หิมะหยุดตกแล้ว!
หลังจากที่หิมะตกอย่างหนักต่อเนื่องมานานกว่าสิบห้าวัน ในที่สุดมันก็หยุดตกเสียที ใครที่มิได้เข้าไปยังพิธีบูชาฟ้า ก็มิมีทางทราบเรื่องบูชาฟ้าเลย พอหิมะหยุดตกก็พากันยินดีปรีดา
หิมะหยุดตกแล้ว พวกเขาก็ทำมาหากินได้เสียที
เฟิ่งชิงเฉินไปรอซูเหวินชิงที่ตำหนักตั้งแต่เช้า นางมิได้รอคนของตระกูลซูมาหานาง เพราะนางรู้ดีว่าหลานจิ่วชิงก็คงน่าจะที่จะฟื้นแล้ว
แพทย์หามีเพียงแค่คนไข้เพียงคนเดียว นางมิมีทางเอาใจทั้งหมดไปไว้ให้กับคนไข้แค่เพียงคนเดียว ระหว่างนั้นเองก็มีคนมาหาและพานางไปยังห้องรักษา
เฟิ่งชิงเฉิงถือกระเป๋าโอสถเวชภัณฑ์เข้าไป วันนี้เซวียนเส้าฉีไม่ได้ตามนางมาด้วย เพราะวันนี้เขายุ่งมาก ดูเหมือนว่าเขากำลังเตรียมรับมือกับเสด็จอาเก้าอยู่
ถ้ามันจะจบแบบนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็มิรู้ว่ามันดีหรือไม่ เพราะมิว่าจะพูดเยี่ยงไร เซวียนเส้าฉีก็ยังคงดื้อรั้น เฟิ่งชิงเฉินจึงมิมีทางออกใด ทำได้แต่ปล่อยวางเดินเข้าห้องรักษาไป
จากการรักษามาสิบกว่าวัน คะแนนทางจรรยาบรรณแพทย์ของเธอเพิ่มขึ้นไปหกร้อยกว่าคะแนน ซึ่งการที่มารักษานั่นก็เป็นเพราะเธอก็ต้องการคะแนนทางจรรยาบรรณนั่นเอง
แต่ใครจะไปรู้ พอมาถึงห้องรักษาก็พบว่า
“อ้าว หิมะหยุดตกแล้ว”
ก่อนหน้าหิมะยังตกอยู่ แม้ว่ามันจะหยุดไปบ้าง นั่นทำให้เฟิ่งชินเฉิงรู้สึกหวาดหวั่น ว่ามันจะหยุดแบบเหมือนครั้งที่มันตกในตอนแรกไหม
ตอนเธอออกมา หิมะก็ยังคงตกอยู่!
“อะไรกัน? หิมะหยุดตกแล้วหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินพึมพำออกมา ทำให้ผู้คนต่างได้ยิน และเงยหน้าขึ้นไปมอง “หิมะหยุดตกแล้ว จริงเสียด้วย”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันออกมาท่ามกลางกองหิมะ มองไปบนฟ้า พากันดีอกคีใจ “ หยุดตกแล้ว หยุดตกแล้วจริงๆ”
ความสุขเหล่านั้นมันเปรียบเหมือนโรคติดต่อ พอพี่คนยินดี ก็พากันยินดีไปทั่ว พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้ากันบางๆเท่านั้น แต่ก็มิได้รู้สึกกลัวความเหน็บหนาวแต่อย่างใด พากันกระโดดโลดเต้นบนกองหิมะ
แท้จริงแล้วความสุขมันเกิดขึ้นง่ายมากๆ
เฟิ่งชิงเฉินโดนผู้คนเบียดเสียดเข้าใส่ก็มิโกรธแต่อย่างใด เธอได้แต่ยืนขึ้น มองทอดออกไป อยู่ในภวังค์ของตัวเอง แม้ว่าซุนซือสิงมายืนอยู่ข้างกายเธอ เธอยังมิรู้ตัวเลย
“อาจารย์ ท่านนี่เป็นผู้นำโชคเสียจริง ท่านมาถึงหิมะก็หยุดตกเลย” ซุนซือสิงใบหน้าเบิกบาน เขาพูดและหัวเราะออกมามิได้ดังนัก
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มพร้อมหันกลับไป พร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี้มันมิเกี่ยวอะไรกับข้า ฝนต้องตก ภริยาต้องออกเรือน มันเป็นเรื่องธรรมชาติ หาใช่โชคของของข้าแต่อย่างใด”
นี่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติที่มิอาจหนีพ้นหรือควบคุมมันได้ และเฟิ่งชิงเฉินเองก็เป็นผู้ที่มิชอบทำลายในกฎของธรรมชาติ
“ใครว่ามิใช่แบบนั้น ข้าจำได้ตอนที่หิมะยังตกอยู่ตอนที่ท่านเดินออกมา และเมื่อท่านเข้ามาที่นี่มันก็หยุดทันที มันคือโชคดีที่มาจากท่านจริงๆ จากที่ข้าดูหิมะมันตกก็เหมือนเพื่อท่านเช่นกัน ” ชุนฮุ่ยยิ้ม พร้อมกับกล่าวเสริมขึ้นมา
หิมะหยุด ทำให้ทุกคนดีใจ การพูดล้อเล่นกันจึงเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา
“เจ้าก็อย่าพูดเป็นเล่นแบบนี้สิ พูดยังกับข้าเป็นปีศาจยังงั้น หิมะพวกนี้คงจะเป็นเทวดาฟ้าดินท่านประทานให้ แต่ดันให้ตกนานไปหน่อย ข้าไม่อยากไปเป็นแพะแบบนั้นนะ” ซุนซือสิงกับเฟิ่งชิงเฉินอดไม่ที่จะเขกหัวของชุนฮุ่ยเบาๆ
นางรู้ว่าเจ้าเด็กสาวผู้นี้พูดเล่น เพียงแค่เรื่องพูดเล่นนี้ไม่ควรพูดออกมา เพราะหากใครได้ยินเข้า ก็เอาไปเสริมเติมต่อกลานเป็นเรื่องราวใหญ่โต
ชุนฮุ่ยรู้ตัวรีบเอ่ยคำขอโทษออกไป “ข้าผิดไปแล้ว พูดจาสามหาวอะไรออกไปก็มิรู้” เพื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีใบหน้าที่เย็นชา ด้วยความฉลาดของชุนฮุ่ย เขามองไปที่ซุนซือสิงเพื่อขอความช่วยเหลือ
ซุนซือสิงเป็นคนใจอ่อน ด้วยเห็นท่าทีที่อ้อนวอนของชุนฮุ่ยก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์อย่าไปถือสาคำพูดของชุนฮุ่ยเลย เดี๋ยวข้าจะให้นางไปเก็บหิมะเป็นการลงโทษ”
ระหว่างที่ทั้งสามกำลังสนทนาอยู่นั้น หนึ่งในผู้ประสบภัยก็เป็นเจ้าหนุ่มผู้หนึ่ง แม้เขาจะสวมเสื้อผ้าที่บาง แต่ก็ดูสะอาด สายตาดูเฉียบแหลม หากเฟิ่งชิงเฉินได้เห็น ก็จะรู้แน่ๆว่า เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ผู้ประสบภัยธรรมดา
ในมือของเจ้าหนุ่มคนนี้ถือดินสอปากกาไว้ในมือ เพราะเจ้าตัวมีความสามารถด้านงานเขียน
แม้หิมะจะหยุดตกแล้ว แต่การทำงานให้กับผู้ประสบภัยก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป เฟิ่งชิงเฉินกับซุนชือสิงเพื่อพูดจบ ก็เดินเข้าไปที่ห้องรักษา
จากความตั้งใจในสิบกว่าวันที่ผ่านมา ผนวกกับการเตรียมอาหาร โอสถเวชภัณฑ์ต่างๆของซูเหวินชิง ทำให้ผู้ป่วยลดน้อยลง ผู้ป่วยที่อาการดีขึ้นก็ลุกออกจากเตียงได้
ด้วยหิมะที่หยุดตกแล้วในตอนนี้ ผู้คนที่เคยเจ็บป่วยก่อนหน้านี้ก็มีสีหน้าสดใส อารมณ์ดี เฟิ่งชิงเฉินและซุนซือสิงเห็นแบบนั้นจึงไม่ได้อยู่ที่ห้องรักษานานนัก
ทั้งสองที่พากันออกมา ทีแรกก็ต้องการที่จะไปพักผ่อน แต่ก็มีคนมาแจ้งว่าซูเหวินชิงต้องการจะพบนาง
เอ๊ะ?คงมิได้เกิดอะไรขึ้นกับหลานจิ่วชิงหรอกนะ?แต่ก็มิน่าจะใช่ ถ้าเกิดขึ้นกับหลานจิ่วชิงจริงๆ ซูเหวินชิงคงจะเข้ามาหานางด้วยตนเอง
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกรีบร้อน แต่ก่อนที่เธอจะไปเธอก็ไม่ลืมที่จะเตือนซุนซือสิง “ซือสิง ถ้ามีเวลาไปบอกให้คุณชายชุยตรวจวินิจฉัยอีกครั้ง ถ้ามิมีอาการใด ก็ให้กลับไปพักผ่อนที่เรือนได้”
“ได้ท่านอาจารย์” เมื่อรู้ว่าชุยห้าวถิงจะต้องไปแล้ว ซุนซือสิงก็อดดีใจมิได้ เฟิ่งชิงเฉินเห็นแต่ก็มิได้ตักเตือนอะไร เพราะเตือนไปก็ไร้ประโยชน์
เพราะก็เคยพูดเตือนไปแล้ว ก็ได้แต่พูดขอโทษออกมา บอกไปแล้วว่าให้แยกกันระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว เฟิ่งชิงเฉินก็รับรู้ดีว่าเขามิชอบชุยห้าวถิงนัก จึงมิอยากให้ชุยห้าวถิงอยู่ต่อ
ดีที่หยวนซีกับชุยห้าวถิงก็เป็นคนแปลก เห็นซุนซือสิงเป็นคนแบบนี้ พวกเขาก็ยิ่งอยากจะเจอหน้าซุนซือสิง
ดังนั้นเมื่อเป็นแบบนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็พึงพอใจแล้ว
เมื่อพูดพบ เฟิ่งชิงเฉินก็ถือกระเป๋าเวชภัณฑ์เข้าไปในห้องรับรอง “เหวินชิง มานานหรือยัง? ทำไมมิไปที่ห้องรักษาเล่า ดีที่วันนี้ข้ามาเร็ว ก็รู้อยู่ว่าเวลานี้ข้าอยู่ที่ห้องรักษา”
เฟิ่งชิงเฉินมิกล้าที่จะถามเรื่องของหลานจิ่วชิงกับซูเหวินชิงนัก นางจึงเบี่ยงประเด็นโดยถามในเรื่องอื่นๆ
“มิใช่เรื่องด่วนอันใดหรอก จึงไม่อยากเข้าไปกวนเจ้า” ซูเหวินชิงยืนขึ้น สีหน้าของเขาดูปกติ
มิใช่เรื่องด่วนก็ดีไป
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกโล่งอก นางยกชาขึ้นมาจิบ
ชาพุทราแดง เหมาะสมกับฤดูกาล มันช่วยดับกระหายเป็นอย่างดี เฟิ่งชิงเฉินวางแก้วลง มองไปที่ซูเหวินชิงอย่างสงสัย และถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
มิมีเรื่องอันใดกับหลานจิ่วชิง แล้วยังจะมีเรื่องอะไรที่ซูเหวินชิงต้องบอกนางอีก? เฟิ่งชิงเฉินมิค่อยจะเข้าใจนัก
เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินมีท่าทีแบบนี้ ซูเหวินชิงจึงรู้ว่านางยังมิทราบเรื่องบูชาฟ้าของจักรพรรดิ “ชิงเฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ที่พระราชวังเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ซูเหวินชิงดูไม่ค่อยปกตินัก เหมือนกับ หนานหลิงจิ่งฝานและซีหลิงเทียนเหล่ย จักรพรรดิทำอะไรกันนะ
“พระราชวังเกิดเรื่องอันใดขึ้น? เรื่องเสด็จอาเก้าใช่หรือไม่” เฟิ่งชิงเฉินรีบถามอย่างตรงไปตรงมา
คงมิใช่เกิดเรื่องขึ้นกับเสด็จอาเก้าอีกนะ……ถ้าเป็นเช่นนั้นเฟิ่งชิงเฉินจะทำเยี่ยงไรกัน
“มันมิเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้าหรอก แต่มันเรื่องที่องค์จักรพรรดิทรงทำพิธีบูชาฟ้าเพื่อขอให้หิมะหยุดตก”
บูช้าฟ้าเพื่อขอให้หิมะหยุดตก? เฟิ่งชิงเฉินเมื่อนึกถึงหิมะที่หยุดตกในช่วงสายๆ ก็ตกใจจนกล่าวออกมา “อย่าบอกข้านะว่า พอจักรพรรดิทรงทำพิธีบูชาฟ้าเสร็จหิมะก็หยุดตกทันที?” ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็เป็นเรื่องอัศจรรย์เสียจริง……องค์จักรพรรดิจะทำเรื่องอัศจรรย์แบบนั้นได้เหรอ!
ซูเหวินชิงรีบพยักหน้า “เป็นอย่างที่เจ้าคิด พอจักรพรรดิทรงทำพิธีบูชาฟ้าเสร็จหิมะก็หยุดตกทันที ทุกคนต่างปลาบปลื้มใจกันมาก”
ภาพขององค์จักรพรรดิเลยดูยิ่งใหญ่ขึ้นมา มิมีใครกล่าวถึงผู้ที่ช่วยเหลือในยามที่เกิดภัยพิบัติเลย
“คงมิใช่เรื่องเทพเจ้าอะไรหรอก ถ้างั้นก็คงมีประโยชน์มากกว่าการพยากรณ์อากาศแล้วสินะ” เฟิ่งชิงเฉินพูดตามสิ่งที่ใจตนอยากพูดออกมามิดังมากนัก ซูเหวินชิงมิสามารถจับใจความได้จึงถามขึ้นว่า “ชิงเฉิน เจ้าว่ากระไรนะ?”
“อ๋อ……ข้าพูดว่า รู้หรือไม่ว่าใครทำพิธี?” ใครกันช่างเก่งกล้าสามารถมาห้ามหิมะให้หยุดตกได้
เสียดายที่ในกระเป๋าเวชภัณฑ์มิมีเครื่องมือพยากรณ์อากาศ มิฉะนั้นนางคงจะลงใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ดู
“ฝู่หลิน ชายที่เจ้าพามาไง” ที่ซูเหวินชิงมาหาเฟิ่งชิงเฉินก็ด้วยเหตุนี้ จิ่วชิงให้เขารีบมาบอกเฟิ่งชิงเฉิน ถ้านางรู้ทีหลัง ก็คงจะรับมิได้
แต่……
เฟิ่งชิงเฉินก็เป็นดังที่คาดไว้ สายตาเธอเย็นชา “ ฝู่หลิน? จะเป็นเขาไปได้เยี่ยงไร” พูดจบนางก็พยักหน้า “ ข้าลืมไปเลยว่าเขาเป็นคนตระกูลฟู่ งั้นมันก็มีทางเป็นไปได้แล้ว”
เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงเรื่องที่ตี๋ตงหมิงได้เตือนไว้ ว่าฝู่หลินมิใช่คนไร้เดียงสา ตอนแรกคิดว่ากำราบเขาจนเบาใจได้ แต่ก็มิคิดเลยว่า……
พวกเขายุ่งมาก คนทำให้ฝู่หลินทำเรื่องนี้
“เห็นว่า เขาก็คือทายาทของอารามเทพ กำหนดรู้ฟ้าดิน รู้ชะตาลิขิต” นี่คือข้อมูลที่ซูเหวินชิงรู้มาจากการสืบของเสด็จอาเก้า
เรื่องนี้เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีอยู่แล้ว แต่เขามิคิดเลยว่า ฝู่หลินจะเป็นคนทะเยอทะยานเช่นนี้ ที่แท้ ที่เข้ามาใกล้ชิดกับเสด็จอาเก้า ก็เพื่ออยากเป็นใหญ่เป็นโตได้ใกล้ชิดกับองค์จักรพรรดิ
เห้อ……เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา ฟู่หลินคือคนที่นางพามา นางจะต้องรับผิดชอบไม่มากก็น้อยกับการที่ฝู่หลินทำให้เรื่องมันโกลาหลขนาดนี้ ……
เรื่องที่ทำมาก่อนหน้ามันก็เปล่าประโยชน์สินะ!
แต่ ยังมีเรื่องที่โชคดีอยู่อย่าง ก็คือ……