ดูเหมือนเสด็จอาเก้าจะให้ท้ายผู้หญิงคนนี้มาก ด้วยอารมณ์ของเสด็จอาเก้า อย่างว่าแต่ให้ผู้หญิงสัมผัสร่างกายเลย แค่มีผู้หญิงเข้ามารังควานเขาก็ไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแล้ว
ในใจของนางตอนนี้อยากจะด่าอีกฝ่ายให้ไสหัวออกไปให้ไกล ไม่ก็มองไปด้วยสายตาอันเยือกเย็น ทำให้เจ้ารู้ว่าเจ้าเป็นฝ่ายที่ด้อยกว่า จากนั้นก็อับอายจนต้องจากไป ไม่ก็ขอให้เสด็จอาเก้าอารมณ์ไม่ดี ขับไล่อีกฝ่ายออกไปด้วยตัวเอง
เสด็จอาเก้าไม่ใช่หวังจิ่นหลิง เขาไม่เคยยึดหลักการอะไรเพื่อไม่ทำร้ายผู้หญิง เขาทำแค่เรื่องที่ถูกใจตนเองเท่านั้น ไม่สนใจความดีความชั่ว แต่การปล่อยให้ผู้หญิงมาพัวพันเช่นนี้……
เฟิ่งชิงเฉินคิด ตอนที่ตนเองสบตากับเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้ายังไม่เคยให้ท้ายตนเองถึงขนาดนี้ เป็นอย่างที่คิด……คนเรามันจะมีดีกว่ากันอยู่เสมอ เฟิ่งชิงเฉินบีบแก้วชาในมือแน่น ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่รู้ว่าเสด็จอาเก้าจริงใจกับตนเองเป็นอย่างมาก แต่ในใจของนางก็ยังแอบรู้สึกไม่สบายใจ
ตอนแรกคิดว่าตนเองพิเศษสำหรับเสด็จอาเก้าเป็นอย่างมาก ที่แท้ก็ไม่ใช่……
เสด็จอาเก้าผู้หลงใหลในความบริสุทธิ์ ยอมให้ผู้หญิงที่ได้พบเป็นครั้งแรกดึงชายเสื้ออย่างง่ายดาย
ฮึ ฮึ……เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น นี่คือการแจ้งเตือนของเสด็จอาเก้างั้นหรือ? แจ้งเตือนให้นางอยู่ห่างจากหวังจิ่นหลิง ไม่อย่างนั้นนางอาจถูกแทนที่ได้ตลอดเวลา? หากเป็นเช่นนั้น……
งั้นเสด็จอาเก้า ท่านช่างน่าเบื่อเหลือเกิน เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นจ้องมองเสด็จอาเก้าอย่างดุร้าย นั่นคือสายตาของการแจ้งเตือน
นางเชื่อในตัวเสด็จอาเก้า แต่ก่อนอื่นเสด็จอาเก้าต้องบอกนางก่อนว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร และต้องบอกอีกว่าเสด็จอาเก้าคิดอย่างไงกับผู้หญิงคนนี้
“ผู้อาวุโสเก้า แม่นางท่านนี้เป็นใครงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินวางแก้วชาในมือ ยิ้มและถามออกมา
“ไม่รู้” เสด็จอาเก้าตอบกลับไปอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงดูเร่งรีบเล็กน้อย ดูจากท่าทางแล้วเขากำลังรอให้เฟิ่งชิงเฉินถามคำถามนี้ออกมาตั้งนาน
“ผู้อาวุโสเก้าไม่รู้แต่กลับให้ความช่วยเหลือนาง ท่านช่างเป็นคนดีเหลือเกิน” เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองไปยังเสด็จอาเก้าอย่างดุร้าย ความหมายในแววตาของนางนั้นชัดเจน นั่นคือ……
เจ้ารอข้าก่อน เรื่องนี้ข้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าอย่างแน่นอน
“ท่านคือผู้อาวุโสเก้า? ท่านอายุน้อยขนาดนี้น่าจะเรียกว่านายน้อยเก้าไม่ใช่หรือ?” ดวงตาคู่นั้นของหญิงสาวชุดสีม่วง เป็นประกาย เฟิ่งชิงเฉินสงสัยว่าตนเองกำลังตากวาด นางดูเหมือนว่าจะเห็นรูปหัวใจจากแววตาของผู้หญิงคนนั้น
นั่นมันอะไร? เป็นเพราะเรียกว่าผู้อาวุโสเก้า? เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามออกไป
ตุบ……เสด็จอาเก้าวางถ้วยชา หลับตาลงและไม่พูดอะไร รวมถึงไม่สนใจสาวน้อยในชุดสีม่วงที่กำลังดึงชายเสื้อของเขาอยู่ บรรยากาศช่างแข็งกระด้าง ดูเหมือนว่าหญิงสาวชุดสีม่วง เองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงคลายมือออกจากชายเสื้อของเสด็จอาเก้า ก้มหน้าลงอย่างน่าสงสาร ดวงตาของนางมองไปรอบด้าน สุดท้ายก็มาตกลงบนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน
มองไปมองมา สุดท้ายเป็นเฟิ่งชิงเฉินที่พูดดี ชายสองคนนี้แม้คนหนึ่งจะเยือกเย็นและอีกคนจะอบอุ่น แต่ทั้งสองนั้นเข้าถึงได้ยาก พี่ชายสุดหล่อที่ช่วยเหลือนางแม้จะชื่อว่าผู้อาวุโสเก้า แต่กลับไม่มีความอ่อนโยนเหมือนผู้อาวุโสเลยแม้แต่น้อย หยาบกร้านเหมือนทะเลทราย
ช่างมัน เอาไว้ก่อน รอสนิทแล้วค่อยว่ากัน จากทั้งสามคนนี้ หญิงสาวขี้เหร่ดูน่าจะเข้าถึงง่ายที่สุด งั้นเริ่มจากนางก่อนแล้วกัน
หญิงสาวชุดสีม่วง หันไปยิ้มให้เฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางชื่ออะไรงั้นหรือ? ตัวข้าแซ่หลาน ชื่ออีหลิน เมื่อสักครู่ถูกพี่ชายน้ำแข็งคนนี้ช่วยไว้ เจ้าล่ะ?”
หลาน?
รูม่านตาของเฟิ่งชิงเฉินหดตัวลง นึกถึงสิ่งที่เสด็จอาเก้าทำต่อหน้าตนเองก่อนหน้านี้โดยไม่ได้บอกกล่าว รวมถึงความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ ของเสด็จอาเก้าและหลานจิ่วชิง ความชัดเจนวาบขึ้นมาในหัวใจของนาง
ที่แท้……แม่นางคนนี้ก็แซ่หลาน ไม่แปลกเลยว่าทำไมเสด็จอาเก้าถึงให้ท้ายนางขนาดนั้น ความสัมพันธ์ของเสด็จอาเก้ากับตระกูลหลานของราชวงศ์ก่อนหน้านี้ไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นเขาคงเข้ากับหลานจิ่วชิงไม่ได้
หลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ความไม่สบายใจในใจของเฟิ่งชิงเฉินลดลงไม่น้อย นางก็บอกไปแล้วใช่ไหม เสด็จอาเก้าไม่มีทางให้ความช่วยเหลือหญิงสาวที่ไม่รู้จัก เฟิ่งชิงเฉินหันไปยิ้มกับอีกฝ่ายด้วยความเป็นมิตร “ที่แท้ก็แม่นางหลาน ข้าแซ่เฉิน ชื่อชิง”
นางเอาชื่อของนาง ชิงเฉิน มาสลับพยางค์กลายเป็น เฉินชิง
ในเมื่อนางปลอมตัวแล้ว นางก็ไม่คิดจะใช้ชื่อเฟิ่งชิงเฉินของนาง ไม่อย่างนั้นเมื่อสักครู่นางก็คงไม่ลงมือโจ่งแจ้งเช่นนั้น
ฮ่าฮ่า……กลัวอะไร ต่อให้นางทำให้ยุทธจักรปั่นป่วนแค่ไหนมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเห็นนางทั้งดำทั้งขี้เหร่เหมือนกับคนในยุทธจักร ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าเฉินชิงคือเฟิ่งชิงเฉิน
“เฉินชิง เป็นชื่อที่ดีเหลือเกิน ข้าเรียกเจ้าว่าชิงชิงได้หรือไม่ เจ้าเองก็เรียกข้าว่าอีหลินหรือหลินหลินก็ได้” หลานอีหลินกล่าวออกมาด้วยความกระตือรือร้น เข้าไปควงแขนของเฟิ่งชิงเฉิน ราวกับเป็นเพื่อนสนิท ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินดำขนาดนี้ แต่แม่นางผู้นี้……ประสาทเสียหรือไง ถึงมองไม่ออกว่านางไม่มีความสุข
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจเสด็จอาเก้าโดยปริยาย มองไปที่เขาด้วยใบหน้าเห็นใจ เสด็จอาเก้าไม่ได้ปฏิบัติกับแม่นางผู้นี้เป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ออกตัวแรกมากเกินไป คิดว่าทุกคนต่างชื่นชอบนาง นางยินดีใกล้ชิดเจ้า นั่นถือว่าเป็นความสุขของเจ้า
“ชิงชิง ชื่อนี้ไพเราะมาก” หวังจิ่นหลิงยิ้มเห็นฟันออกมา “วันหลังข้าเรียกเจ้าว่าชิงชิงได้หรือไม่?”
“คงไม่ดี” เฟิ่งชิงเฉินคิดไปคิดมาก็ไม่อยากปฏิเสธ “นายน้อยหลิง ท่านเรียกข้าว่าเฉินชิงก็ดีแล้ว แล้วก็แม่นางอีหลิน เจ้าด้วยก็เช่นกัน เรียกข้าว่าเฉินชิง”
ชิงชิงอะไรนั่นมันดูใกล้ชิดเกินไป นางจำได้ว่าเสด็จอาเก้าเคยเข้ามาแนบหูของนางแล้วเรียกนางว่า “ชิงชิง” ทำให้คำเรียกนี้ดูใกล้ชิดเป็นอย่างมาก คนทั่วไปจะมาใช้เรียกไม่ได้
“เป็นเพราะอะไรงั้นหรือ?” คนที่พูดออกมาไม่ใช่หวังจิ่นหลิงแต่เป็นหลานอีหลิน “ข้าเรียกเจ้าว่าชิงชิงไม่ดีตรงไหน นี่บ่งบอกว่าข้าชอบเจ้า เห็นเจ้าเป็นเพื่อนคนหนึ่ง” ทันทีที่หลานอีหลินกล่าวออกมา นางก็แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งในตัวเองทันที ราวกับว่าข้าเห็นเจ้าอยู่ในสายตามันก็เป็นโชคดีแค่ไหนของเจ้าแล้ว
ผู้หญิงคนนี้น่ารังเกียจเสียจริง ทำไมถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้เหมือนกับหลี่เซี่ยง จินตนาการสูงมาก เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว เว้นระยะห่างของทั้งสองคนโดยไม่รู้ตัว “ชิงชิง ชื่อเรียกนี้มันใกล้ชิดเกินไป มันเป็นคำเรียกของคนรัก จะให้คนอื่นมาเรียกไม่ได้”
เฟิ่งชิงเฉินอธิบายออกไปอย่างจริงจัง ในระหว่างที่พูดออกมาก็ไม่ลืมหันไปสบสายตาของเสด็จอาเก้า คำพูดนี้เปรียบเหมือนการชดเชยสำหรับความเฉยเมยที่ผ่านมา เมื่อสักครู่ตอนเดินทางนางไม่ได้ตั้งใจ ลองคิดดู ในช่วงเวลาเดินทางอันแสนน่าเบื่อ มีคนมาพูดคุยกับเข้า ทำให้เจ้าคลายความเบื่อหน่ายเหล่านั้น เจ้าจะปฏิเสธหรือไม่?
ไม่ใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินละเลยเสด็จอาเก้า แต่เป็นเพราะเสด็จอาเก้าไม่เข้าพวก
คำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกดีมาก แววตาของหวังจิ่นหลิงฉายแววเศร้าและยิ้มขมขื่น เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำเรียก ชิงชิง นี้มันดูใกล้ชิดขนาดไหน เพราะเหตุนี้เขาถึงอยากใช้มันเรียกเฟิ่งชิงเฉิน น่าเสียดาย……ชิงเฉินปฏิเสธ
หวังจิ่นหลิงเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ว่าจะรู้สึกเจ็บช้ำใจมากแค่ไหนเขาก็ยังคงยิ้มออกมา แต่หลานอีหลินนั้นต่างออกไป นางมองมาที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยความโกรธ “มันก็แค่ชื่อเรียกไม่ใช่หรือไง มันจะไปมีความหมายอะไรขนาดนั้น ที่ข้าเรียกเจ้าว่าชิงชิงก็เพราะว่าข้าชอบเจ้า อีกอย่าง สภาพอย่างเจ้าจะมีใครชอบอีกอย่างนั้นหรือ? เรื่องดำไม่ต้องพูดถึง มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าอีกต่างหาก
สภาพอย่างเจ้าไม่ไหว ผู้ชายล้วนแต่มองคนที่หน้าตา เจ้าคิดจะดึงดูดพวกเขา ก่อนอื่นเจ้าจะต้องแต่งตัวให้งดงามเสียก่อน ผิวขาวสามารถทดแทนรูปลักษณ์บนใบหน้าได้มากมาย แต่ดูเจ้า ดำขนาดนี้ เจ้าต้องหาวิธีทำให้เจ้าขาวและสวยขึ้น ทำให้ตัวเองดูดี หลังจากนั้นก็เรื่องเสื้อผ้าของเจ้า ดูสิมอมแมมเสียขนาดนี้ ผู้ชายที่ไหนเขาจะมาชอบ เจ้าไม่เพียงแค่ต้องทำให้ตนเองขาวเท่านั้น แต่อย่างรีบร้อนเกินไป แบบนั้นมันจะดูน่าเกลียด หากเจ้าเชื่อในคำพูดของข้า และปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการ ข้ามั่นใจว่าจะสามารถเปลี่ยนเจ้าได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นข้าจะออกแบบเสื้อผ้าให้เจ้าเอง เจ้าจะสามารถเดินบนถนนได้อย่างสง่างาม ช่างเป็นผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม……”
ใบหน้าของหลานอีหลินบูดบึ้งราวกับว่านางทำการโฆษณาชวนเชื่ออันยิ่งใหญ่ ยิ่งนางพูดมากเท่าไหร่นางก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น มองดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินก็เห็นถึงความแปลกประหลาด ในใจของเฟิ่งชิงเฉินเองก็เกิดความสงสัยที่หยั่งลึก จ้องไปที่แววตาของหลานอีหลินอย่างจริงจัง
แม่นางแซ่หลานผู้นี้ หรือว่าก็เหมือนกับนาง?