นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 717 ความใส่ใจ และ อาการน้อยใจของเสด็จอาเก้า

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“เจ้าอยากจะพูดเรื่องนี้กับเสด็จอาเก้าเอง?”

เฟิ่งชิงเฉินมิคิดว่า ฝู่หลินจะพูดเงื่อนไขแบบนี้ออกมา นั่นมันทำให้นางยิ่งมิเข้าใจ ฝู่หลินกับเสด็จอาเก้าก็มิได้เคียดแค้นอะไรถึงขั้นอาฆาตมาดร้ายกัน ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่นัก

และ ถ้าใส่หน้ากากพูดแบบนี้ จะได้ประโยชน์อะไร?

“ใช่ ข้าต้องการจะพูดกับเสด็จอาเก้า ข้ามิได้คิดร้ายหรือเป็นศัตรูกับเสด็จอาเก้าเลย” ฝู่หลินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเป็นศัตรูของเสด็จอาเก้า

เสด็จอาเก้าก็เหมือนคนบ้า ทำไมเขาต้องเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงแบบนั้นด้วย คนแบบนี้น่ากลัวยิ่งนัก ถ้าใครต้องการเข้าสู้กับเสด็จอาเก้า ก็คงมิมีทางเอาชนะได้

อ่อ……เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้เชื่อใจนัก หากฝู่หลินมิได้คิดเป็นปรปักษ์ต่อเสด็จอาเก้า แล้วไยจึงไปอยู่เคียงข้างกับองค์จักรพรรดิ เฟิ่งชิงเฉินจึงกล่าวต่อว่า “หากเจ้าต้องการจะพูดกับเสด็จอาเก้า ก็เข้าไปพบเขาด้วยตนเอง มิจำเป็นต้องมาบอกกับข้า”

นางมิต้องการเป็นตัวกลาง และมิต้องการเป็นคนตัดสินใจอะไรแทนเสด็จอาเก้า

ฝู่หลินยิ้มแห้งๆ “ข้าเข้าจวนอ๋องเก้ามิได้”

จวนอ๋องเก้ามีกำลังเพียบพร้อม ก่อนหน้าที่เขาเคยอยู่ที่จวนอ๋องเก้า ก็เข้าออกได้ตามอำเภอใจ แต่พอเขามาอยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิ จวนอ๋องเก้าก็มิต้อนรับเขาอีก ในสายตาของคนพวกนั้น เห็นเขาเป็นพวกคนทรยศ

“หากเจ้าต้องการไปพบเสด็จอาเก้า มิจำเป็นต้องไปถึงจวนอ๋องเก้า เพราะเสด็จอาเก้าก็ออกตระเวนไปทั่ว” การจะเข้าพบเสด็จอาเก้ามันยากขนาดนั้นเชียวหรือ? เฟิ่งชิงเฉินก็นึกคิด ก็พบว่า……

หากคนทั่วไปต้องการจะพบเสด็จอาเก้าก็มิได้ง่ายดายนัก กว่าจะเข้าไปถึงตัวเสด็จอาเก้า ก็คงถูกพวกอารักขาลากตัวออกไปก่อน

“เสด็จอาเก้าจะออกมาแค่ตอนช่วงเช้าเท่านั้น ซึ่งช่วงเช้าข้าไปพบเขามิได้” ฝู่หลินบอกกับเฟิ่งชิงเฉิน ว่านั่นอาจหมายความว่าเสด็จอาเก้ามิอยากพบเขา

“ข้าจะลองถามให้เจ้า ข้าก็มิแน่ใจว่าเสด็จอาเก้าจะมีเวลามาพบกับเจ้าหรือไม่” เฟิ่งชิงเฉินก็มิรู้จะพูดอะไร จึงได้แค่บอกว่าอาจเป็นเพราะเสด็จอาเก้านั้นยุ่ง

แม้ว่าจะมิรู้เลยว่าเสด็จอาเก้ายุ่งเรื่องอะไร แต่ก็รู้ว่ายุ่งมากๆ ยากที่จะหาตัวจับได้ รวมถึงตัวองค์รัชทายาทด้วย……

หลังจากที่เสด็จอาเก้าออกจากคุก องค์รัชทายาทไปที่จวนอ๋องเก้าถึงสามครั้ง ซึ่งทุกครั้งเสด็จอาเก้าก็มิอยู่ที่จวน คนที่จวนอ๋องเก้าได้ให้ องค์รัชทายาทดื่มชา และก็ส่งกลับตามมารยาท

องค์รัชทายาทมิทราบว่าเสด็จอาเก้านั้นยุ่งจริงๆ หรือมิอยากพบเขากันแน่ ครั้งที่สี่ก็ยังมิพบเสด็จอาเก้าอีก องค์รัชทายาทมิอาจทนไหว จึงเอ่ยขึ้น “ พวกเจ้ารีบไปบอกเจ้านายของพวกซะ ว่าข้ามาพบ”

“ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องมิได้อยู่ที่จวนจริงๆพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ดูแลจวนสีหน้าหวาดวิตก คุกเข่าอยู่กับพื้น องค์รัชทายาททนไม่ไหวกำลังจะเตะเขาออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงของเสด็จอาเก้าพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ องค์รัชทายาทเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ? คนในจวนของข้าบังอาจทำอะไรให้องค์รัชทายาทขุ่นข้องหมองใจกัน?”

ขณะที่เสด็จอาเก้าถาม องค์รัชทายาทก็รีบเก็บเท้าของเขา แล้วก็หัวเราะออกมา “ข้าบอกว่าเสด็จอาอยู่ที่จวน แต่เจ้าพวกนี้กลับบอกว่าไม่อยู่”

แม้จะเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดขององค์รัชทายาท และแม้ว่าเสด็จอาเก้าจะมิพอใจนัก แต่ก็มิได้อะไรกับองค์รัชทายาท ได้แต่โบกมือให้คนพวกนั้นออกไป

“องค์รัชทายาทจะไปถือสาเจ้าพวกนั้นเลย ข้าออกไปข้างนอกมา เพิ่งจะกลับมา” เสด็จอาเก้าพูดพร้อมเดินไปข้างหน้า และเชิญองค์รัชทายาทให้ทรงนั่ง

“หลานคงร้อนใจไปเอง ว่าแต่ช่วงนี้เสด็จอาคงยุ่งมาก?” องค์รัชทายาทถามเนื่องจากช่วงนี้เขาแทบไม่เห็นเงาของเสด็จอาเก้าเลย จึงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ

ที่จริงเสด็จอาเก้าก็มิได้มีแผนการลับอะไร เมื่อองค์รัชทายาททรงถาม เสด็จอาเก้าจึงสามารถตอบได้แบบมิได้กังวลอะไร “อีกห้าวันข้ากับองค์ชายใหญ่จะไปที่เผ่าเสวียนเซียวกง”

คงจะมีแค่เสด็จอาเก้ากับหวังจิ่นหลิงที่กล้าจะทำเช่นนี้ บุกไปโดยไม่บอกกล่าว เผ่าเสวียนเซียวกงแทบไม่อยู่ในสายตาของพวกเขาเลย

องค์รัชทายาทกะพริบตา ถอนหายใจออกมา “หลานก็อยากไปเผ่าเสวียนเซียวกง แต่เสียดายที่ร่างกายหลานมิสู้ดีนัก” ประโยคนี้เพื่อที่จะบอกเสด็จอาเก้าว่าเขามิอาจจะช่วยเสด็จอาเก้าได้ แต่หากเสด็จอาเก้าต้องการให้เขาช่วยเหลือก็เรียกคนของเขาได้

องค์รัชทายาททำแบบนี้แทบจะเป็นการหลอกใช้เสด็จอาเก้า

“นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณนัก” เสด็จอาเก้าตอบรับองค์รัชทายาท

เผ่าเสวียนเซียวกงนับเป็นขนมชิ้นใหญ่ แต่ก็มีคนมาแบ่งกันมากพอแล้ว เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากองค์รัชทายาทหรือผู้ใดแล้ว ตระกูลชุย……ไม่รู้ว่าไปกินอะไรมาถึงได้ตอบรับเข้าร่วม เซวียนเส้าฉีไปกินยาผิดมาแน่ๆ

หนานหลิง ซีหลิง ยอดชุมชน ตระกูลชุย ตระกูลหวัง รวมทั้งเขา แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ต่อให้มีสักสิบเผ่าเสวียนเซียวกง ก็เอาอยู่

“ฝ่าบาท มาพบข้าเพราะเรื่องนี้หรือ?” พูดจบ เสด็จอาเก้าก็พูดเตรียมจะส่งแขก เขามิอยากจะอยู่กับเรื่องราวในราชสำนักนัก

“มิใช่แค่เรื่องนี้หรอกเสด็จอา หนานหลิงจิ่งฝานให้คนของตระกูลซูมาบอกว่า ต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินกับซูโหยวประลองธนูบนหลังม้าในวันพรุ่งนี้”

“พรุ่งนี้? ไม่มีทาง!” เสด็จอาเก้ารีบปฏิเสธ

ศพของพ่อแม่เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันฝัง หนานหลิงจิ่งฝานกล้ามาก กล้าที่จะให้เฟิ่งชิงเฉินประลองในวันพรุ่งนี้ หนานหลิงจิ่นฝางคงคิดสินะว่าเฟิ่งจิ่นเฉิน จะเป็นเหมือนซูโหยวที่อยู่ในมือของเขา ที่บีบก็ตาย คลายก็รอด

เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าทำไมหนานหลิงจิ่งฝานอยากให้ประลองในวันพรุ่งนี้ นั่นเพราะองค์จักรพรรดิทรงเขียนพระราชสาส์นเชิญหนานหลิงจิ่นฝานมาที่ตงหลิง เพื่อเข้าร่วมพิธีเสกสมรสขององค์หญิงเหยาหวากับชุนอ๋อง ซึ่งหนานหลิงจิ่งฝานจะมาถึงในวันพรุ่งนี้

ความสัมพันธ์ระหว่างหนานหลิงจิ่งฝานกับเฟิ่งชิงเฉินนั้น หนานหลิงจิ่งฝานรู้ดีที่สุด เขาต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินกับซุโหยวประลองธนูบนหลังม้า ก็เพื่อจะโจมตีเฟิ่งชิงเฉิน

ตอนนี้หากจำทำอะไรเฟิ่งชิงเฉิน ก็เหมือนทำร้ายหนานหลิงจิ่นฝาง เสด็จอาเก้าไม่สนใจว่าหนานหลิงจิ่งฝานจะมีแผนการอะไร เขาไม่มีวันยอมให้เฟิ่งชิงเฉินไปเป็นหมากเดินเกมนี้แน่นอน

“เสด็จอา องค์ชายจิ่งฝานบอกว่า ถ้าเฟิ่งชิงเฉินไม่ตอบรับประลองในวันพรุ่งนี้ ก็ถือว่าเป็นการรักษาหน้าของซูหว่าน องค์ชายจิ่งฝานยังบอกอีกว่า ที่ซูหว่านต้องเสียโฉมก็เพราะเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นเฟิ่งชิงเฉินต้องรับผิดชอบในการรักษา” องค์รัชทายาทลังเลที่จะถ่ายทอดคำพูดของหนานหลิงจิ่งฝาน

ดูเหมือนหนานหลิงจิ่งฝานจะมั่นอกมั่นใจนัก ถึงได้ให้องค์รัชทายาททำแบบนี้ เขามิรู้จริงๆว่า หนานหลิงจิ่งฝานไปเอาความมั่นใจมาจากไหน เพราะรู้อยู่แล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินอย่างไรเสียก็ใช้วิธีการประนีประนอม

หรือหนานหลิงจิ่งฝานอาจคิดว่า ช่วงนี้เสด็จอาเก้ายังคงอยู่ในช่วงรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บ?ก็เคยต้องการคุกคามเฟิ่งชิงเฉิน?

ไร้เดียงสาเสียจริง!

“ช่างกล้าพูด ไปบอกหนานหลิงจิ่งฝานว่าหากต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินรักษาซูหว่านนั้นได้ แต่ต้องเอาเย่เฉิงมาเป็นค่ารักษา แล้วก็บอกเขาเสียว่า ข้าเป็นคนพูด หากมีอะไรมิพึงพอใจ ให้มาหาข้า” เสด็จอาเก้าพูดจยกฌลุงขึ้น พร้อมส่งองค์รัชทายาท เขามิรู้ว่าองค์รัชทายาทจะไปบอกหนานหลิงจิ่งฝานอย่างไร เพราะนั่นมิใช่เรื่องที่เขาต้องเป็นกังวล

“หลานเข้าใจแล้ว งั้นหลานขอตัวก่อน” องค์รัชทายาทรู้ว่าเรื่องนี้ต้องแจ้งให้เสด็จอาเก้าทราบก่อน หากเสด็จอาเก้าตัดสินใจว่าไม่แล้วนั้น ก็คงมิต้องพูดอะไรต่อ

หนานหลิงจิ่งฝานคงต้องพึ่งดวงแล้วสินะ แล้วอย่ามาโทษข้า ถ้าโทษก็ต้องโทษตัวเอง

องค์รัชทายาทกำลังจะออกไป เฟิ่งชิงเฉินก็มาถึงพอดี คนที่จวนอ๋องเก้าต่างรู้สึกตกใจที่นางมาที่นี่ เพราะหากมิมีเรื่องอันใด เฟิ่งชิงเฉินก็คงมิมาที่จวนอ๋องเก้า

ผู้คนที่จวนอ๋องเก้าให้การต้อนรับเฟิ่งชิงเฉินเช่นเดียวกับองค์รัชทายาท

ที่ทำเช่นนี้เพื่อเพราะตั้งแต่วันที่เฟิ่งชิงเฉินสวมชุดพระชายาอ๋องเก้าออกไปจากจวนอ๋องเก้า ทุกคนที่จวนอ๋องเก้าก็ต้อนรับนางอย่างดี ผู้ดูแลจวนพาเฟิ่งชิงเฉินไปส่งยังห้องทำงานของเสด็จอาเก้า

ใช่แล้ว มิใช่ห้องรับแขก แต่เป็นห้องทำงาน ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมชิดเชื้อ

เห้อ……เมื่อผู้ดูแลจวนออกไป เฟิ่งชิงเฉินก็ถอนหายใจ สายตาของผู้ดูแลจวนดูเหมือนว่าเธอคือกระต่ายน้อยที่พร้อมมาเป็นเหยื่อของหมาป่า

ผู้ดูแลจวนคิดว่านางมาที่นี่เพื่อเรื่องอย่างนั้นหรือ? คิดมากเกินไปแล้ว…… ตราบใดที่พ่อแม่ของนางยังมิได้ฝัง เสด็จอาเก้าก็คงมิกล้าทำอะไร

“มีอะไรหรือ?” เสด็จอาเก้าเงยหน้ามองเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังเช็ดเหงื่อ จึงคิดว่านางเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนาง สายตาของนางจ้องกลับไปที่เสด็จอาเก้าจนเขาต้องหลบสายตา

สายตาที่ดุทรงพลัง เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า “มิมีเรื่องอันใด”

เสด็จอาเก้ายิ่งสงสัย เพราะนางมาที่นี่น้อยครั้งมาก

“มิมีอะไร? มิมีอะไรแล้วใยมาถึงที่จวนอ๋องเก้า?หรือจะมาหาข้า? ข้ามิได้คิดผิดไปใช่ไหม?” เสด็จอาเก้าขมวดคิ้ว เพราะไม่เชื่อคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน

เห้อ……เฟิ่งชิงเฉินพยายามหาคำตอบ แต่ก็พูดอะไรมิออก

เพราะถ้านางมิมีเรื่อง จะมาที่จวนอ๋องเก้าทำไม?

เฟิ่งชิงเฉินมิพูดอะไร เขาก็ไม่ได้ร้อนใจที่จะถาม ในมือถือกระดาษ และใส่ไปในกระบอกไม้ไผ่ เสด็จอาเก้าลุกขึ้นและเดินเข้าไปหาเฟิ่งชิงฉิน เขานั่งข้างๆเฟิ่งชิงเฉิน “พูดมาเถอ ว่ามีเรื่องอันใด”

เอ๊ะ ทำไมคำพูดนี้มันดูแปลกๆ ราวกับนางเป็นเด็กที่มาฟ้องผู้ใหญ่?

เฟิ่งชิงเฉินมิพอใจเล็กน้อย “ต้องให้มีเรื่องถึงจะมาหาเจ้าได้งั้นเหรอ?”

เห็นนางเป็นคนอย่างไรกันแน่? หากมีเรื่องนางก็จะแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง มิไปรบกวนคนอื่น โดยเฉพาะเสด็จอาเก้า

“มิใช่แบบนั้น ที่เจ้ามาหาข้ามันต้องมีเรื่องสักอันใดสักอย่าง เพราะถ้าเจ้าไม่มีเรื่องเจ้ามิมีทางมาหาข้าแน่ๆ” คำพูดของเสด็จอาเก้ารอบนี้แสดงให้เห็นว่าเขาน้อยใจ

เขาชอบเฟิ่งชิงเฉินในแบบนี้ก็จริง แต่ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินทำให้เขาลำบากใจ การที่เขาพูดแบบนี้ ก็เพราะแม้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมีเรื่องลำบาก ก็ไม่เคยที่จะมาหาเขา

เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นเขาเป็นที่พึ่ง เพราะถ้านางไม่มีเขา นางก็ยังเอาชีวิตรอดไปได้อย่างดี……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท