นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 752-1 หยุด รบกวนข้า
ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินแดงก่ำ ผมของนางยุ่งเหยิง มีรอยฟันบนแก้มของนาง และดวงตาของนางมีร่องรอยแห่งความเสน่ห์หา
เมื่อหันมามองเสด็จอาเก้า ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ความเยือกเย็นบนร่างกายลดลงไปมาก ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีแค่ไหน
ด้วยการท่าทางของพวกเขาสองคนในตอนนี้ ประกอบกับการปรากฏตัวออกมาจากความมืด หากบอกว่าพวกเขาไม่มีอะไรกัน ต่อให้เป็นหมูก็ไม่มีทางเชื่อ
ฮึ……หวังจิ่นหลิงยิ้มอย่างขมขื่น ในตอนนี้เขาไม่อยากให้ดวงตาของตนเองเห็นฉากดังกล่าวเลย หากมองไม่เห็น หัวใจของเขาก็คงไม่เจ็บปวดถึงขนาดนี้
แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นมานานแล้วแต่ตราบใดที่เขาไม่เห็นมันด้วยตาของตนเอง เขาก็สามารถหลอกตัวเองต่อไปได้ บอกตนเองว่ายังมีโอกาส แต่แล้วตอนนี้ล่ะ?
แม้แต่เศษเสี้ยวแห่งความหวังสุดท้ายก็ถูกเสด็จอาเก้าทำลายจนสิ้นซาก
หวังจิ่นหลิงมองไปที่ท้องฟ้าอันมืดมิดแล้วยิ้มออกมา……
หวังจิ่นหลิงยังเห็น แล้วมือหรือที่เซวียนเส้าฉีจะมองไม่เห็น สายตาของเขาจ้องมองไปที่เสด็จอาเก้าอย่างเยือกเย็น
การกระทำเช่นนี้ของเสด็จอาเก้ามันช่างต่ำช้าเหลือเกิน เซวียนเส้าฉีมั่นใจได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะต้องไม่รู้ว่าสภาพในตอนนี้ของตนเองเป็นเช่นไร ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ออกมาด้านนอกด้วยสภาพแบบนี้
“ทุกคนกลับไปได้แล้ว” เซวียนเส้าฉีออกคำสั่งกับลูกน้องของเขา เหล่าศิษย์ของเผ่าเสวียนเซียวกงไม่ใช่คนโง่ เมื่อรู้ว่าภรรยากาศแปลกไป เมื่อได้ยินคำสั่งของเซวียนเส้าฉีก็รีบหายไปทันที
ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งอาจทำให้ตายเร็วมากเท่านั้น
เมื่อทุกคนจากไป ด้านนอกเหลือเพียงแค่พวกเขาสี่คนเท่านั้น หัวใจของหวังจิ่นหลิงรู้สึกเจ็บปวด หันหน้าไปอีกหน้าหนึ่งโดยไม่หันกลับมา ไม่อยากเห็นหน้าของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินสั่นไหวเล็กน้อย มีแสงแห่งความสับสนแฝงอยู่ในนั้น
มีเรื่องอะไรที่นางไม่รู้เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?
เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองหวังจิ่นหลิง จากนั้นก็หันไปมองเซวียนเส้าฉี ท้ายที่สุดหันไปมองเสด็จอาเก้า เซวียนเส้าฉีอ้าปากเพื่อต้องการแจ้งเตือนเฟิ่งชิงเฉิน แต่เสด็จอาเก้าเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่ง ขวางเขาเอาไว้ ยืนอยู่ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉินพร้อมกล่าวว่า “อย่าคิดมาก พรุ่งนี้ก็ต้องจากที่นี่ไปแล้ว องค์ชายใหญ่คนไม่อยากจากที่แห่งนี้ไป”
ขณะที่พูดออกมา เสด็จอาเก้าก็ไม่ลืมทำผมของเฟิ่งชิงเฉินให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม
ด้วยเหตุผลซึ่งไร้สาระ เฟิ่งชิงเฉินมองไปยังเสด็จอาเก้าด้วยสายตาไม่พอใจ เฟิ่งชิงเฉินอดทนต่อการกระทำของเสด็จอาเก้า เงียบ ไม่พูดอะไร
แม้จะรู้สึกว่าเสด็จอาเก้านั้นแสดงออกกับนางใกล้ชิดมากเกินไปเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่เมื่อลองคิดดูให้ดีแล้ว พวกเขาสองคนคืนดีกันแล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่อยากให้เสด็จอาเก้าต้องลำบากใจ จึงให้ความร่วมมือแต่โดยดี แค่ใช่สายตาในการแจ้งเตือนเสด็จอาเก้าในจุดที่เซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิงมองไม่เห็นมันก็เพียงพอแล้ว
แววตาของเสด็จอาเก้าเผยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจ ไม่ได้พูดอะไร หลังจากทำผมให้เฟิ่งชิงเฉินเรียบร้อยแล้ว เขาใช้นิ้วของเขาลูบไปที่รอยฟันบนแก้มของเฟิ่งชิงเฉิน
ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินตื่นตัว แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่มันสงบลงอย่างรวดเร็ว มองมายังเสด็จอาเก้าด้วยใบหน้าอันสับสน “เจ้าจะทำอะไร?”
เสด็จอาเก้าส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จับมือของเฟิ่งชิงเฉิน กดที่หลังมือของนางเบา ๆ ปลอบนางอย่างเงียบ ๆ หันกลับมาและพูดกับเซวียนเส้าฉีว่า “ไม่ทราบว่ากลางดึกแบบนี้ เจ้าวังมาหาข้าด้วยเรื่องอันใด”
“เจ้าก็รู้อย่างนั้นหรือว่าตอนนี้มันดึกแล้ว” เซวียนเส้าฉีเห็นเฟิ่งชิงเฉินกลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว ความโกรธในใจของเขาลดลง แต่น้ำเสียงของเขายังคงก้าวร้าว
เซวียนเส้าฉีโกรธที่เสด็จอาเก้าทำตัวเจ้าชู้ใส่เฟิ่งชิงเฉิน แม้เขาจะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉิน แต่การที่เห็นเสด็จอาเก้าเข้าใกล้เฟิ่งชิงเฉิน ประกอบกับการกระทำที่เหมือนไม่มีใครเห็น มันทำให้เขาไม่มีความสุขและอยากจะฆ่าเสด็จอาเก้าในตอนนี้
เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร แต่เสด็จอาเก้านั้นพูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “เซวียนเส้าฉี แม้นี่จะเป็นเผ่าเสวียนเซียวกงของเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเข้ามายุ่งเรื่องของข้าได้”
คำพูดของเสด็จอาเก้าคือการแจ้งเตือนเซวียนเส้าฉีว่าให้สุภาพกว่านี้ อย่าพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกับออกคำสั่ง อย่าลืมถึงสถานะของทั้งสองฝ่าย
ฮู้ว……เซวียนเส้าฉีรู้ว่าตนเองเสียมารยาท สูดลมหายใจเข้า ฝืนยิ้มออกมา กล่าวขอโทษด้วยความไม่เต็มใจ “ข้ารุนแรงเกินขอบเขต ขอเสด็จอาเก้าโปรดอภัย”
หากตอนนี้เขาสามารถยิ้มออกมาอย่างจริงใจได้ก็บ้าแล้ว เสด็จอาเก้าเย่อหยิ่งเกินไป แต่เขาก็ไม่สามารถพูดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ออกมาได้ ไม่อย่างนั้นเฟิ่งชิงเฉินจะต้องอับอาย
เสด็จอาเก้าพยักหน้าเพื่อบ่งบอกตนเองยอมรับคำขอโทษจากเซวียนเส้าฉี “ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าวังถึงอยากพบข้ามากขึ้นนี้ มีเรื่องอันใดงั้นหรือ?”
“จากคำรายงานของศิษย์ บอกว่าหาตัวเสด็จอาเก้าไม่พบ ข้าจึงรู้สึกเป็นห่วง จึงทำการตามหา แต่คิดไม่ถึงว่าเสด็จอาเก้าจะมาอยู่กับชิงเฉิน” เซวียนเส้าฉีเหลือตามองมายังเฟิ่งชิงเฉินซึ่งยืนอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าสงสัย เขาแอบถอนหายใจ
แม้เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนฉลาด แต่เมื่อเทียบกับสุนัขจิ้งจอกอย่างเสด็จอาเก้า มันก็ยังไม่พอ
เซวียนเส้าฉีไม่รู้ ในระหว่างการพูดคุยถามตอบกันไปมา เสด็จอาเก้าได้ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้แล้ว เซวียนเส้าฉีตกอยู่ในการควบคุมของเสด็จอาเก้าอย่างไม่มีข้อกังขา
หวังจิ่นหลิงรู้เรื่องนี้ดีแต่เขาไม่มีความคิดจะยื่นมือเข้ามายุ่ง ตอนนี้อารมณ์ของไม่ดี เขากลัวว่าตนเองจะเสียสติและพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไรเลย
เสด็จอาเก้ามองดูการเคลื่อนไหวของเซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิง รู้ว่าหวังจิ่นหลิงไม่คิดจะยื่นมือเข้ามายุ่ง จึงหันไปพูดกับเซวียนเส้าฉีโดยเฉพาะ “ข้าไม่ใช่เด็ก ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าวังมาค่อยจับตาดูหรือเป็นห่วงข้า”
นี่คือการแจ้งเตือนของเซวียนเส้าฉีว่าอย่ามายุ่งเรื่องของตน เป็นแค่เจ้าวังอันต่ำต้อย มีสิทธิ์อะไรจะมายุ่งเรื่องของเขา
“เสด็จอาเก้า ท่านเป็นแขกคนสำคัญของเผ่าเสวียนเซียวกง แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องดูแลท่านเป็นอย่างดี ตอนนี้มันก็ดึกมาแล้ว ข้ากังวลว่าเสด็จอาเก้าจะหลงทาง” เซวียนเส้าฉีเก็บซ่อนความรู้สึกในใจ และเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่นแทน
เดิมทีเขาสงสัยว่าความวุ่นวายในคืนนี้และการปรากฏตัวของหลานจิ่วชิงมีความเกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้า แต่ดูจากตอนนี้แล้วมันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
แน่นอนเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเสด็จอาเก้านั้นจะเกี่ยวข้องกับหลานจิ่วชิง เพราะแบบนั้นคงจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นการที่เสด็จอาเก้าอยู่กับเฟิ่งชิงเฉินนานขนาดนี้ แถมดูจากสภาพของทั้งสองคน มันจะต้องเกิดเรื่องอะไรที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“ข้าไม่คุ้นเคยกับเผ่าเสวียนเซียวกงและก็ไม่มีความสนใจด้วย” เขาไม่ได้ต้องการเผ่าเสวียนเซียวกง เซวียนเส้าฉีสามารถวางใจได้
“วันหลังหากมีโอกาสข้าจะพาเสด็จอาเก้าทำความคุ้นเคยกับเผ่าเสวียนเซียวกง แม้จะเทียบกับพระราชวังไม่ได้ แต่มีธรรมชาติและความงดงามที่ต่างกัน” หากต้องการเผ่าเสวียนเซียวกง มันก็ต้องดูก่อนว่าตนเองมีความสามารถนั้นหรือไม่ เซวียนเส้าฉีไม่ต้องการทานจากคนอื่น แม้จะพูดว่าร่วมมือกัน แต่เขาก็ใช้ความสามารถของตนเองในการปกป้องเผ่าเสวียนเซียวกง
“ข้าชอบเดินคนเดียวมากกว่า อีกอย่างข้าไม่ชอบตำหนักที่ไร้ชีวิตชีวา” ต่อให้เป็นรองแค่สี่ประเทศแล้วยังไง แค่กองกำลังภายนอกกองกำลังเดียว เขาไม่ต้องการ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็ไม่บังคับ ดึกมากแล้ว ข้าไม่ขอรบกวนเวลาพักผ่อนของท่าน” เซวียนเส้าฉีกล่าวอย่างสุภาพ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ การป้องกันในสายตาของเขาไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกคิดว่าเสด็จอาเก้าจะตอบกลับมาตามสถานการณ์ คิดไม่ถึงเลยว่าเสด็จอาเก้าจะขมวดคิ้วและตอบกลับมาอย่างไม่พอใจ “เจ้าได้รบกวนข้าไปแล้ว”
รบกวนคำนี้หมายความว่าอย่างไร ชายทั้งสามคนรู้ดีอยู่แก่ใจ มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ท่าทางของเซวียนเส้าฉีและหวังจิ่นหลิงน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม เสด็จอาเก้า เจ้าไร้ยางอายถึงขนาดนี้เลยหรือ?
ชายทั้งสองหันกลับมาโดยพร้อมกัน จ้องมองเสด็จอาเก้าด้วยสายตาอันดุเดือด เสด็จอาเก้าไม่ตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย และจ้องมองไปยังพวกเขาทั้งสอง……
เขากล้าทำถึงขนาดนี้แล้ว ยังต้องกลัวคนอื่นรู้อีกงั้นหรือ !