นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 752-2 สนทนา วิธีการพิชิตใจชายของผู้หญิง
แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถเข้าใจความหมายของมันได้อย่างชัดเจน
สารเลว!
นางอยากจะเตะเสด็จอาเก้าให้ตาย ไม่รู้ว่าควรจะพูดออกมาอย่างไรดี เขาเป็นผู้ชายไม่จำเป็นต้องกลัว แต่นางเป็นผู้หญิง นี่มันเป็นเรื่องสำคัญ
แต่ในตอนที่ยกเท่าขึ้น เฟิ่งชิงเฉินนึกขึ้นได้ว่าหากตนเองเตะออกไป แบบนั้นไม่เท่ากับว่าเป็นการยอมรับอย่างนั้นหรือ เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงฝืนใจเก็บเท้ากลับมา แสร้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป ก้มหน้ามองปลายเท่าของตนเอง
วันนี้นางเป็นคนดีที่สุด เป็นโล่ที่ดีที่สุด เมื่อกลับไปแล้วมาดูกันว่านางจะจัดการกับเสด็จอาเก้าอย่างไร
ฮึ……เฟิ่งชิงเฉินกัดฟัน เสด็จอาเก้ารู้สึกถึงความหนาวเย็นจากด้านหลัง รู้สึกไม่ดีในหัวใจ แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมา ภายใต้การจ้องมองของเซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิง เขายื่นมือออกไปหาเฟิ่งชิงเฉินอย่างเป็นธรรมชาติ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับหลบออกไป
เฟิ่งชิงเฉินถอยกลับมาด้านหลังหนึ่งก้าว โค้งคำนับพร้อมกล่าวอย่างสุภาพว่า “เชิญเสด็จอาเก้าเสด็จกลับ”
เห็นได้ชัดว่านี่คือการปฏิเสธ มือของเสด็จอาเก้าแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ แม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่เสด็จอาเก้าก็ไม่กล้าทำอะไรนางไปมากกว่านี้ ดังนั้นจึงดึงมือกลับอย่างใจเย็น หันไปพูดกับเซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิงว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปกันได้แล้ว อย่าไปรบกวนเวลาพักผ่อนของชิงเฉินเลย”
หากเขาต้องไป เขาก็ต้องพาผู้ชายสองคนนี้ไปด้วย
หวังจิ่นหลิงและเซวียนเส้าฉีมองหน้ากัน พยักหน้าให้เสด็จอาเก้า พวกเขาเดินจากไปพร้อมกัน ทุกคนต่างโล่งใจ
หวังจิ่นหลิงรู้สึกหดหู่ใจ ฝืนยิ้มให้กับเฟิ่งชิงเฉินเพื่อบ่งบอกให้เฟิ่งชิงเฉินพักผ่อนให้สบาย จากนั้นหันหลังและจากไป ทิ้งเฟิ่งชิงเฉินไว้ด้านหลังอย่างเดียวดาย
เซวียนเส้าฉีมองมายังเฟิ่งชิงเฉินด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นรอยยิ้มอันสดใสของเฟิ่งชิงเฉิน ความกังวลในหัวใจของเขาลดลงมาก คืนนี้เขายุ่งมากและไม่มีเวลาอยู่ที่นี่จริง ๆ
มันเหมือนกับเรื่องตลก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงและจบลงอย่างแปลกประหลาด เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม มองการจากไปของทั้งสามคน จนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของพวกเขาทั้งสามนางถึงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ยื่นมือออกมาลูบแก้มซึ่งถูกกัดของตนเอง……
ตอนแรกนางไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งปลายนิ้วของเสด็จอาเก้าสัมผัสมาบนแก้มของนาง นางถึงเข้าใจว่าเรื่องมันเป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้วนางจะสามารถพูดอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่คิดจะอธิบาย
หากอธิบายแล้วเข้าใจผิดอาจนำไปสู่หายนะ
แบบนี้มันดีสำหรับทั้งสี่คนแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าความรักนั้นเป็นเรื่องของคนสองคน นางปฏิเสธเซวียนเส้าฉีไปแล้ว และย้ำความสัมพันธ์ของตนเองกับหวังจิ่นหลิงไปนับครั้งไม่ถ้วน และมันก็สะเทือนใจไม่ต่างอะไรกับฉากนี้
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มพร้อมหันหลังกลับ วันนี้เป็นวันที่หลับสบายที่สุดในโลก ส่วนเรื่องการทะเลาะกันของชายทั้งสามคน มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง
เรื่องซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเหมือนกับเป็นเรื่องต้องห้าม เช้าวันที่สองเสด็จอาเก้า หวังจิ่นหลิง เซวียนเส้าฉี ทั้งสามคนเจอหน้ากันแต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากทานอาหารเช้าเป็นอันเรียบร้อย ทั้งสามคนไปยังห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ หวังจิ่นหลิงโบกมือให้สาวใช้ไปนำชาที่ตนเองชงมา รินชาใส่ถ้วยและยื่นให้เฟิ่งชิงเฉิน “ลองชิมดู”
ท่าทางเป็นธรรมชาติ น้ำเสียงอ่อนโยน ผิดไปจากปกติ เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าหวังจิ่นหลิงคิดได้แล้วหรือยังคิดไม่ได้ นางทำในสิ่งที่ทำได้ทั้งหมดไปแล้ว ที่เหลือมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนาง หากนางต้องแบกรับทุกอย่างไว้ด้วยตนเอง แบบนั้นจะไม่เหนื่อยตายหรอกหรือ
รับถ้วยชา เฟิ่งชิงเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยนแต่ไม่ได้กล่าวขอบคุณ ทุกอย่างกลับไปยังจุดเริ่มต้น พวกเขายังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และเป็นได้เพียงเพื่อนเท่านั้น
รอยยิ้มของหวังจิ่นหลิงมีร่องรอยของความเหงาและความอ้างว้าง แต่มันถูกปกปิดอย่างดีและไม่มีใครรู้นอกจากตัวเขาเอง
ในตอนที่รินชาแก้วที่สอง หวังจิ่นหลิงผงะอยู่ครู่หนึ่ง เขาวางมันไว้ด้านหน้าของตนเอง จากนั้นยื่นกาน้ำชาให้เสด็จอาเก้าพร้อมกล่าวว่า “คิดว่าเสด็จอาเก้าคงไม่อยากให้ใครสัมผัสถ้วยชาที่ตนเองดื่ม หวังจิ่นหลิงไม่ขอก้าวก่าย”
ความหมายก็คือให้เสด็จอาเก้าบริการตนเอง เขาหวังจิ่นหลิงจะไม่ปรนนิบัติ
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนขี้น้อยใจและเก็บกด คำพูดและท่าทางของหวังจิ่นหลิงทำให้คนพูดไม่ออก ราวกับว่าเขาใส่ใจในตัวเสด็จอาเก้ามากกว่าคนอื่น
ท้ายที่สุดแล้วในพระราชวัง ไม่มีใครไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้านั้นจริงจังเรื่องความสะอาดมากแค่ไหน
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจขององค์ชาย” น้อยครั้งที่เสด็จอาเก้าจะไม่พอใจ เขารินชาด้วยตัวเองด้วยท่าทางแห่งผู้ได้รับชัยชนะ
อย่าไปสนใจคำพูดของผู้ชายซึ่งพ่ายแพ้ ผู้แพ้มักจะระมัดระวังอยู่เสมอ
ดื่มเข้าไป เสด็จอาเก้ารู้สึกว่าชาวันนี้มีกลิ่นหอมมากกว่าปกติ แต่น้ำชากาเดียวกัน หวังจิ่นหลิงกลับรู้สึกว่ามันมีรสขม
หวังจิ่นหลิงวางถ้วยชาลงโดยไม่เกิดเสียง มองมาทางเสด็จอาเก้าด้วยความอ่อนโยนพร้อมถามออกมาว่า “จะออกเดินทางเมื่อไหร่ และจะเดินทางอย่างไร?”
การเดินทางของทั้งสามคนมีเสด็จอาเก้าเป็นผู้ควบคุม เสด็จอาเก้าบอกว่าจะเดินทางในวันนี้ เขาเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
สำหรับเขาปัญหาของเผ่าเสวียนเซียวกงได้รับการแก้ไขเป็นอันเรียบร้อย หลังจากนี้เซวียนเฟยจะไม่มีวันมายุ่งกับเขาได้อีก แม้จะไม่ได้สังหารเซวียนเฟยเพื่อแก้แค้นให้กับองครักษ์ แต่การมีชีวิตอยู่ของนางนั้น ทำให้นางทุกข์ทรมานยิ่งกว่า
“ตอนนี้ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว” ทางลงเขามีเพียงเส้นทางเดียว หากพวกเขาลงเขาในตอนนี้จะต้องเผชิญหน้ากับกองทัพทั้งสามประเทศ ส่วนจะลงมือหรือไม่นั้นมันก็คือเรื่องหนึ่ง
เนื่องจากกองกำลังของพันธมิตรทั้งสามประเทศอยู่ภายใต้ธงของเสด็จอาเก้าและองค์ชายใหญ่ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงยอมถอย พวกเขาจะถอยหรือไม่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เสด็จอาเก้าต้องมาพิจารณา
“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้ามาที่เผ่าเสวียนเซียวกงเพื่ออะไร จะถอยไปทั้งแบบนี้งั้นหรือ แบบนี้การต่อสู้ครั้งนี้มันก็ไร้ความหมาย” หวังจิ่นหลิงจับถ้วยน้ำชา ดวงตาซึ่งดำราวกับไข่มุกของเขาเปล่งแสงแห่งความงงงวยออกมา
ทางลงเขาไม่ได้มีแค่ทางเดียว แต่เสด็จอาเก้าเลือกจะใช้เส้นทางนี้ เขาไม่รู้หรือไงว่าการถอยของเขาในครั้งนี้ ทั้งสามประเทศจะโยนความผิดมาให้เขา
“เจ้าแค่คิดว่าข้าเป็นคนน่าเบื่อก็พอแล้ว” เสด็จอาเก้าลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย
เขาถอย ทั้งสามประเทศก็ไม่มีเหตุผลจะต้องบุกขึ้นมาบนเขา แต่นี่มันเกี่ยวอะไรกับเขา เขาไม่มีความคิดจะปล่อยให้ทหารหนึ่งแสนนายพวกนี้กลับไปอยู่แล้ว
คนตายมันพูดอะไรไม่ได้
“น่าเบื่อ? ความน่าเบื่อของเจ้าทำให้คนจำนวนมากวุ่นวาย และยังทำให้คนจำนวนมากต้องบาดเจ็บล้มตาย” หวังจิ่นหลิงรู้ว่าความจริงมันไม่มีทางเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน เสด็จอาเก้าบอกว่าถอย นั่นแสดงว่าเขาได้บรรลุจุดประสงค์ของเขาแล้ว และเขาก็ต้องมีไพ่ตายอะไรซ่อนอยู่
“ตระกูลหวังไม่เป็นอะไรก็พอแล้ว” เสด็จอาเก้าจ้องมองหวังจิ่นหลิงเพื่อบอกว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องถามให้ชัดเจน
“แต่ข้ายังไม่ได้รับสิ่งตอบแทนที่ข้าสมควรได้รับ” หวังจิ่นหลิงไม่ยอมถอย ในเมื่อพวกเขาเลือกจะให้ความร่วมมือ พวกเขาจึงควรได้รับความไว้วางใจขั้นพื้นฐาน อย่างน้อยก็ควรบอกถึงจุดประสงค์ที่มายังเผ่าเสวียนเซียวกง
การที่เสด็จอาเก้าทำเช่นนี้มันเหมือนกับไม่เชื่อใจในตัวเขา
“เจ้าอยากรู้อะไร?” เสด็จอาเก้าไม่ได้ใจกว้างกับหวังจิ่นหลิงเหมือนกับเฟิ่งชิงเฉิน สายตาที่จ้องมองเต็มไปด้วยจิตสังหาร โชคดีที่หวังจิ่นหลิงนั้นแข็งแกร่ง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจรู้สึกตกใจจนสูญเสียความกล้าไปแล้ว แต่รูม่านตาของหวังจิ่นหลิงก็หดตัวลง ถามออกมาว่า “จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้คืออะไร? ตระกูลหวังจะไม่ได้รับผลตอบแทนก็ไม่เป็นไร แต่ข้าหวังจิ่นหลิงจะไม่ยอมเป็นคนโง่”
ใช้ประโยชน์จากเขา อย่างน้อยก็บอกเหตุผลกับเขาก็ยังดี ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ต่างอะไรกับหมากที่ถูกเสด็จอาเก้าหลอกใช้ เพื่อผลประโยชน์ของเสด็จอาเก้าเพียงคนเดียว
“มีสิ่งที่ข้าอยากได้อยู่ในเผ่าเสวียนเซียวกง” เสด็จอาเก้ารู้ว่าหากไม่บอกอะไรกับหวังจิ่นหลิง เขาจะไม่มีทางรามืออย่างแน่นอน เขาไม่อยากขัดแย้งกันในเผ่าเสวียนเซียวกง แบบนั้นผลประโยชน์จะตกไปอยู่ที่เซวียนเส้าฉี
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือฝีมือของเจ้า?” ดวงตาของหวังจิ่นหลิงเปล่งประกาย จ้องมองมายังเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินกระแอมออกมาด้วยความเคอะเขิน นับนิ้วมือของตนเองโดยไม่พูดอะไร เพื่อบ่งบอกว่าตนเองไม่เกี่ยวและไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“ใช่หรือไม่ใช่แล้วมันยังไง? เจ้าคิดว่าเจ้ายังมีโอกาสอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ท่านผู้นำแห่งตระกูลหวัง” คำพูดของเสด็จอาเก้าประโยคนี้เป็นการเน้นย้ำหวังจิ่นหลิงถึงสถานะของเขาในตอนนี้
แม้เรื่องระหว่างของกับเฟิ่งชิงเฉินเมื่อคืนเป็นแค่การแสดง หวังจิ่นหลิงก็ไม่มีโอกาส เขาไม่ใช่หวังจิ่นหลิงผู้อ่อนโยน และไม่ใช่องค์ชายผู้มีสีสัน แต่เขาเป็นองค์ชายผู้มีอำนาจและแบกรับชะตากรรมของตระกูลหวังทั้งหมดไว้
ในฐานะผู้นำของตระกูลหวัง เขาต้องแบกรับตระกูลหวังเอาไว้ ต่อให้เขารู้สึกไม่พอใจกับตระกูลหวังมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางทอดทิ้งตระกูลหวังได้
ตระกูลหวังเหมือนโซ่ที่ล่ามหวังจิ่นหลิงไว้ และในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งซึ่งให้อำนาจอันเปี่ยมล้นกับหวังจิ่นหลิง หากไม่มีตระกูลหวังหวังจิ่นหลิงก็เป็นแค่องค์ชายแห่งบทกวี เขาอาจจะได้รับความเคารพจากผู้คน แต่ไม่มีทางก้าวมาถึงจุดนี้ได้ จะไม่มีอำนาจในการควบคุมชีวิตและความตาย
ดังนั้นหวังจิ่นหลิงจึงไม่สามารถทอดทิ้งตระกูลหวังได้ หากทอดทิ้งตระกูลหวัง เขาจะไม่สามารถปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้ และเมื่อมีตระกูลหวัง เรื่องของเขากับเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีทางเป็นไปได้
“ข้าคือผู้นำแห่งตระกูลหวัง? แล้วเจ้าล่ะ? เป็นท่านอ๋องที่น่าเคารพที่สุดในตงหลิง” คำพูดนี้ของหวังจิ่นหลิงเองก็ถือเป็นการแจ้งเตือนเสด็จอาเก้าเช่นกัน ด้วยตัวตนของเขาไม่สามารถมีภรรยาเป็นคนธรรมดาได้
พวกเขาสองคนอยู่บนเรือลำเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าใครก็ว่ากันไม่ได้ทั้งนั้น
เสด็จอาเก้ายิ้มออกมา โน้มตัวไปด้านหน้า พูดกับหวังจิ่นหลิงด้วยแรงกดดัน “ข้าสามารถละทิ้งตัวตนของข้าได้ตลอดเวลา แต่เจ้าล่ะ เจ้าสามารถทำได้หรือไม่?”
เสด็จอาเก้าไม่ได้พูดออกมาโดยไม่คิด เขาตั้งใจจะบอกกับหวังจิ่นหลิงว่า ตำแหน่งชินอ๋องแห่งตงหลิงนั้น สำหรับเขาแล้วมันไม่มีค่าอะไร
“เมื่อถึงเวลานั้น ยิ่งทำไม่ได้เข้าไปใหญ่” หวังจิ่นหลิงรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าสามารถทำได้ เนื่องจากเขาไม่ใช่ชินอ๋องแห่งตงหลิง แต่เขาจะมีสถานะที่สูงส่งกว่านั้นอีก
พวกเขาล้วนเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับอำนาจ ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่สามารถออกจากวังวนนี้ได้ การใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน ปลีกตัวออกไปยังโลกภายนอก จะใช่หรือไม่ใช่เสด็จอาเก้า สำหรับเสด็จอาเก้าแล้วมันไม่สำคัญ
“ขอแค่ข้าปรารถนา ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้” เสด็จอาเก้าไม่ได้บอกหวังจิ่นหลิงว่าฐานะของเฟิ่งชิงเฉินนั้นล้ำค่าแค่ไหน
หากเป็นราชวงศ์ก่อน ต่อให้เป็นถึงผู้นำแห่งตระกูลหวังก็ยากที่จะได้เห็นลูกสาวของเฟิ่งหลี เมื่อพบลูกสาวของเฟิ่งหลีก็ต้องคุกเข่าและก้มหน้า ไม่มีสิทธิ์จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ
ด้วยสถานะอันสูงส่งถึงเพียงนี้ ไม่ว่าผู้ชายคนใดในโลกก็คู่ควรทั้งนั้น แต่แค่ตอนนี้ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ หากพูดออกมาตอนนี้อาจทำให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นอันตราย
หวังจิ่นหลิงหลับตาเพื่อซ่อนความขมขื่นในดวงตาของเขา “เจ้าถามนางหรือยังว่านางเต็มใจหรือไม่?”
บางทีอาจจะมีวันหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นจริง แต่เฟิ่งชิงเฉินจะเต็มใจกับการผูกมัดของตัวตนนั้นหรือไม่?
หวังจิ่นหลิงสงสัย
“นี่เป็นเรื่องของข้ากับนาง องค์ชายใหญ่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ หากคุณชายไม่มีเรื่องอื่นใด งั้นพวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว” ท่าทางของเสด็จอาเก้าเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการพูดอะไรมากไปกว่านั้น
อันที่จริง เขาเกลียดที่มีคนเอาเรื่องนี้มาพูดต่อหน้าเขามาโดยตลอด ตอนนี้เขาสามารถแต่งงานกับเสด็จอาเก้าได้หรือไม่ ตัวเขารู้ดีที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกมาพูดพล่อย ๆ ข้างหูของเขา
“ข้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา แต่ข้ามีคำพูดหนึ่งอยากจะบอกเจ้าไว้ อย่ามั่นใจมากเกินไป นางไม่มีทางจะรอเจ้าอยู่ที่เดิมได้ตลอดไป”
เจ้าไม่ได้เป็นเพียงตัวเลือกเดียวของเฟิ่งชิงเฉิน ขอแค่นางเต็มใจ นางสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ……