นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 776 พักชั่วคราว สองแสนแผ่นทองมาส่งถึงที่

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 776 พักชั่วคราว สองแสนแผ่นทองมาส่งถึงที่

โจ่วอันคุ้นชินกับชีวิตที่มีศัตรูตามมาแก้แค้นตนเองมานานแล้ว ขอแค่สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่แปลก ๆ ซึ่งกำลังเข้าใกล้ที่พักของเขา โจ่วอันก็สามารถรับรู้ได้ทันที อีกอย่างเสด็จอาเก้าก็ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของตนเองแต่อย่างใด หากโจ่วอันยังไม่รู้ถึงการมาของเสด็จอาเก้า แบบนั้นเขาก็คงไม่คู่ควรกับอาชีพมือสังหาร

โจ่วอันขวางอยู่หน้าประตู ไม่ได้ลงมือและไม่ปล่อยให้เสด็จอาเก้าเดินเข้าไป เสด็จอาเก้าเองก็ไม่พูดอะไร จ้องมองโจ่วอันอย่างนิ่งสงบ ซึ่งตรงกันข้ามกับความวิตกกังวลในใจของเขาอย่างสิ้นเชิง

เสด็จอาเก้าคุ้นเคยกับสถานการณ์เช่นนี้ดี โจ่วอันเองก็คุ้นเคยกับความเงียบ ทั้งสองคนจ้องหน้ากันอยู่นานโดยไม่พูดอะไร ราวกับกำลังแข่งกันว่าความอดทนของใครมากกว่า

เคยได้ยินมาว่าโจ่วอันเคยไม่พูดอะไรเป็นระยะเวลาสามเดือน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวเสด็จอาเก้า อีกอย่างต่อให้ร้อนรน คนที่ร้อนรนก็ไม่น่าใช่เขา

แต่ตอนที่เห็นแววตาอันล้ำลึกของเสด็จอาเก้าเปลี่ยนเป็นดวงตาอันเยือกเย็น โจ่วอันรู้สึกว่ากำลังถูกสายตาอันน่าหวาดกลัวของอาจารย์จ้องมองอยู่

ร่างกายของโจ่วอันสั่นเทา เขาเลิกต่อสู้อย่างไร้ความหมายกับเสด็จอาเก้า แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ไปทั้งแบบนี้ แววตาของโจ่วอันจับจ้องไปยังร่างของเฟิ่งชิงเฉิน ขมวดคิ้วและถามออกมาว่า “เสด็จอาเก้า นี่กำลังนำสองแสนแผ่นทองมามอบให้ข้าอย่างนั้นหรือ?”

สองแสนแผ่นทองนั้นหมายถึงเฟิ่งชิงเฉิน ซึ่งหมายถึงชีวิตของนาง

“เจ้ารับไหวอย่างนั้นหรือ” เสด็จอาเก้าเลิกคิ้วขึ้น แม้จะไม่ได้ปล่อยจิตสังหารออกมา แต่โจ่วอันรู้ดีว่าเสด็จอาเก้าไม่ชอบที่เขาพูดถึงเรื่องนี้

เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด โจ่วอันยักไหล่ ปกติแล้วเขาก็ไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาไม่จำเป็นต้องไปเปิดจุดของเสด็จอาเก้า โจ่วอันไม่สนใจเสด็จอาเก้า มาหาถึงที่ แน่นอนว่าต้องมีเรื่องให้ช่วย เขาไม่จำเป็นต้องลดตัวลงไปด้วยตนเอง

โจ่วอันยืนกอดอกพิงประตูด้วยท่าทางเกียจคร้าน มองมายังเสด็จอาเก้าอย่างนิ่งสงบ ต้องการดูว่าเสด็จอาเก้าจะพูดอะไรออกมา

ในโลกของโลกนักสังหารไม่มีใครเรียกชื่อของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขาต่างเรียกเฟิ่งชิงเฉินว่าสองแสนแผ่นทอง นี่มันทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้น กระตือรือร้นจะฆ่าเมื่อได้พบ และคำถามที่พบบ่อยก็คือ “สองแสนแผ่นทองตายไปแล้วหรือยัง?” ไม่ก็ “สองแสนแผ่นทองอยู่ที่ไหน?”

ด้วยเหตุนี้สามารถเห็นได้ทันทีว่าสำหรับมือสังหารแล้ว เฟิ่งชิงเฉินน่าดึงดูดมากเพียงใด หากไม่มีเสด็จอาเก้าอยู่ด้วย เขาคงตัดคอของเฟิ่งชิงเฉินไปตั้งนานแล้ว

เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าโจ่วอันเป็นคนอย่างไร ชีวิตนี้ของเขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับอาวุธ ของสิ่งอื่นเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ดังนั้นเสด็จอาเก้าจึงโยนปืนในมือให้โจ่วอันและกล่าวว่า “ข้าและเฟิ่งชิงเฉินขอพักอยู่กับเจ้าชั่วคราว”

“ได้ ไม่มีปัญหา ส่วนจะเป็นหรือตายนั้นไม่เกี่ยวกับข้า” โจ่วอันคว้าปืนไว้ ทำการศึกษาทันที เสด็จอาเก้าอุ้มเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปด้านใน เขาก็ไม่ได้ขวางเอาไว้ หรือพูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อเฟิ่งชิงเฉินรู้ถึงนิสัยของโจ่วอัน นางสงสัยเป็นอย่างมากว่าโจ่วอันมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร สุดท้ายตอนนี้ถึงได้รู้ว่า โจ่วอันมีความสามารถที่รับรู้ถึงอันตรายโดยธรรมชาติ และมีความสามารถในการป้องกันตนเองของมือสังหารอยู่

เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเข้ามาอาศัยอยู่ในที่พักของโจ่วอัน ทำให้เหล่าองครักษ์เสื้อแพรไม่พบเห็นร่องรอยของพวกเขามาเป็นเวลาหลายวัน

เนื่องจากใครก็ตามที่มีความสามารถต่างรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินมีมูลค่าสูงสุดในโลกของมือสังหาร ต่อให้พวกเขาตายก็คงคิดไม่ได้ว่า เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินซึ่งได้รับบาดเจ็บมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของโจ่วอัน นี่ไม่ใช่แกว่งเท้าหาเสี้ยนอย่างนั้นหรือ แต่……

ช่วงนี้หลายคนทำตัวแปลกประหลาด เสด็จอาเก้ากล้าเข้ามาอาศัย โจ่วอันก็ไม่ลงมือสังหารเฟิ่งชิงเฉิน ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินพักฟื้นอยู่ในบ้านของเขา นำยาและอาหารที่เขารวบรวมไว้เป็นอย่างดีกินเข้าไปเหมือนขนม

เอาเถอะ ในความเป็นจริงโจ่วอันผู้คลั่งไคล้ในอาวุธได้อยู่ในห้องทดลองของตนเองมาเป็นระยะเวลาห้าวันโดยไม่ออกมาด้านนอก เห็นได้ชัดว่าเด็กคนนี้คลั่งไคล้ในอาวุธมากแค่ไหน เขาไม่ได้ถามเสด็จอาเก้าด้วยซ้ำว่าเสด็จอาเก้ามอบปืนกระบอกนี้ให้กับเขา หรือว่าให้เขายืมไปศึกษาเพียงเท่านั้น

ต้องบอกเลยว่าโจ่วอันใช้ชีวิตอยู่ในซีหลิงได้ไม่เลว เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินพักอยู่ในบ้านของเขามาเป็นเวลาห้าวัน องครักษ์เสื้อแพรถึงจะค้นพบร่องรอยบางอย่าง

โดยไม่คาดคิด เมื่อองครักษ์เสื้อแพรยืนยันข้อมูลว่าเป็นความจริง เตรียมพร้อมจะลงมือ รอยคล้ำใต้ดวงตา ตาแดง ผอมแห้ง แต่โจ่วอันกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาเดินออกมาจากห้องวิจัยพร้อมกับชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย

โจ่วอันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาอยากจะคุยกับเฟิ่งชิงเฉินซึ่งเป็นเจ้าของปืน สุดท้ายกลับพบว่าบ้านของตนเองถูกล้อมไปด้วยองครักษ์เสื้อแพร ใบหน้าของเขาเยือกเย็นขึ้นทันที ปล่อยจิตสังหารอันรุนแรงไปยังพวกขององครักษ์เสื้อแพร

จิตสังหารของโจ่วอันนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ผู้ที่เคยเห็นฉากอันน่ากลัวและผ่านการต่อสู้มามากมาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารของโจ่วอันกลับอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น ฝืนก้าวไปด้านหน้า “คุณชายโจ่ว ข้าได้รับคำสั่งให้มาจับตัวผู้หลบหนี คุณชายโจ่วโปรดให้ความร่วมมือ”

อีกฝ่ายให้เกียรติมาก แต่โจ่วอันไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “อย่ามาเรียกข้าว่าคุณชายโจ่ว อยากขอความร่วมมือก็ให้ไปขอกับแม่ของเจ้า อย่าเข้ามายุ่งในพื้นที่ของข้า”

เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามา อย่างน้อยก่อนที่โจ่วอันจะรู้ถึงเหตุผลที่ชัดเจน เขาก็ไม่มีทางยอมปล่อยให้คนพวกนี้ทำร้ายเฟิ่งชิงเฉิน

“คุณ คุณชายโจ่ว เสด็จอาเก้าแห่งตงหลิงแอบเข้ามาในประเทศของเราด้วยเจตนาชั่วร้าย จักรพรรดิสั่งให้องครักษ์เสื้อแพรมากำจัดเขา คุณชายโจ่ว ข้ามาที่นี่เพราะคำสั่ง ขอคุณชายโจ่วโปรดอย่าทำให้พวกข้าต้องลำบากใจ” รองหัวหน้าของอีกฝ่ายกล่าวออกมา

คนอื่นไม่รู้แต่พวกเขาที่เป็นองครักษ์เสื้อแพรรู้ คุณชายโจ่วคือลูกชายขององค์หญิงจางกับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย องค์หญิงจางมีลูกชายเพียงคนเดียว แม้จะไม่ยอมรับว่าเป็นลูกในไส้ของตนเอง แต่ก็รักและห่วงใยเป็นอย่างมาก ส่วนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ไม่ว่าเห็นแก่หน้าขององค์หญิงจาง หรือว่าเป็นเพราะรักลูกชายของเขา เขาไม่เคยทำให้โจ่วอันต้องเจ็บปวด

น่าเสียดาย ตั้งแต่ที่โจ่วอันบูชานักฆ่าเป็นอาจารย์ โดยพื้นฐานแล้วเขาต้องออกจากซีหลิง ตัดขาดกับซีหลิง เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากซีหลิง ตรงกันข้าม มีแต่ซีหลิงต้องการความช่วยเหลือจากเขาเพื่อสังหารคนที่หมายหัว

โจ่วอันไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับอำนาจของจักรวรรดิ และคำพูดของรองหัวหน้าทำให้ความอดทนของเขาใกล้จะหมดลง เขาพูดด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “มันไม่ใช่เรื่องของข้า พวกเจ้าไสหัวไป ไม่ก็บุกเข้ามา”

มือสังหารไม่มีความผูกพันกับประเทศ เขารู้จักเพียงแค่เงิน อีกอย่าง นอกจากซีหลิงจะมอบฐานะลูกนอกสมรสให้เขาแล้ว ยังมอบอะไรอย่างอื่นให้เขาอีก?

“คุณชายโจ่ว ข้า ข้า……” รองหัวหน้าจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดว่าเขาไม่สามารถเอาชนะโจ่วอันได้ ต่อให้เขาสามารถเอาชนะได้เขาก็ไม่กล้าลงมือ หากทำให้โจ่วอันเกิดอันตราย ไม่ว่าจำเป็นองค์หญิงจางหรืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน เขาเป็นแค่หนึ่งในสี่รองหัวหน้าขององครักษ์เสื้อแพร ไม่สามารถอธิบายหรือชี้แนะแก่บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ได้ และไม่มีอำนาจมากพอในการจัดการกับองค์หญิงจางและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย

“หึ……” โจ่วอันไม่เห็นท่าทางอันน่าสงสารของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา อย่าคิดว่าเขาไม่สนใจเรื่องของประเทศชาติแล้วเขาจะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ผู้บัญชาการแห่งองครักษ์เสื้อแพรต้องการนำตัวของเสด็จอาเก้าไปเพื่อสร้างผลงานให้จักรพรรดิได้เห็น แต่ความเป็นจริงแล้วจักรพรรดินั้นไม่เห็นด้วย ก็ไม่ได้ว่าอะไร แค่โจ่วอันเข้าใจเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมากกว่าจักรพรรดิ

หากไม่ใช่เพราะความตั้งใจของทั้งสอง องครักษ์เสื้อแพรไม่มีทางพบร่องรอยของพวกเขาอย่างแน่นอน ต้องรู้ก่อนว่าเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงนั้นมาจากตงหลิง ตลอดการเดินทางไม่มีใครรับรู้ถึงตัวตนของพวกเขา แค่นี้ก็รู้แล้วว่าความสามารถในการซ่อนพรางของพวกเขานั้นมากแค่ไหน

และมีแค่องครักษ์เสื้อแพรกลุ่มนี้เท่านั้นที่คิดว่าตนเองเป็นผู้พบร่องรอยของเสด็จอาเก้า และสามารถจัดการกับพวกเขาได้

โจ่วอันรู้ว่าในระยะเวลาอันสั้น อีกฝ่ายไม่มีทางลงมือ ไม่สนใจคนขององครักษ์เสื้อแพรพวกนี้ เขาเดินเข้าไปหาเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินโดยตรง

สีหน้าของรองหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรดูขมขื่น ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี ทำได้เพียงเฝ้าระวังและจับตาดูที่พักของโจ่วอันต่อไป และส่งให้คนไปรับคำสั่ง

เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอก แน่นอนเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินรับรู้เป็นอย่างดี เมื่อเห็นโจ่วอันสามารถขับไล่คนพวกนั้นออกไปได้โดยคำพูดเพียงไม่กี่คำ เฟิ่งชิงเฉินก็กล่าวออกมาอย่างไม่เต็มใจว่า “มองไม่ออกเลยว่า ในซีหลิง โจ่วอันจะมีสถานะสูงส่งถึงเพียงนี้”

“ไม่เกี่ยวกับสถานะ ไม่มีใครคิดจะทำให้โจ่วอันขุ่นเคือง การตกเป็นเป้าหมายของมือสังหารชั้นยอดเป็นเรื่องอะไรที่แย่มาก” ศิลปะการต่อสู้ของโจ่วอันอาจไม่ดีเท่าที่ควร แต่ทักษะการลอบสังหารของเขานั้นไม่เป็นรองใคร เมื่อตกเป็นเป้าหมายของโจ่วอันมันก็ไม่ต่างอะไรกับการตายไปแล้ว

“ปัง……” โจ่วอันเตะประตูและเดินเข้ามาหาเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่สนใจคำพูดของพวกเขา เขาไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้แม้กระทั่งว่าทำไมองครักษ์เสื้อแพรถึงไม่กล้ายั่วยุเขา เหตุผลนั้นมันก็คงหนีไม่พ้นถึงเรื่องที่เขาเป็นลูกชายขององค์หญิงจาง

หากแม่ของเขารักเขาจริง นางคงไม่โยนเขามาให้คนรับใช้ นางคงไม่เมินเขาในตอนที่เขาถูกกลุ่มของมือสังหารพาตัวไปโดยไม่ถามหรือไม่รับฟัง หากไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมา แม่ของเขาก็คงจำเขาไม่ได้

“พวกเจ้าจะไปเมื่อไหร่?” โจ่วอันกัดฟัน สองคนนี้อยู่บ้านของตนราวกับเป็นคนในครอบครัว ดูสบายกว่าตนเองเสียอีก

“เจ้านำปืนกระบอกนั้นคืนให้ข้าเมื่อไหร่ พวกข้าก็จะไปเมื่อนั้น” เสด็จอาเก้ากล่าวออกไปอย่างใจเย็น

“คืนให้เจ้า? เจ้าฝันไปหรือเปล่า ของสิ่งนี้เป็นของข้า นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องจ่ายให้ข้าเมื่อมาอยู่ที่นี่” โจ่วอันเพิ่งรู้สึกตัวว่า ระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะมีสิ่งกีดขวางกั้นอยู่ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เสด็จอาเก้าไม่เคยพูดว่าจะยกปืนกระบอกนี้ให้เขา

หน้าเลือด! ใบหน้าที่ดูกังวลของโจ่วอันในตอนแรก ตอนนี้มันชัดเจนขึ้นมาก ใบหน้าขาวซีดราวกับศพ ร่างกายของเขาปล่อยรัศมีแห่งความกลัดกลุ้มใจออกมา มันช่างน่าสยองขวัญ

เสด็จอาเก้าไม่เห็นโจ่วอันอยู่ในสายตา เขาใช้ส้อมเสียบผลไม้ชิ้นหนึ่งป้อนเข้าไปในปากของเฟิ่งชิงเฉิน ขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า “โจ่วอัน เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ข้ายังไม่เคยพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะยกปืนกระบอกนี้ให้เจ้า แค่ให้เจ้าเก็บรักษาไว้ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้ถึงเวลาคืนแล้วหรือเปล่า”

เสด็จอาเก้ายื่นฝ่ามือออกมาทางด้านหน้าของโจ่วอัน มันเหมือนกับการบังคับ

โจ่วอันรู้ดีว่าการโต้เถียงทางวาจากับเสด็จอาเก้า เขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย รู้ว่าการโต้เถียงทางวาจากับ “เสด็จอาเก้า อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าสังหารพวกเจ้า”

โจ่วอันกัดฟันด้วยความโกรธ เขาไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้ นี่เป็นตัวอย่างทั่วไปของการข้ามแม่น้ำและรื้อสะพาน แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะมาถูกเสด็จอาเก้าหลอกในวันนี้

สู้จนตัวตาย หากต้องการสังหารเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับโจ่วอัน เรื่องนี้เสด็จอาเก้ารู้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะกลัวโจ่วอัน

เสด็จอาเก้าป้อนอาหารให้เฟิ่งชิงเฉินต่อไป พร้อมพูดกับโจ่วอันว่า “โจ่วอัน เจ้ารู้ถึงพลังทำลายของระเบิดเทียนเหล่ยหรือไม่”

“ระเบิดเทียนเหล่ย? เจ้าคิดจะทำอะไร” หัวใจของโจ่วอันสั่นสะท้าน เขารู้สึกได้ทันทีว่าเสด็จอาเก้ากำลังบีบคอเขา เขามองไปยังเสด็จอาเก้าด้วยความเกลียดชัง ตงหลิงจิ่ว เสด็จอาเก้า เป็นมือสังหารเฉกเช่นพวกเขา คุกคามผู้คน ซึ่งมันน่ารังเกียจเกินไป

“มันก็เป็นอย่างที่เจ้าคิด เจ้าสุดยอดมากก็จริง ข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่สิ่งที่เจ้ากำลังศึกษาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธหรือสถานที่ ทั้งหมดจะต้านความรุนแรงของระเบิดเทียนเหล่ยได้อย่างนั้นหรือ?”

นี่เป็นภัยคุกคาม ภัยคุกคามโดยสมบูรณ์ เสด็จอาเก้าใช้สิ่งที่โจ่วอันรักมากที่สุดในการข่มขู่เขา โจ่วอันสุดจะกลั้น ชักดาบออกมาและชี้ไปยังเสด็จอาเก้า “เจ้ากล้าอย่างนั้นหรือ!”

ชั่วพริบตา อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างมาก เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินเชื่อ หากพวกเขากระตุ้นโจ่วอันไปมากกว่านี้ โจ่วอันจะต้องลงมือสังหารพวกเขาเป็นแน่

แต่เขาไม่มีทางปล่อยเปิดโอกาสให้โจ่วอัน เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจจิตสังหารของโจ่วอัน นางหยิบผ้าด้านข้างขึ้นมาเช็ดปาก

เสด็จอาเก้าโกรธจนหน้าดำ งั้นปล่อยให้นางรับบทเป็นคนดีแล้วกัน!

วันนี้พวกเขาจะต้องชักจูงโจ่วอันให้จงได้

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท