อย่างไรสนมเอกเซี่่ยก็มิมีทางสดสวยใสดั่งเดิมได้ และมิมีทางที่จะงามไปกว่าหญิงที่เข้ามาในวังใหม่ๆ แต่เมื่อจักรพรรดิเดินเข้ามาเห็นก็ต้องตกตะลึง ว่าสาวงามคนดังกล่าวคือสนมเอกเซี่ย……
จักรพรรดิทรงมิได้คำนึงเลยว่า มิเจอเพียงมิกี่เดือน พระสนมของพระองค์จะมีเสน่ห์เช่นนี้ แต่จักรพรรดิก็ยับยั้งชั่งใจเอาไว้ พระองค์ทางได้แต่มองไปที่ท้องของสนมเอกเซี่ย ทรงเอื้อนเอ่ยวาจาเล็กน้อย จากนั้นก็ทรงลุกและออกไป
ในพระราชวังมีผู้หญิงสวยๆ มากมาย พระองค์มีตัวเลือกมากมาย ซึ่งการที่จักรพรรดิทำเช่นนี้นั้นเป็นการทำร้ายจิตใจสนมเอกเซี่ยเป็นอย่างมาก
“จักรพรรดิ…” สนมเอกเซี่ยมิอยากเชื่อเลยว่าจักรพรรดิทรงมิแยแสกับนาง หนำซ้ำยังมิสนใจนางอีกด้วย……
“อ๊า…” สนมเอกเซี่ยโยนข้าวของในตำหนักจาวเยี่ยนด้วยความโกรธ
“นังผู้หญิงพวกนั้น ข้ามิมีทางจะปล่อยพวกเจ้าไป มิมีทาง” สนมเอกเซี่ยลืมไปเสียแล้วว่านางได้กลับมาสวยงามดังเดิมเหมือนกับหลายปีก่อนแล้ว และตอนนี้ที่นี่มิได้มีนางอยู่แต่เพียงผู้เดียว แต่…..ในท้องของนางก็ยังมีลูกน้อยที่มิได้พิเศษอะไรอีกต่อไป
พระราชวังแห่งนี้จะมีเด็กเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และการต่อสู้ชิงเด่นชิงดีในพระราชวังก็จะยิ่งทวีคูณขึ้น ตอนนั้นมิใช่แค่สนามเอกเซี่ยที่จะปวดหัว แต่คนที่จะปวดหัวกว่าคือองค์จักรพรรดิ
“พระสนมอย่าทรงโกรธเลย พระองค์ต้องถนอมพระวรกายไว้” นางกำนัลกำลังจะร้องไห้ออกมา เจ้านายของนางมิมีทางทำอะไรได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องใจเย็นและอดทน .
“ดูแลตัวเองแล้วมีประโยชน์อะไร ข้าอยากเจอเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินต้องมีวิธี นางมีวิธีที่ทำให้ข้ากลับมาสวยสดใสดังเดิมได้ เจ้าฟังข้า ไม่ว่าวิธีใด ข้าต้องการเจอกับเฟิ่งชิงเฉิน ……”
การมาของจักรพรรดิทำให้สนมเอกเซี่ยใจสลาย นางจึงต้องการพบกับเฟิ่งชิงเฉิน แต่นั่นก็มิใช่นางคนเดียวที่อยากพบกับเฟิ่งชิงเฉิน
“ท่านพี่ เฟิ่งชิงเฉินมิมีทางมาพบข้า ข้าเป็นเยี่ยงนี้ คงมิเหมาะนักที่จะออกไปข้างนอก พวกเขาคงมิให้ข้าออกไป” แต่เมื่อองค์หญิงเหยาหวาได้ยินแผนการของซีหลิงเทียนเหล่ย ก็รู้สึกหวั่น!
องค์หญิงเหยาหวาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้อยู่ในท้องของเฑอ แต่ก็มิได้ เพราะถ้า… ลูกของนางถูกเฟิ่งชิงเฉินทำแท้งออกไป นั่นมันแสดงว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังฆ่าทายาทของราชวงศ์
วิธีการกำจัดเด็กแบบนี้ื มันทำร้ายเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นต้องทำอย่างไรดี
“ลองคิดดู ถ้าเจ้าเก็บลูกเจ้าไว้ มันก็จะเป็นการตราหน้าจักรพรรดิตงหลิง” ซีหลิงเเทียนเหล่ยเริ่มหมดความอดทนกับองค์หญิงเหยาหวา และมันไม่มีทาง……
เหยาหวาเป็นแค่ภาระของเขา ถ้าเขาไม่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ของพี่น้อง เขาจะไม่สนใจเรื่องความเป็นความตายของเฟิ่งชิงเฉินเลย
“ข้ามิต้องการ ข้ามิต้องการ ข้ามิอยากได้เจ้าเด็กคนนี้” องค์หญิงเหยาหวาทุบไปที่ท้องอย่างโกรธเกรี้ยว
เดิมทีนางต้องการกำจัดเด็กแบบลับๆ แต่ซีหลิงเทียนอวี่พบเข้า ทำให้นางมิกล้าที่จะทำเยี่ยงใดต่อเลย
หากนางกำจัดเด็กคนนี้ จักรพรรดิตงหลิงจะมิมีวันให้อภัยนาง
“ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการลูกคนนี้ ก็จงหาทางเข้าใกล้เฟิ่งชิงเฉิน แม้ว่าเจ้ามิได้สมรสกับตงหลิงจื่อชุน แต่เจ้าก็ยังเป็นคู่หมั้นเขา ตอนนี้เจ้ายังมิได้เข้าพิธี จึงออกไปไหนมิได้ หากจะออกไป ก็คงต้องให้ตงหลิงจื่อชุนพาไป” ซีหลิงเทียนเหล่ยคิดว่าสำหรับหญิงที่กำลังสมรสคนหนึ่งจะออกไปด้านนอกมันจะเป็นเรื่องใหญ่
“เขาจะพาข้าออกไปไหม?” องค์หญิงเหยาหวาสงสัย นางกับตงหลิงจื่อชุนมิลงรอยกัน นางมิได้ต้องการเสกสมรสกับตงหลิงจื่อชุน และตงหลิงจื่อชุนก็มิอยากสมรสกับนางเช่นกัน
ซีหลิงเทียนเหล่ยยิ้ม “บางเรื่องเขาอาจมิเต็มใจ แต่ถ้าเรื่องเกี่ยวข้องกับเฟิ่งชิงเฉินหล่ะก็ เขาต้องยอมแน่ๆ เขาชอบเฟิ่งชิงเฉินมิใช่หรือ เจ้าก็แค่ให้โอกาสเขาไปพบกับเฟิ่งชิงเฉิน”
เพื่อเอาใจซีหลิง จักรพรรดิจึงสั่งห้ามมิให้ตงหลิงจื่อชุนก้าวย่างไปแห่งหนใด สั่งให้คนจับตาดูเขาตลอด และมิให้เขาพบกับเฟิ่งชิงเฉิน เพราะเกรงว่าเขาจะสร้างปัญหาขึ้น
“พรุ่งนี้ พรุ่งนี้เป็นงานศพของพ่อกับแม่เฟิ่งชิงเฉิน ถ้าข้าบอกว่า ขอให้เขาไปร่วมงาน เขาต้องตอบตกลงแน่ๆ” องค์หญิงเหยาหวายิ้ม ด้วยสีหน้าเย็นชา
“องค์จักรพรรดิคงเห็นแก่เจ้า และก็คงต้องทรงอนุญาต เฟิ่งชิงเฉินมิทราบว่าเจ้าท้อง นางจะไม่สนใจ แค่หาโอกาสเข้าใกล้นาง เรื่องแบบนี้ข้าคงมิต้องสอนหรอกนะ?” ซีหลิงเทียนเหล่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่านพี่ มิต้องกังวล ข้าเข้าใจดี” ดวงตาขององค์หญิงเหยาหวาเป็นประกาย นางพร้อมประจันหน้ากับเฟิ่งชิงเฉิน “ เข้าใจก็ดีแล้ว งั้นข้าต้องไปก่อน ดูแลตัวเองด้วย” คำพูดของซีหลิงเทียนเหล่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่เหยาหวามิได้ตอบโต้อะไร นางได้แต่ยิ้มรับและขอบคุณ
เมื่อออกมา ซีหลิงเทียนเหล่ยก็พบกับซีหลิงเทียนอวี่ เขาเดินเข้าไปทักทาย
“พิธีเสกสมรสของเหยาหวาก็ใกล้เข้ามาแล้ว เทียนอวี่คงต้องเหนื่อยหน่อยนะ” ซีหลิงเทียนเหล่ยพูดแบบนั้นก็มิได้ได้ทำให้ซีหลิงเทียนอวี่โกรธแต่อย่างใด เขาได้แต่ยิ้มให้
แต่หลังจากที่ซีหลิงเทียนเหล่ยเดินออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของซีหลิงเทียนอวี่ก็หายไป เขาหันไปคนรับใช้ตรงนั้นว่า “องค์ชายและองค์หญิงเหยาหวาพูดอะไรกัน?”
“องค์ชายให้ข้าออกมา ข้าน้อยมิสามารถเข้าใกล้พวกเขาได้ องค์ชายและองค์หญิงเหยาหวาพูดคุยกันครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นนางกำนัลขององค์หญิงก็ไปยังตำหนักของชุนอ๋อง ” คนที่เฝ้าสังเกตการณ์ตรงนั้น รายงานให้รับทราบ
“จับตาดูนางไว้ อย่าปล่อยให้นางสร้างปัญหา”
การมาของซีหลิงเทียนเหล่ย กับพฤติกรรมที่ผิดปกติขององค์หญิงเหยาหวา ทำให้ซีหลิงเทียนอวี่กังวลใจ และยิ่งส่งคนไปที่ตำหนักของชุนอ๋อง ความกังวลมันยิ่งทวีมากขึ้น
ผิดปกติมาก!
อยู่ตงหลิงมาก็นาน มิเคยเห็นเหยาหวาไปพบชุนอ๋อง แต่พอซีหลิงเทียนเหล่ยมา นางกลับไปพบชุนอ๋อง เรื่องนี้มันชอบกลนัก แต่ซีหลิงเทียนอวี่ก็ยังหาข้อมูลมิได้
จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นชุนอ๋องก็มาบอกว่าจะพาองค์หญิงเหยาหวาไปร่วมงานศพของพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน ซีหลิงเทียนอวี่จึงเข้าใจได้แล้วว่าเหยาหวากำลังจะทำอะไร และเขาคิดว่าเหยาหวาคงมิทำเรื่องใหญ่อะไรนัก
ชุนอ๋องยังบอกอีกว่าจักรพรรดิทรงอนุญาตแล้ว ซีหลิงเทียนอวี่จึงยั้งมิได้ เขาจึงยินยอมให้เหยาหวาออกไป
เหยาหวาแต่งกายด้วยชุดสีขาว มีดอกไม้สีขาวเล็กๆ ติดอยู่บนหัว สายตามุ่งมั่น นางรู้สึกว่า นางพร้อมแล้ว
ความสดใสน่ารักของนางสะกดสายตาชุนอ๋อง และซีหลิงเทียนอวี่
เหยาหวาสง่างามและมีเกียรติ พวกเขาไม่เคยเห็นเหยาหวาดูอ่อนช้อยแบบนี้ ถ้า……ซีหลิงเทียนเหล่ยมิได้เข้ามาเมื่อวาน ซีหลิงเทียนอวี่ก็คงคิดว่าเหยาหวาไปงานศพพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉินด้วยความจริงใจ
แต่ตอนนี้…… ยิ่งเหยาหวาทำตัวปกติมากขึ้นเท่าไหร่ ซีหลิงเทียนอวี่ก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น และเขาเสนอตัวกับชุนอ๋องว่าจะไปด้วย ทั้งสามจึงออกเดินทางไปพร้อมกัน
ถ้าเขาจับตาอยู่ เหยาหวาคงมิทำให้เกิดเรื่องวุ่น
เมื่อถึงยังงาน เฟิ่งชิงเฉินสวมชุดขาว เดินเคลื่อนโลงศพออกมา หน้าที่เคลื่อนโลงอันที่จริงควรเป็นหน้าที่ของผู้ชาย แต่ตระกูลของเฟิ่งชิงเฉิน มีนางเพียงตัวคนเดียว ดังนั้นหน้าที่เคลื่อนโลงศพจึงเป็นหน้าที่ของนาง
ซุนซือสิงเสนอตัวเข้ามาช่วยเคลื่อนโลงศพ แต่นางปฏิเสธ เพราะมันควรเป็นหน้าที่ของนาง นางต้องเคลื่อนโลงศพเพื่อได้ส่งพ่อกับแม่ของนางเป็นครั้งสุดท้าย
ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพอากาศหรือเพราะว่านางต้องส่งร่างของพ่อแม่ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่มืดมนและหดหู่ เต็มไปด้วยความทุกข์ใจ
สำหรับงานศพของแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยิน องค์จักรพรรดิสั่งให้สำนักพิธีการจัดพิธีศพให้ องค์รัชทายาชยังตรัสด้วยว่าจะมาส่งแม่ทัพเฟิ่งและเฟิ่งฮูหยินด้วยตัวเอง แต่เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธไป
นางไม่ต้องการขอความช่วยเหลือจากสำนักพิธีการ และไม่ได้บอกรัชทายาทด้วยว่าพ่อแม่ของนางจะทำพิธีฝังในวันนี้ นางไม่ต้องการให้คนเหล่านี้รบกวนพ่อแม่ของนาง
นางหวังจะให้พ่อแม่ของนางมีพิธีศพที่สง่างาม แต่นางไม่ต้องการพบปะคนที่หน้าซื่อใจคด เมื่อพ่อของนางไม่ได้รับการรักษาที่นางสมควรได้รับ นางจึงต้องการทำพิธีฝังพ่อกับแม่อย่างสงบสุข
งานศพเรียบง่าย คนที่มางานศพก็จริงใจ
คุณชายใหญ่ หวังชี เซี่ยซาน ตี๋ตงหมิง ซุนซือสิง ซูเหวินชิง หนานหลิงจิ่นสิง
เฟิ่งชิงเฉินมิได้แจ้งพวกเขา แต่พวกเขามา แสดงว่าเขาติดตามความเคลื่อนไหวของตระกูลเฟิ่ง แต่เสด็จอาเก้ามิได้มา เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้รู้สึกอะไร และรู้สึกว่าเขามิอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน
“เปิดประตู!” เสียงของเฟิ่งชิงเฉินแหบเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่มีใครเห็นนางร้องไห้ แต่เพียงแค่ได้ยินเสียงนี้ก็รู้แล้วว่านางรู้สึกเช่นไร
แกร๊ก……แกร๊ก ด้ามไม้หมุนไป ทำให้เกิดเสียง ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนเป็นสีแดง นางทำได้เพียงกลั้นน้ำตาไว้
“ไป” เฟิ่งชิงเฉินก้าวและเดินออกไป แต่ทันทีที่นางก้าวออกจากประตู นางก็ตกตะลึง
“พวกเจ้า……”
ข้างนอกประตูมีคนมาออกันจำนวนมาก เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่บนขั้นบันได มองไปสุดลูกหูลูกตา คนเหล่านี้ล้วนแต่งกายไว้ทุกข์
“แม่นางเฟิ่ง พวกข้ามาส่งแม่ทัพเฟิ่งกับเฟิ่งฮูหยิน” ฝูงชนถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเป็นทหารในเครื่องแบบ และอีกสองกลุ่มเป็นคนธรรมดา พวกเขายืนเงียบ ๆ นอกจวนเฟิ่งและพากันร้องไห้
“แม่นางเฟิ่ง พวกข้ามาส่งแม่ทัพเฟิ่งกับเฟิ่งฮูหยิน”
นางมิได้บอกใครเลยเรื่องพิธีฝังในวันนี้ แต่ผู้คนเหล่านี้พร้อมใจกันมาส่งพ่อแม่ของนาง
มันตื้นตันใจมาก
“ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณพวกเจ้าทุกคน” เฟิ่งชิงเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป น้ำตาของนางไหลออกมา และเฟิงชิงเฉินก็โค้งคำนับให้ทุกคน
“ขอบคุณ ขอบคุณจากใจ ขอบคุณพวกเจ้าทุกคนที่มา” เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่านางทำอะไรเพื่อคนจำนวนมากที่พร้อมใจกันมาส่งพ่อกับแม่ของนาง
แต่อย่างไรเสียนางต้องแสดงความขอบคุณคนเหล่านี้ที่มาส่งพ่อแม่ของนาง
พ่อของนางตายเพื่ออาณาจักร แต่กลับไม่ได้ให้เกียรติพ่อของนาง กลับกันผู้คนเหล่านี้……
ทำให้พ่อของนางเป็นวีรบุรุษ ตามที่พ่อของนางสมควรได้รับ เป็นพิธีศพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…