ต่อให้เป็นเรื่องเจ้าปัญหาหรือจนเจ้าปัญหาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเพราะจิตใจอันแน่วแน่ของเจ้า ต่อให้เจ้าไม่อยากเผชิญหน้ามากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องเงยหน้าเพื่อเผชิญกับมันอยู่ดี
เมื่อส่งซูเหวินชิงกลับไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเรียกทงจือกับทงเหยาเข้ามา ถามพวกนางว่าเกิดเรื่องขึ้นกับตระกูลหยุนหรือเปล่า
ผลลัพธ์คือ……
เป็นเหมือนที่เฟิ่งชิงเฉินเดา ตอนนี้ตระกูลหยุนกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอันยิ่งใหญ่ และหยุนเซียวก็น่าจะกำลังร้อนรนเป็นอย่างมาก
จักรพรรดิประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ให้กับตระกูลชุย หาตระกูลชุยซึ่งซ่อนอยู่ในความมืดไม่พบ และไม่เต็มใจจะรับความสูญเสียครั้งนี้ เขาจึงตามหาผู้มีความสัมพันธ์กับตระกูลชุย ตระกูลหยุนซึ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอะไรกับตระกูลชุยมากมายจึงถูกเปิดศึก
จักรพรรดิร่วมมือกับหนานหลิง เป่ยหลิง และซีหลิง ทั้งสี่ประเทศร่วมกันเพิ่มแรงกดดันให้กับตระกูลหยุน สั่งให้ตระกูลหยุนเตรียมวัตถุดิบยาทุกอย่างที่ใช้ในการบรรเทาภัยพิบัติครั้งนี้โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ใช่ เตรียมทั้งหมดโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
หากแค่ประเทศเดียว ตระกูลหยุนสามารถหันไปพึ่งพาเมืองหยุนเพื่อเพิกเฉยต่อคำขอดังกล่าว หรือไม่ก็เรียกเก็บค่าใช้จ่าย แต่นี่เป็นการร่วมมือกันของสี่ประเทศ ต่อให้ตระกูลหยุนร่วมมือกับเมืองหยุนก็ยังไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้ เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจอันยิ่งใหญ่ของประเทศ ต่อให้ตระกูลมีความแข็งแกร่งแค่ไหนมันก็มีขีดจำกัด
นี่เป็นการร่วมมือกันของสี่ประเทศ ไม่ต้องพูดถึงตระกูลหยุนเลย ต่อให้เป็นตระกูลชุยกับตระกูลหวังร่วมมือกันยังต้านไว้ไม่ได้
“ตระกูลหยุนกลายเป็นแพะรับบาป แล้วตระกูลชุยละ? ตระกูลชุยได้เคลื่อนไหวอะไรหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินเห็นใจตระกูลหยุนอย่างจริงใจ ตระกูลหยุนกลายเป็นแพะรับบาปโดยที่ตนเองไม่ได้ทำอะไร แต่ใครใช้ให้ตระกูลหยุนเป็นตระกูลที่ทำการค้าเกี่ยวกับวัตถุดิบยาที่ใหญ่ที่สุดในจิ่วโจว ในเวลานี้จักรพรรดิทั้งสี่ร่วมมือกันเพื่อกลั่นแกล้งตระกูลหยุนจึงเป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้
“ไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด การกระทำของจักรพรรดิทั้งสี่ในครั้งนี้ไม่ได้ทำลายถึงรากฐานของตระกูลหยุน เพียงแต่ทำให้ตระกูลหยุนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้พักหนึ่งเท่านั้น หลังจากเรื่องนี้พลังของตระกูลหยุนจำลดลงเป็นอย่างมาก แต่ไม่ถึงกับทำให้รากฐานของตระกูลอี้สั่นคลอน ดังนั้นตระกูลชุยจึงไม่เคลื่อนไหว”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ จักรพรรดิทั้งสี่แค่ทำการตักเตือนเท่านั้น ทำให้ตระกูลหยุนกระอักเลือด และสูญเสียสมดุลในการพัฒนา ไม่ได้ต้องการถอนรากถอนโคนของตระกูลหยุน เพื่อระงับความโกรธของทั้งสี่ประเทศ ตระกูลชุยจึงทำได้แค่เฝ้ามอง
“จับตาดูตระกูลหยุนต่อไป มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นให้รีบรายงานข้าทันที อีกเรื่องหนึ่ง แผนการลอบเข้าไปในเมืองเย่เฉิงเป็นอย่างไรบ้าง?” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ ตอนนี้ไม่ต้องพูดว่านางไม่มีกำลังมากพอ ถึงต่อให้นางมีกำลังมากพอก็ไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยตระกูลหยุนได้ ตอนนี้จักรพรรดิกำลังโกรธ เมื่อไฟแห่งความโกรธมอดลงเท่านั้นก็จบเรื่อง
ตระกูลหยุนยอมรับความโชคร้ายในครั้งนี้เถิด!
“ตระกูลเย่บริหารเมืองเย่เฉิงนานเกินไป ผู้บริหารประเทศอ่อนแอ ในรุ่นของเย่เย่ มีแค่เย่เย่เพียงคนเดียวที่เป็นผู้สืบทอด คนของพวกเราไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ ตอนนี้จึงยังไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใด” ทงจือและทงเหยาก้มหน้าพร้อมกับ ในเวลานี้ต่อให้อธิบายออกไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินเข้าใจ เมืองที่เก่าแก่อย่างเมืองเย่ แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้สั่นคลอนได้โดยง่าย นางแค่มีความคิดที่จะลอง ผลลัพธ์ยังไม่ชัดเจนก็ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไป
“แล้วตระกูลลู่แห่งซานตงเป็นอย่างไรบ้าง? ในฐานะตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในซานตง มีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะหาช่องโหว่ได้ง่ายถึงจะถูก” เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจ ต่อให้เมืองจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถต้านทานการทำลายจากภายในได้ สำหรับการต่อสู้กับเมืองเย่และตระกูลลู่แห่งซานตง เสด็จอาเก้ามีกลยุทธ์ของเสด็จอาเก้า ส่วนนางก็มีวิธีของนาง
“เรื่องนี้เป็นไปตามการคาดเดาของท่าน พวกเราหาคนที่สามารถร่วมมือได้คนหนึ่ง ตระกูลลู่แห่งซานตงเข้มงวดมากกับสายเลือดตรง พวกเขาไม่อนุญาตให้นางสนมเข้าไปวุ่นวายภายใน และเมื่อเห็นว่าเข้มงวดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสามารถทำให้วุ่นวายได้ง่ายมากเท่านั้น โจรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในซานตงก็เป็นลูกนอกสมรสของตระกูลลู่แห่งซานตง เขาต่อสู้กับตระกูลลู่แห่งซานตงมาโดยตลอด” ทงจือขยับคิ้ว ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ
นางเองก็คิดไม่ถึงเลยว่า การตามหาโดยไม่มีหลักการของพวกนาง กลับสามารถทำให้พวกนางได้พบกับคนที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริง
“ลูกนอกสมรส? ตระกูลที่มั่งคั่งมีของพวกนี้มากที่สุด อย่าเพิ่งไปทำให้เขาตื่นตระหนก พวกเราคอยจับตาดูไปก่อน” จู่ๆเฟิ่งชิงเฉินก็พบว่าชาติที่แล้วนางเองก็เหมือนลูกนอกสมรส แต่นางเลือกที่จะทิ้งคนในครอบครัว มากกว่าที่จะต่อต้านมัน
“เข้าใจแล้ว ข้าจะบอกให้คนพวกนั้นระวังตัวให้มากขึ้น ไม่ให้พวกเขาเปิดเผยตัวตน” ทงจือต้องค้นหาข้อมูลของตระกูลลู่แห่งซานตง แน่นอนว่าไม่มีทางเลี้ยงหรือใช้คนในพื้นที่ ทงจือได้สั่งให้ลูกน้องไปแฝงตัวเป็นพ่อค้าในเมือง ทำการค้าขายในซานตง ด้วยสถานะของพ่อค้า ทำให้ง่ายต่อการคลายความสงสัยของคนในท้องถิ่น
เจ้านายและลูกน้องทั้งสามคนกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการหาช่องโหว่ของตระกูลเย่ ในตอนนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น “คุณหนู”
เสียงของชุนฮุ่ยดังขึ้นจากด้านนอก
“เข้ามา”
ในมือของชุนฮุ่ยถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ผูกไว้ด้วยดิ้นสีทองพร้อมเดินเข้ามา “คุณหนู องค์รัชทายาทหนานหลิงจิ่นสิงสั่งให้คนนำจดหมายมาให้ บอกว่าจะมาเยี่ยมคุณหนูในตอนบ่ายของวันพรุ่งนี้”
ชุนฮุ่ยมอบจดหมายให้กับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งอยู่ตรงหน้าด้วยความเคารพ ใบหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม สามารถทำให้องค์รัชทายาทของประเทศหนึ่งมาเยี่ยมเยือนที่จวนด้วยตนเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะได้รับ
“หนานหลิงจิ่นสิง? เขาไม่ได้เพิ่งมาถึงในวันพรุ่งนี้งั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรับจดหมายมา จากนั้นเปิดออก……
มังกรโบยบิน สายลมเต้นระบำ ลายพู่กันอ่อนโยนและตัวอักษรกลับเฉียบคม เฟิ่งชิงเฉินราวกับได้เห็นโจวสิงที่กลายเป็นองค์รัชทายาท
ตัวอักษรงดงาม เนื้อหาเป็นทางการ เหมือนเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูตของสองประเทศ เฟิ่งชิงเฉินมองแค่แวบเดียวก็ไม่มองมันอีกแล้ว
“ใช่เพคะ ผู้ส่งสารกล่าวว่าองค์รัชทายาทโจวสิงจะมาเยี่ยมคุณหนูทันทีเมื่อถึงตงหลิง หากมีอะไรผิดพลาด ขอแม่นางโปรดยกโทษให้ข้าด้วย” หรือพูดอีกอย่างก็คือ เมื่อมาถึงพระราชวังตงหลิง แม้แต่จักรพรรดิ หนานหลิงจิ่นสิงยังไม่เข้าเฝ้า เขาเลือกจะมาพบเฟิ่งชิงเฉินก่อน จะเห็นได้ว่า……
ในใจของหนานหลิงจิ่นสิงตำแหน่งของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ได้สูงส่งเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
แน่นอนว่านี่คือความฉลาดของหนานหลิงจิ่นสิงเขาถูกส่งไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงโดยเสด็จอาเก้า หากกล้าว่าเขาได้รับความช่วยเหลือจากใครในตงหลิง นั่นก็น่าจะเป็นเสด็จอาเก้า
แต่ครั้งนี้เขาได้รับคำเชิญจากจักรพรรดิตงหลิงให้มายังพระราชวัง หากเขาเข้าไปยังพระราชวังก่อน นั่นเท่ากับว่าเขาเป็นศัตรูกับเสด็จอาเก้า เห็นได้ชัดหนานหลิงจิ่นสิงไม่มีความคิดเช่นนั้น ดังนั้น……
เมื่อเขามาถึงพระราชวัง เขาก็มาเยี่ยมเฟิ่งชิงเฉินทันที นี่เป็นการบอกว่าเขาไม่เคยลืมนาง นอกจากนั้นยังเป็นการบอกจักรพรรดิกับเสด็จอาเก้าอีกว่า จุดยืนของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง
การมาเยี่ยมในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องมากมาย โจวสิงไม่ใช่โจวสิงคนเดิมอย่างที่คิด เฟิ่งชิงเฉินปิดบัตรเชิญแล้ววางไว้ด้านข้าง “สั่งออกไป พรุ่งนี้ให้ทำการต้อนรับหนานหลิงจิ่นสิงเป็นอย่างดี อย่าให้เสียมารยาทเป็นอันขาด”
เฟิ่งชิงเฉินโอบกอดความกังวลไว้ในหัวใจ ดูจากสภาพแล้วเหมือนไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้
“เพคะ คุณหนู” ชุนฮุ่ยเห็นท่าทางที่ไม่มีความดีใจเลยแม้แต่น้อยของเฟิ่งชิงเฉิน ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไร ถอยกลับไปด้วยความกลัว
ทงจือและทงเหยาไม่กล้าพูดอะไรเมื่อเห็นสภาพของเฟิ่งชิงเฉินในตอนนี้ ทั้งสองมองหน้ากัน กล่าวออกมาด้วยเสียงเบา “คุณหนู?”
“พวกเจ้าออกไปก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกัน เรื่องไหนไม่สำคัญพวกเจ้าก็จัดการได้เลย” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือด้วยความเหนื่อยล้า
ตั้งแต่เสด็จอาเก้าได้บอกกับนาง บอกว่าหนานหลิงจิ่นสิงจะเดินทางมายังตงหลิง นางร้อนใจไม่เป็นสุขในทันที ไม่รู้ว่าจะต้องไปพบเขาหรือไม่ แต่ตอนนี้รู้แล้ว…..
ไม่ว่านางต้องการออกไปพบหรือไม่ สุดท้ายนางก็ต้องออกไปพบอยู่ดี หนานหลิงจิ่นสิงไม่ได้มอบโอกาสให้นางปฏิเสธตั้งแต่แรก เขาใช้ฐานะขององค์รัชทายาทให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ยังคงเป็นคำพูดเดิม ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่มีความสุข วันต่อมานางต้องทำร่างกายให้ตื่นตัว ต้อนรับการมาของหนานหลิงจิ่นสิง ในขณะเดียวกันต้องเสริมความปลอดภัยให้จวนเฟิ่ง
การเสด็จมาแบบธรรมดากับเสด็จมาอย่างเป็นทางการนั้นแตกต่างกัน การเสด็จเยี่ยมแบบธรรมดานั้นทุกอย่างจะเรียบง่าย แต่เมื่อเป็นทางการทุกอย่างจำเป็นต้องทำตามธรรมเนียม หากละเลยหรือเสียมารยาทต่อองค์รัชทายาท แผนกพิธีการไม่มีทางปล่อยนางไปแน่
ฐานะของหนานหลิงจิ่นสิงนั้นพิเศษ หากจบชีวิตลงในตงหลิง จบชีวิตลงในจวนเฟิ่ง แบบนั้นตระกูลเฟิ่งก็คงหมดหนทางมีชีวิตอยู่
เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ไม่ดี คนรับใช้ในจวนเฟิ่งจึงทำอะไรอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าทำอะไรผิดพลาด ทุกคนตึงเครียดราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู ชิวฮว่า ชุนฮุ่ย เซี่ยหว่านและตงชิงไม่รู้สถานะของหนานหลิงจิ่นสิง ทงจือและทงเหยาพอรู้บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเฟิ่งชิงเฉินไม่พูดชุนฮุ่ยจะกล้าถามออกมาได้อย่างไร ทงจือและทงเหยาเองก็ไม่กล้าพูดออกมาเช่นกัน
เที่ยงวันผ่านไป เฟิ่งชิงเฉินต้องการพักผ่อนเล็กน้อย เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือหนานหลิงจิ่นสิง ผลที่ออกมาคือ…..ยังไม่ทันเดินออกจากสวน คนรับใช้ในจวนก็วิ่งมาอย่างร้อนรน “คุณหนู คุณหนู องค์รัชทายาทแห่งหนานหลิงเสด็จมาถึงแล้ว พวกเขาเข้าเมืองมาแล้ว อีกประมาณ 15 นาทีน่าจะเสด็จมาถึง”
“ข้ารู้แล้ว” เฟิ่งชิงเฉินจัดเครื่องแต่งกายของตนเอง เดินออกไปด้านนอกพร้อมกับสั่งให้คนรับใช้ทุกคนในจวนมารวมตัวกันเพื่อออกไปต้อนรับหนานหลิงจิ่นสิงด้านหน้าประตูทางเข้า
น่าขันยิ่งนัก เดิมทีคนผู้นั้นเติบโตขึ้นจากการเลี้ยงดูของพี่สาวอย่างนาง พี่สาวยังเรียกเขาว่าเด็กน้อยอยู่เลย แต่เพราะสถานะที่เปลี่ยนไป กลับมาที่จวนเฟิ่งอีกครั้ง นางต้องพาคนรับใช้ในจวนเฟิ่งออกไปคุกเข่าต้อนรับถึงหน้าประตู
ผ่านไปพักหนึ่ง ลมหนาวอันเยือกเย็นยังคงพัดผ่าน เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าตนเองยืนรออยู่หน้าประตูนานแค่ไหน รู้อย่างเดียวว่ามันหนาวมาก……
เมื่อเห็นขบวนเคลื่อนที่เข้ามาจากทางด้านหน้า สติของเฟิ่งชิงเฉินถึงคืนกลับมา เมื่อขบวนของหนานหลิงจิ่นสิงปรากฏออกมาอย่างชัดเจนตรงมุมเขาน้ำแข็ง คนของตระกูลเฟิ่งยกเว้นซุนซือสิง คุกเข่าลงบนพื้นอันเยือกเย็นภายใต้การนำของเฟิ่งชิงเฉิน เพื่อเป็นการรับเสด็จหนานหลิงจิ่นสิง
ความรู้สึกของหนานหลิงจิ่นสิงในตอนนี้ เขาอยากกลับบ้านเป็นอย่างมาก ในใจของเขาจวนเฟิ่งคือบ้านอีกหลังหนึ่งของเขา เฟิ่งชิงเฉินเป็นญาติพี่น้องในสายเลือดของเขา เขารอเวลานี้มานานมากแล้ว……
วันนี้การรับเสด็จนั้นยิ่งใหญ่มาก มีคนตามเสด็จมากกว่าพันคน เป็นขบวนทหารซึ่งทอดยาวออกไป นี่เป็นเหตุผลทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องคุกเข่าเป็นเวลานานหนานหลิงจิ่นสิงถึงเสด็จมาถึงด้านหน้าประตู
หนานหลิงจิ่นสิงเสด็จมาจวนเฟิ่งในวันนี้ เขากลับมาด้วยความรู้สึกโหยหาบ้านอันเป็นที่รัก เขาอยากให้เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นว่าเขาในตอนนี้ไม่ใช่เด็กที่คอยเอาแต่หลับซ่อนอยู่ใต้ร่มเงาของเฟิ่งชิงเฉินถึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้
เขาในตอนนี้ไม่ใช่แค่มีพลังในการปกป้องตนเอง แต่ยังสามารถปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้ด้วย
เห็นเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังคุกเข่าอยู่ไกลๆ ดวงตาของหนานหลิงจิ่นสิงเต็มไปด้วยความโกรธ เขาเรียกเสนาธิการทหารมาทันที “เจ้าถ่ายทอดคำสั่งของใครออกไป ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าให้คนขอจวนเฟิ่งออกมาต้อนรับ ข้าอธิบายออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้จวนเฟิ่งต้อนรับอย่างเรียบง่าย พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือไง ให้พวกเขาลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”
“พะยะค่ะ พะยะค่ะ” เสนาธิการทหารได้ยินเช่นนั้น เหงื่อบนหน้าผากไหลออกมาทันที รีบลุกขึ้นวิ่งไปด้านหน้า ไปถ่ายทดอดคำสั่งให้เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นด้วยตัวเอง
ตอนแรกเฟิ่งชิงเฉินผงะ หลังจากนั้นส่ายหน้าและกล่าวว่า “ธรรมเนียมไม่สามารถละเลยได้ พระองค์ใกล้เสด็จมาถึงแล้ว”
ฮึ คุกเข่ามานานขนาดนี้แล้วเพิ่งมาบอก หากนางลุกขึ้นในตอนนี้ เจ้าหน้าที่ของตงหลิงเหล่านั้นอาจจะบอกว่านางเย่อหยิ่ง และไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียม
“แต่ว่า แต่ว่า ฝ่าบาทเขา……” เสนาธิการทหารแทบจะร้องออกมา ต้องการก้าวเข้ามาเพื่อประคองเฟิ่งชิงเฉินขึ้น แต่เป็นผู้ชายจะทำเช่นนั้นกับผู้หญิงไม่ได้
“ข้าจะอธิบายให้ฝ่าบาทเข้าใจเอง ท่านไม่ต้องกังวล” เฟิ่งชิงเฉินยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น ไม่มีความคิดจะลุกขึ้นมา
หนานหลิงจิ่นสิงจ้องมองการเคลื่อนไหวทางด้านเฟิ่งชิงเฉินอยู่ตลอดเวลา เห็นเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่ลุกขึ้นยืน เขารู้ทันทีว่านางจะไม่ลุก เขาลุกขึ้นโดยไม่สนใจองครักษ์ที่อยู่รอบๆและวิ่งไปด้านหน้าทันที……
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท……”