียรติขุนนางทุกคน ส่วนเสด็จอาเก้า นอกจากเสียงตอบรับแล้ว แม้แต่สายก็ไม่ยังเคยหันมอง อย่างน้อยซู่ชินอ๋องก็ยังกล่าวออกมาว่า “ไม่ต้องมากพิธี”

ทั้งสองคนก้าวเดินไปด้านหน้าโดยไม่มีใครเข้ามาขวาง เพื่อเป็นการให้เกียรติซู่ชินอ๋อง เสด็จอาเก้าเดินตามหลังเขาอยู่ครึ่งก้าวตลอดทาง เมื่อทั้งสองเดินไปถึงด้านหน้าสุด ใบหน้าของเสด็จอาเก้ายังคงเยือกเย็น ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนไหวราวกับรูปปั้น

ที่จริงปกติแล้วเสด็จอาเก้าก็เป็นเช่นนี้ เขาไม่เหมือนมนุษย์ แต่เหมือนรูปปั้นมากกว่า

“เจ้าเป็นอะไรอีกแล้วงั้นหรือ?” ซู่ชินอ๋องสัมผัสได้ถึงรัศมีอันเยือกเย็นบนร่างกายของเสด็จอาเก้า ดูเหมือนว่ามันจะรุนแรงขึ้น ใครไปทำให้เขาโกรธงั้นหรือ?

แม้แต่จักรพรรดิยังต้องยอมแม้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ในตงหลิงนี้ยังมีใครกล้าทำให้เขาโกรธอีกงั้นหรือ? คนผู้นั้นเบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม?

เสด็จอาเก้าหันมามองซู่ชินอ๋องด้วยใบหน้าอันไร้ซึ่งความรู้สึก ส่ายหน้าพร้อมกล่าวว่า “ไม่มีอะไร” ซู่ชินอ๋องกลายเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาว่างจนเอาเวลาไปสนใจเรื่องของคนอื่นเลยงั้นหรือ?

“ก่อนหน้านี้เจ้าดูเข้ากับคนอื่นได้ดีมากขึ้น แถมยังยินดีจะพูดกับผู้อื่นมากขึ้นด้วย แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลับไปเป็นสภาพเดิม เจ้ารับแรงกระตุ้นอะไรมาอย่างนั้นหรือ?” ไม่แปลกที่ซู่ชินอ๋องจะคิดเช่นนี้ ตั้งแต่เสด็จอาเก้าเข้าไปในเรือนจำ นี่เป็นครั้งแรกที่ซู่ชินอ๋องได้พบกับเขา

“ไม่มีอะไร แค่หลีกเลี่ยงปัญหา” ไม่มีแรงกระตุ้นอะไร ที่ไม่อยากพูดอะไรกับเหล่าขุนนางก็เพื่อหลีกเลี่ยงปัญญาและข้อสงสัย ไม่ว่าเขาจะยินดีหรือไม่ แต่เขาจำเป็นต้องทำให้จักรพรรดิเห็น ครั้งนี้เขาแสดงอำนาจของเขาออกมาอย่างชัดเจน เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิหวาดระแวง ถ้าหากเขายังพูดคุยอย่างสนิทสนมกลับเหล่าขุนนาง แบบนั้นจักรพรรดิคงนั่งไม่ติด

เรื่องที่ไปเผ่าเสวียนเซียวกง เขาไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดฝัน

เรื่องพวกนี้เขาไม่สามารถอธิบายให้ซู่ชินอ๋องเข้าใจได้ ส่วนซู่ชินอ๋องจะคิดอย่างไร นั่นมันไม่เกี่ยวกับเขา เสด็จอาเก้าพร้อมก้มหน้ารับ

ผลลัพธ์คือเหมือนกับความปรารถนาของเสด็จอาเก้า ซู่ชินอ๋องคิดไปเองว่า “เจ้านี่มันเหลือเกิน เจ้ากำลังกังวลเรื่องของเฟิ่งชิงเฉินใช่ไหม? เจ้าวางใจ เห็นแก่หน้าของเฟิ่งจ้าน ข้าเองก็จะคอยดูแลนางเช่นกัน หากมีใครคิดจะรังแกนาง ข้าจะต้องออกหน้าอย่างแน่นอน” คนอื่นไม่รู้ ในฐานะปู่ของตี๋ตงหมิง ซู่ชินอ๋องรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับคู่หมั้นของเฟิ่งชิงเฉิน

นึกถึงตอนเสด็จอาเก้าเพิกเฉยต่อการกล่าวโทษของฝ่ายตรวจการ ไม่สนใจคำพูดของคนอื่นว่าตนเองมีอะไรกับหลานสะใภ้ มุ่งมั่นสานความสัมพันธ์กับเฟิ่งชิงเฉิน ซู่ชินอ๋องแสดงออกมาว่าตนเองเข้าใจว่าทำไมเสด็จอาเก้าถึงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม

เอ่อ……ซู่ชินอ๋อง ตรรกะของเจ้าช่างไร้สาระเหลือเกิน

เสด็จอาเก้าหันศีรษะไปเสาประตูด้านหน้า ไม่ตอบอะไรกลับไป การกระทำนี้ในสายตาของซู่ชินอ๋องคือการยอมรับ มองดูนัยน์ตาของเสด็จอาเก้าก็เห็นความทุกข์เพิ่มมากขึ้น

เด็กคนนี้โตมาด้วยการเลี้ยงดูของเขา ตั้งแต่เด็กไม่เคยเห็นเขาอยากได้อะไร ยากมากที่จะได้เจอกับหญิงสาวที่ถูกใจ แต่……เจ้าช่างโชคร้ายเหลือเกิน

ความรู้สึกของซู่ชินอ๋องเต็มไปด้วยอารมณ์ แต่เสด็จอาเก้าแอบคิดในใจ “เขาผิดแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าซู่ชินอ๋องฉลาดกว่าตี๋ตงหมิง ที่แท้ทั้งสองคนก็เหมือนกัน เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย ซู่ชินอ๋องคิดไปเองทั้งนั้น เขาไม่มีแม้แต่โอกาสพูดออกมา”

อย่างที่คิด ความเงียบคืออาวุธที่ดีที่สุด

เห็นเหล่าองค์รัชทายาทเดินเข้ามา เสด็จอาเก้าไม่คิดอะไรมา รอการปรากฏตัวของจักรพรรดิ

“ซู่ชินอ๋อง เสด็จอาเก้า” โดยการนำขององค์รัชทายาท เหล่าเชื้อพระวงศ์เริ่มทยอยกันออกมา นี่ทำให้เหล่าขุนนางตกใจมากยิ่งขึ้น

นี่มันเกิดอะไรขึ้น องค์รัชทายาทและเหล่าราชวงศ์ทำไมถึงได้มาอยู่ที่นี่ แถมยังออกมาต้อนรับเสด็จอาเก้าและซู่ชินอ๋องด้วยตัวเอง นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทุกคนต่างมองหน้ากัน ความไม่สบายใจเผยออกมาให้เห็นบนใบหน้า แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามออกมา

“องค์รัชทายาทมากพิธีเกินไปแล้ว” องค์รัชทายาทคือกษัตริย์ ต่อให้เสด็จอาเก้าและซู่ชินอ๋องมีตำแหน่งสูงศักดิ์แค่ไหนก็เป็นได้แค่ขุนนาง แต่ทั้งสองคนยังคงนิ่งเฉยและรับการเคารพจากองค์รัชทายาท

การเคารพขององค์รัชทายาทยังถูกตอบรับ ไม่ต้องพูดถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้านหลังเลย เพื่อแสดงถึงความต่างของทัศนคติ ซู่ชินอ๋องและเสด็จอาเก้าจึงตอบรับความเคารพของเหล่าเชื้อพระวงศ์โดยการส่งเสียง “อ่า” ออกมาเท่านั้น

ใบหน้าขององค์รัชทายาทเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกได้ถึงทัศนคติของเสด็จอาเก้าและซู่ชินอ๋อง รอยยิ้มขององค์รัชทายาทอยู่ภายในสายตาของพวกเขา เขากล่าวออกมาอย่างสุภาพโดยไม่เสียท่าทางของกษัตริย์ “ซู่ชินอ๋อง เสด็จอาเก้า และเหล่าขุนนางทุกท่าน เสด็จพ่อมีพระราชโองการให้ยกเลิกการเข้าเฝ้าในเช้านี้ เสด็จพอต้องการทำพิธีบูชาฟ้า ณ ศาลเจ้า เพื่ออธิษฐานขอพรให้พระเจ้าช่วยนำความเจริญรุ่งเรืองและความสงบสุขของประชาชนมาสู่ตงหลิง และขอให้หิมะหยุดตกในเช้าวันนี้”

แน่นอนจักรพรรดิต้องการถวายเครื่องบูชาฟ้าแต่ไม่กล้าพูดอะไรมากมาย และจากประโยคก่อนหน้า “เพื่อความสงบสุขของประชาชนมาสู่ตงหลิง” แม้ว่าหิมะไม่หยุดตก จักรพรรดิก็ไม่ได้เสียหายอะไร

แน่นอนว่าซู่ชินอ๋องและเสด็จอาเก้ารู้เรื่องนี้ดีถึงมาปรากฏตัว ณ ที่นี่ในวันนี้ เมื่อได้ยินคำพูดขององค์รัชทายาท ทั้งสองคนพยักหน้า จากนั้นเดินตามองค์รัชทายาทไปยังศาลเจ้า ส่วนพวกขุนนาง และทหารต่างก็กระสับกระส่าย

พิธีบูชาฟ้า? อยู่ดีๆทำไมจักรพรรดิถึงอยากทำพิธีบูชาฟ้า ไม่มีการบอกกล่าวสักคำ นี่จักรพรรดิกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่?

งี่เง่า งี่เง่าที่สุด!

นี่คือการบริหารประเทศไม่ใช่เกมของเด็ก จักรพรรดิทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ฝ่ายตรวจการหลายคนเริ่มคิดในใจ แบบนี้การกล่าวโทษจะเขียนออกมาอย่างไร จะต้องใช้คำพูดของนักปราชญ์ท่านไหน

เจ้าพูดอะไร? จะกล่าวโทษกับจักรพรรดิอย่างนั้นหรือ? ฮึ……จักรพรรดิทำผิดพวกเขาเองก็ต้องกล่าวโทษเช่นกัน ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงที่ผ่านมาของพวกเขาจะเอาไปไว้ที่ไหน งั้นแล้วชีวิตของพวกเขาล่ะ?

ต่อให้ต้องแลกชื่อเสียงมาด้วยชีวิต มันก็คุ้มค่า!

แน่นอน แม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่พอใจกับความงี่เง่าของจักรพรรดิ แต่พิธีบูชาฟ้าได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ เพื่อเป็นการไม่ดูหมิ่นพระเจ้า พวกเขาต้องรอให้เสร็จพิธีก่อนแล้วค่อยจัดการ ตักเตือนจักรพรรดิว่าครั้งหน้าอย่างทำอะไรซี้ซั้วเช่นนี้อีก จักรพรรดิคือกษัตริย์ ตัวตนของท่านคืออนาคตของประชาชนทุกคนในตงหลิง จะทำอะไรงี่เง่าเช่นนี้ได้อย่างไร

ทุกคนเดินเข้าไปยังศาลเจ้า แม้ศาลเจ้าจะอยู่ด้านในพระราชวัง แต่มันก็ตั้งอยู่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ใช้เวลาเดินทางระยะหนึ่ง เหล่าขุนนางเหนื่อยจนแทบหมดแรง พวกเขาหายใจหอบ ใบหน้าขององค์รัชทายาทเองก็ดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก

เฮ้อ……ร่างกายที่ดีคือรากฐานของการเป็นขุนนาง การเป็นขุนนางจำเป็นต้องมีร่างกายที่ดีแข็งแรง ถ้าหากร่างกายไม่แข็งแรงก็ไม่สามารถปฏิบัติงานได้เต็มที่

โชคดี……โชคดีที่ในตอนองค์รัชทายาทจะถึงขีดจำกัด พวกเขาก็เดินทางมาถึงศาลเจ้า

องค์รัชทายาทกลั้นความเหนื่อยหอบ คุกเข่าและก้มหน้าลงถวายบังคมจักรพรรดิซึ่งคุกเข่าอยู่ด้านบนของศาลเจ้า

ใช่ แม้แต่จักรพรรดิยังคุกเข่า แล้วตอนนี้ใครจะกล้ายืนอยู่

พิธีบูชาฟ้าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย ถ้าหากทำตามธรรมเนียมปฏิบัติ ตั้งแต่เช้าจนค่ำพิธีก็ยังไม่เสร็จ แน่นอนว่าจักรพรรดิรู้ดี ประกอบกับการเตรียมตัวอย่างเร่งรีบ ทำให้เครื่องสักการะหลายอย่างไม่พร้อม จักรพรรดิจึงสั่งให้ประกอบพิธีด้วยความเรียบง่าย

แต่ถึงจะเรียบง่ายแค่ไหนก็ยังกินเวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง จนกระทั่งเหล่าเสนาบดียืนขึ้นภายใต้การนำของจักรพรรดิ และในตอนนี้……จักรพรรดิก็ยืนอยู่ตรงเครื่องสักการะ และเริ่มกล่าวถวาย ทำพิธี

ใช่ วันนี้จักรพรรดิทำได้ไม่เลว ประการแรก พระองค์ทรงเสียสละและสวดอ้อนวอนขอพรด้วยตนเอง จากนั้นกล่าวโทษตัวเอง 12 ข้อใหญ่ ซึ่งแต่ข้อนั้นกล่าวถึงความผิดอย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วนี่คือการสรรเสริญคุณธรรมและบุญบารมีของตนเอง

จากความผิดที่กล่าวออกมาดูเหมือนว่าต้องการให้พระเจ้ายกโทษให้ แต่ในความเป็นจริงเขาต้องการบอกกับเหล่าเสนาบดีว่า เรื่องในวันนี้ทั้งหมดเป็นความผิดของตนเอง จากการกระทำอันไม่เป็นเหตุเป็นผลของข้าในวันนี้ พวกเจ้าอย่างได้ถือโทษ

จักรพรรดิโทษตนเอง โทษที่เขามุ่งมั่นในการบริหารประเทศมากเกินไป จริงจังและเข้มงวดกับมันมากเกินไป เขา……มากเกินไป เขาเป็นจักรพรรดิที่ดีถึงขนาดนี้ ทำไมพระเจ้าถึงยังไม่พอใจ สุดท้ายจักรพรรดิทรงพูดกับพระเจ้าด้วยความโศกเศร้าว่า “พระเจ้า หากท่านไม่พอใจ จะลงโทษก็ลงโทษมาที่ข้า อย่าได้ลงโทษประชาชน! ข้ายินดีรับความโกรธของท่านไว้แต่เพียงผู้เดียว ได้โปรดท่านช่วยปล่อยประชาชนของข้าไป!”

ประโยคสุดท้ายที่พูด มันจบลงในตอน 9 โมง 45 นาทีพอดี!

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท