ไม่ว่าหลานอีหลินจะมาจากที่เดียวกับนางหรือไม่ โดยพื้นพื้นฐานเฟิ่งชิงเฉินสามารถมั่นใจได้ว่าแม่นางคนนี้ไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายแต่อย่างใด อย่างน้อยก็ไม่เหมือนกับหลี่เซี่ยงที่หวังจะครอบครองทุกอย่างไว้เพียงผู้เดียว แต่……
จะพูดอย่างไรดี หลานอีหลินไม่ใช่คนไม่ดี แต่นางแสดงออกมาชัดเจนเกินไป นางเป็นคนมั่นใจในตัวเอง มีความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก ราวกับนอกจากนางแล้ว ทุกคนต่างเป็นคนโง่เขลา โดยเฉพาะสายตาที่จ้องมองนาง มักจะมีความเห็นอกเห็นใจและความรู้สึกที่ตนเองอยู่เหนือกว่าออกมาให้เห็น
นางยังไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ แต่หลานอีหลินกลับทำให้นางกลายเป็นคนน่าสงสารโดยปริยาย ผู้หญิงที่ต้องการความช่วยเหลือจากวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของนาง หลานอีหลินพูดไม่หยุด ว่าตนเองสามารถเปลี่ยนให้นางมีความมั่นใจและมีเสน่ห์มากขึ้น ทำให้ผู้ชายเป็นหมื่นเป็นพันหลงใหลในตัวนาง
เมื่อได้ยินแผนที่หลานอีหลินวางไว้คร่าว ๆ เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเสียววาบ หากนางทำเช่นนั้นจริง นั่นคงถือว่าเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
เฟิ่งชิงเฉินปฏิเสธความหวังดีของหลานอีหลิน ให้ตายยังไงก็ไม่ยอมให้หลานอีหลินช่วยทำให้ตนเองสวยขึ้น และไม่ต้องการให้หลานอีหลินช่วยจัดเตรียมเสื้อผ้าให้ด้วย
มองดูกางเกงอันแปลกประหลาดที่หลานอีหลินสวมอยู่ เฟิ่งชิงเฉินรู้ได้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบเลย เหมือนวาดภาพเสื้อผ้าในยุคปัจจุบันออกมาโดยไม่คิดอะไร ส่วนเมื่อเดินบนถนน คนที่หันมามอง เมื่อสวมเสื้อผ้าของนางจะต้องมีมากกว่าสวมชุดบิกินี่ หรือเสื้อผ้าเปลือยอกและต้นขาอย่างแน่นอน รู้ได้เลยว่าวันงานแต่งงานของนางจะเป็นเช่นไร
ความงดงามในสมัยโบราณและในสมัยปัจจุบันนั้นแตกต่างกัน สิ่งซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนี้อาจไม่เป็นที่นิยมในอดีต ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ดีหรือไม่ดี แต่มันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยมากกว่า เฉกเช่นเดียวกับการเลิกทาสในสมัยปัจจุบัน
ได้ยินการปฏิเสธของเฟิ่งชิงเฉิน หลานอีหลินไม่ได้โกรธแต่อย่างใด ดวงตาคู่นั้นของนางสว่างขึ้น จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง
ใจความสำคัญคือเพราะหน้าตาของนางขี้เหร่จึงถูกผู้ชายทอดทิ้ง นางถูกความรักทำร้าย ดังนั้นนางจึงทำการปรับเปลี่ยนด้านการแต่งการของตนเองตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อแต่งตัวตามสมัยนิยม ไม่สนใจในรูปลักษณ์ของตนเอง จากนั้นเป็นต้นมาก็หมดหวังเรื่องผู้ชาย
แน่นอนว่าหลานอีหลินไม่เปิดโอกาสให้เฟิ่งชิงเฉินพูด นางเล่าเรื่องของตนเองอย่างไม่สนใจใคร หลังพูดจบก็ไม่ลืมที่ตบไหล่ของเฟิ่งชิงเฉินและกล่าวปลอบใจออกมา “แม่นางเฉินชิง เจ้าอย่างกังวลไปเลย ชายผู้นั้นทอดทิ้งเจ้าไป เป็นเพราะไม่เข้าใจในความดีของเจ้า เจ้าวางใจ ผู้ชายคนต่อไปจะต้องดีกว่าอย่างแน่นอน ข้าจะช่วยเจ้าตามหาคนที่ดีกว่า”
เฮ้อ……สำหรับพลังแห่งจินตนาการอันน่ากลัวของหลานอีหลิน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก แม่นางผู้นี้ยกตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดินี และทำเหมือนนางก็เป็นวิญญาณเร่ร่อนที่อยู่บนโลกอันกว้างใหญ่ที่รอคอยความช่วยเหลือจากนาง
หลังจากกล่าวคำปลอบใจ หลานอีหลินก็ไม่ลืมที่จะถามออกมาว่าความคิดของตนเองถูกต้องหรือไม่ “แม่นางเฉินชิง ข้าเดาถูกทั้งหมดเลยใช่หรือไม่ ?”
อีกฝ่ายพูดมาถึงตรงนี้แล้ว นางยังจะพูดอะไรได้อีก หากนางบอกว่าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้คงคิดว่านางกำลังปกปิด เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น
และด้วยการที่นางไม่ปฏิเสธ ในดวงตาของหลานอีหลินเหมือนกับเห็นการยอมรับโดยธรรมชาติ หลานอีหลินรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก จากนั้นนางก็ปลูกฝังทฤษฎีความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง ทฤษฎีที่ว่าผู้หญิงสามารถยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ทำให้ตนเองแข็งแกร่ง พูดแม้กระทั่งว่า……
“ชายหญิงเท่าเทียมกัน ไม่ว่าเพศไหนก็เป็นมนุษย์ ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ถึงสามสี่คน ผู้หญิงเองก็สามารถมีสามีสามสี่คนได้ด้วยเช่นกัน ข้าหลานอีหลินต้องการเป็นสตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินจิ่วโจวทางด้านนี้ หากชายที่ข้ารักไม่สามารถให้คำสัญญากับข้าได้ว่าจะรักเดียวใจเดียวไปชั่วชีวิต ข้าจะเตะเขาด้วยเท้าของข้า หากเขามีชู้ ข้าเองก็จะมีด้วยเช่นกัน ฮึ……”
จากคำพูดอันหาญกล้านี้ ทำให้พวกของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงทั้งสองคนถึงกับผงะ ทั้งสองจ้องมองหลานอีหลินราวกับว่านางเป็นตัวประหลาด ชายทั้งสองตั้งคำถามเดียวกันในหัวใจ แม่นางผู้นี้เป็นทายาทของตระกูลหลานจริงงั้นหรือ หยกที่ห้อยคอเป็นของจริงหรือเปล่า? สตรีแห่งตระกูลหลานนั้นหาญกล้าเช่นนี้เลยงั้นหรือ?
แต่ทันใดนั้นเองทั้งสองคนก็นึกได้ว่า ในอดีตเหมือนจะมีสตรีผู้หญิงของตระกูลหลานที่มีสามีสิบกว่าคน
เหงื่อไหล……
เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงปาดเหงื่อในเวลาเดียวกัน เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะถามตนเองว่าเขาไปช่วยตัวหายนะเอาไว้หรือเปล่า หวังจิ่นหลิงเองก็ถามหาความรับผิดชอบจากเสด็จอาเก้า เจ้าไปพาตัวหายนะมาทำไม ชิงเฉินเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วหากนางฟังคำพูดของหลานอีหลิน การตามจีบชิงเฉินจะไม่เป็นเรื่องยากขึ้นอย่างนั้นหรือ
สามีสามคน ภรรยาสี่คน?
แค่นึกถึงตอนที่เฟิ่งชิงเฉินมีสามีสามคน รอบตัวของนางถูกรายล้อมไปด้วยเหล่าผู้ชายอันหล่อเหล่า แย่งตัวกันพาเฟิ่งชิงเฉินไปที่บ้านของพวกเขาทั้งวันทั้งคืน แค่คิดเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงก็สั่นไปทั้งตัว
ที่จริงพวกเขารับประโยคอันห้าวหาญนี้ไม่ไหว ทั้งสองมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินโดยพร้อมเพรียงกัน เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินชัดเจนขึ้น ก็เข้าใจเช่นกันว่าเฟิ่งชิงเฉินเองก็รับไม่ไหว แบบนี้……ดีมากเลย!
ผู้หญิงอย่างหลานอีหลินช่างน่ากลัวเหลือเกิน ยิ่งออกห่างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ตอนนี้เสด็จอาเก้ารู้สึกเสียใจ ไม่น่าช่วยเพราะประโยคนั้นของนาง “พวกเจ้ามีวรยุทธ์สูงแล้วยังไง หากข้ามีปืนอยู่ในมือ แค่ยิงพวกเจ้าสักสองสามนัด พวกเจ้าก็ตายกันหมดแล้ว” และในตอนเดินออกไป สิ่งที่ไม่ควรก็คือ การไปเห็นจี้หยกบนคอซึ่งบอกถึงสถานะตัวตน เสด็จอาเก้าจึงยอมให้ความช่วยเหลือและก็ไม่น่าคิดจะใช้ตัวตนของนางในการตามหาที่อยู่สายเลือดราชวงศ์หลานที่เหลืออยู่พร้อมตามนางไป
ดูเหมือนว่าเขาได้ช่วยตัวหายนะเอาไว้ หากหลานอีหลินทำให้เฟิ่งชิงเฉินเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี แบบนั้นเขาคงเสียใจจนตาย มีสามีสามสี่คน แค่เขานึกถึงประโยชน์ดีก็อาจจะฆ่า……
แต่บางสิ่งบางอย่างหากไม่ถึงเวลาใช้ก็ไม่เห็นประโยชน์ของมัน แต่หากไม่มีมันไว้ถึงเวลาใช้ขึ้นมาก็จะลำบาก หลานอีหลินไม่เพียงแค่เป็นคนที่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษดีเลิศเท่านั้น นางยังหน้าหนามากอีกด้วย ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะแสดงออกมาเช่นไร ไม่ว่าใบหน้าของเสด็จอาเก้าจะเยือกเย็นแค่ไหน และไม่ว่าหวังจิ่นหลิงจะตีตัวออกหากด้วยความเกรงใจ นางก็ไม่สนใจการกระทำของทั้งสามคน แถมยังบอกว่าต้องการบุกเข้าไปในยุทธจักรกับพวกเขา เข้าใจด้วยตัวเองว่าพวกเขาคือเหล่าอัศวินที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทุกก้าวเดินต้องมีคนตาย และไม่มีใครขวางได้ทั้งนั้น
บุกเข้าไปในยุทธจักรบ้าบออะไร พวกเขาทั้งสามคนใช่อัศวินเสียที่ไหน พวกเขาเหมือนคนที่สามารถฆ่าคนได้ในพริบตาเสียที่ไหน แม่นางผู้นี้ดูทีวีมากเกินไปจริง ๆ
เฟิ่งชิงเฉินอยากจะสลัดคนผู้นี้ออกไป หากไม่ใช่เพราะนางมีแซ่หลานเหมือนกับหลานจิ่วชิง และอาจจะเป็นคนในครอบครัว เฟิ่งชิงเฉินคงไม่สนใจที่มาของผู้หญิงคนนี้
มาจากยุคปัจจุบันแล้วช่างดูวิเศษ หลี่เซี่ยงเองก็มาจากยุคปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็ตายลงด้วยเนื้อมือของนาง
เนื่องจากการเข้าร่วมของหลานอีหลิน จึงทำให้กลุ่มสามคนของพวกเขากลายเป็นสี่คน จากนั้นปัญหาก็มาทันที พวกเขาสี่คนมีม้าแค่สามตัว จำเป็นต้องมีสองคนที่ต้องขี่ม้าตัวเดียวกัน ใครจะต้องขี่ม้าตัวเดียวกันนี่แหละคือปัญหา เฟิ่งชิงเฉินยังไม่ทันหาคำตอบนั้นเจอ แต่หลานอีหลินกลับตัดสินใจด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อย
หลานอีหลินสาวน้อยคนนี้ ไม่รู้ว่ามีนิสัยเหมือนนกที่ได้เจอกับคู่ชีวิตที่หมายปองแล้วเกาะติดราวไม่ยอมห่าง หรือว่าชีวิตไร้ซึ่งความกังวล นางไม่สนใจใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าเลยสักนิด เดินตามเสด็จอาเก้าออกมาจากโรงน้ำชา หลังจากเสด็จอาเก้ากระโดดขึ้นหลังม้า นางยื่นมือออกไปเป็นธรรมชาติ รอเสด็จอาเก้าดึงตัวนางขึ้นไปบนหลังม้า
ดวงตาของหลานอีหลินเต็มไปด้วยความมั่นใจ เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางแห่งความภาคภูมิใจ
นางคือนางเอก นิยายและละครในทีวีมีเรื่องราวแบบนี้อยู่มากมาย เมื่อนางเอกเดินมาถึง สายตาของผู้ชายมากมายจะต้องจับจ้องมาที่นาง ไม่ว่าเจ้าจะเยือกเย็นหรือไร้อารมณ์เพียงใด ต่างต้องหลงรักในตัวนาง ไม่อย่างนั้นชายผู้เยือกเย็นผู้นี้คงไม่เข้ามาช่วยนางทันทีเมื่อแรกเห็น
แต่ผลก็คือ……
“ไป!”
เสด็จอาเก้าตวัดแซ่บนหลังม้า ขี่ม้าออกไปทิ้งเฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงทั้งสองคนไว้ด้านหลัง ม้าพุ่งออกไปด้านหน้า ส่วนหลานอีหลิน ต้องขอโทษด้วย เขาไม่สน
“ฮี่ ฮี่ ฮี่……” ม้าพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้หลานอีหลินตกใจจนถอยไปด้านหลัง ม้าวิ่งไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปากของหลานอีหลินเต็มไปด้วยฝุ่น หลานอีหลินโกรธมาก วิ่งไปด้านหน้า นำมือสองข้างท้าวเอว ตะโกนใส่ทิศทางที่เสด็จอาเก้าจากไป “ผู้อาวุโสเก้าอะไรกัน เจ้าบ้า เจ้ากล้าเพิกเฉยต่อความงามและความอ่อนเยาว์ของข้า ฮึ……ข้าจะบอกเจ้าไว้ ชื่อของเจ้าถูกลบออกจากชายในดวงใจของข้าแล้ว จากนี้เจ้าจะต้องเสียใจจนตาย ต่อให้จะชดเชยมากมายแค่ไหน ข้าก็ไม่มีทางสนใจเจ้า”
เด็กคนนี้……พิษลึกมาก!
เฟิ่งชิงเฉินแอบปาดเหงื่อของตนเอง เหลือบมองหวังจิ่นหลิงอย่างลับ ๆ และตัดสินใจทิ้งหายนะอย่างหลานอีหลินไว้กับหวังจิ่นหลิง……