นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 778 ติดกับ ข้ามกำแพงกลางดึก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 778 ติดกับ ข้ามกำแพงกลางดึก

เฟิ่งชิงเฉินอธิบายวิธีการกระโดดลงมาให้โจ่วอันฟังอย่างละเอียด บอกสิ่งที่ควรระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขอให้โจ่วอันกล่าวซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจำได้ เฟิ่งชิงเฉินถึงตะโกนออกมาว่า กระโดด

สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์กระโดดร่ม ตึกสูงแปดสิบเมตรนั้นไม่เทียบไม่ได้กับอะไรเลย เฟิ่งชิงเฉินไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย แต่เสด็จอาเก้าและโจ่วอันค่อนข้างเป็นห่วงนาง เนื่องจากพวกเขายังไม่เข้าใจอย่างชัดเจนว่าร่มชูชีพที่เฟิ่งชิงเฉินพูดถึงนั้นมีประโยชน์หรือไม่อย่างไร

แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่สนใจ “วางใจ ตกลงไปก็ไม่ตาย หากตกลงไปแล้วตาย ก็แค่เอาศพของข้าไปเป็นรางวัล”

ได้ยินคำพูดนี้สีหน้าของเสด็จอาเก้ามืดมนในทันที แต่ดวงตาของโจ่วอันกลับเปล่งประกายพร้อมกับพยักหน้า เปรียบเสมือนกำลังบอกว่าเป็นข้อตกลงที่คุ้มค่า จนถึงขั้นเร่งให้เฟิ่งชิงเฉินรีบกระโดดลงไป ในระหว่างที่กระโดด หากร่มชูชีพไม่ทำงานก็อย่าลืมนำมือทั้งสองข้างป้องกันศีรษะของตนเองไว้

เฟิ่งชิงเฉินได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกขอบคุณโจ่วอัน รู้สึกว่าช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมานั้นถือว่าไม่สูญเปล่า ทุกคนมีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่คำพูดหลังจากนั้นของโจ่วอันกลับทำให้เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินโกรธเป็นอย่างมาก

โจ่วอันกล่าวออกมาว่า “หากศีรษะของเจ้าแหลกละเอียด มันก็ยากจะพิสูจน์ถึงตัวตนของเจ้า แบบนั้นคงแลกรางวัลได้ยาก”

หากคำพูดนี้เป็นเพียงแค่คำพูดล้อเล่นมันก็แล้วไป แต่ใบหน้าของโจ่วอันนั้นดูจริงจัง มันจะต้องไม่ใช่คำพูดล้อเล่นอย่างแน่นอน เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก

“เจ้าวางใจ ต่อให้เจ้าตาย ข้าก็ไม่มีทางตายไปกับเจ้า ตอนนี้ข้าจะกระโดดลงไปให้เจ้าดู” เฟิ่งชิงเฉินกัดฟันด้วยความโกรธ เมื่อพูดจบ นางก็กระโดดลงไปทันที

“เฟิ่งชิงเฉิน” เฟิ่งชิงเฉินกระโดดลงไปอย่างกะทันหัน ทำให้เสด็จอาเก้าตกใจ รีบกระโดดตามเฟิ่งชิงเฉินลงไป และต้องการจับแขนของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้

“เฟิ่งชิงเฉิน ยื่นมือมา” เสด็จอาเก้ากระโดดลงไป ลำตัวตั้งตรง เสียงลมกระทบใบหู ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็ว ต้องการจับแขนของเฟิ่งชิงเฉินไว้

“ข้าไม่เป็นไร เจ้าจำที่ข้าพูดกับเจ้าได้ไหม รีบดึงเชือกออก” การกระทำของเสด็จอาเก้าทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกใจไม่น้อย แต่ตอนนี้อยู่กลางอากาศ ทั้งสองคนจึงพูดคุยอะไรกันได้ไม่มาก ทำได้เพียงแค่ดูแลตัวเอง

“ปัง” เฟิ่งชิงเฉินกระตุกร่มชูชีพ ลอยอยู่บนท้องฟ้าราวกับดอกเห็ด มันดึงร่างของเฟิ่งชิงเฉินขึ้น ชะลอความเร็วในการตกถึงพื้นของเฟิ่งชิงเฉิน

เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่เป็นไร เสด็จอาเก้าสงบลงในทันที จากนั้นกระตุกร่มของตนเองเช่นเดียวกับเฟิ่งชิงเฉิน ปลิวไปบนอากาศและตกลงพื้นอย่างช้า ๆ

“เฮ้ย นี่มันได้ผล” แม้ฟ้าจะมืด แต่ด้วยความสามารถของโจ่วอัน เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เห็นเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินลอยอยู่บนอากาศ หัวใจของโจ่วอันเต้นแรง กระโดดลงไป กระตุกร่มชูชีพบนอากาศ จากนั้นตามหลังเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าตกลงสู่พื้น

ตุบ……โจ่วอันลงสู่พื้นอย่างราบรื่นพร้อมกับร่มชูชีพด้านหลังของเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไร? เจ้าไม่เป็นอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าไม่เป็นอะไร แล้วเจ้ามีความสุขงั้นหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินเก็บร่มชูชีพ ยื่นส่งให้เสด็จอาเก้า จากนั้นก้าวไปด้านหน้าเพื่อปลดร่มชูชีพจากโจ่วอัน แต่โจ่วอันกลับปฏิเสธ “เฟิ่งชิงเฉิน นี่เป็นของข้า นี่เป็นของข้า เจ้าจะแย่งไปไม่ได้”

“ร่มชูชีพนี้กลายเป็นของเจ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่? โจ่วอัน ข้าไม่เคยพูดว่าจะให้มันกับเจ้า และไม่เคยพูดว่าจะให้เจ้าเก็บมันไว้ แค่ให้เจ้าลองใช้มันกระโดดลงมาเท่านั้น ตอนนี้กระโดดลงมาแล้ว และข้าก็ชนะแล้ว เจ้าควรคืนทุกอย่างให้กับข้า” เฟิ่งชิงเฉินหยุดการกระทำของนาง ยื่นมือออกไปหาโจ่วอันเพื่อบอกกับโจ่วอันว่าให้คืนร่มชูชีพให้กับนาง

“เจ้า……” ความจริงอยู่ตรงหน้า ไม่ง่ายเลยที่โจ่วอันจะเถียงออกไปข้าง ๆ คู ๆ แต่เขาทำใจไม่ได้ โจ่วอันจับร่มชูชีพไว้แน่น บ่งบอกว่าเขาไม่ต้องการคืนมันให้เฟิ่งชิงเฉิน

“ข้าทำไม? โจ่วอัน พวกเรามีข้อตกลงกันอย่างสุภาพบุรุษ เจ้านำสิ่งของของข้าคืนมาเดี๋ยวนี้ ข้าจะไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แต่โจ่วอันกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเฟิ่งชิงเฉินนั้นช่างทิ่มแทงเหลือเกิน

“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าตั้งใจจะหลอกข้าใช่ไหม” โจ่วอันหาเหตุผลไม่ได้ จึงกล่าวออกมาด้วยความโกรธ

“ข้าหลอกอะไรเจ้า การเดิมพันระหว่างพวกเรา เจ้าเองก็เห็นด้วย ทำไม? ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้งั้นหรือ? หากเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็แค่ปืนหนึ่งกระบอก กับร่มชูชีพเพียงอันเดียว ของที่ดีกว่านี้ข้ายังมีอีกมากมาย เจ้าจะเอาไปก็ไม่เป็นไร เสด็จอาเก้า พวกเราไปกันเถอะ” เฟิ่งชิงเฉินจากไปอย่างเรียบง่ายโดยไม่สนใจโจ่วอัน

เสด็จอาเก้ากะพริบตาเพื่อซ่อนรอยยิ้มในหัวใจของเขา เขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า โจ่วอันจะต้องตามมา

เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินเดินออกไปจากเมือง ทิ้งโจ่วอันซึ่งกำลังสับสนกับตัวเองอยู่ว่าควรจะตามไปดีหรือไม่ไว้เพียงลำพัง

ในตอนที่โจ่วอันกำลังลังเล ในที่สุดองครักษ์เสื้อแพรแห่งซีหลิงก็ไล่ตามเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินมาจนสำเร็จ พวกเขาไม่ได้ลงมือขณะอยู่ในเมือง รอให้เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินออกจากเมืองก่อนแล้วค่อยลงมือ

เนื่องจากต้องการจับตัวเสด็จอาเก้า ทำให้องครักษ์เสื้อแพรสูญเสียคนไปจำนวนมาก และยังมีคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยเฉพาะเรื่องการเผากระท่อม ทำให้ผู้คนเสียชีวิตไปมากกว่าห้าสิบคน เรื่องที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้ จึงเป็นสาเหตุให้ขุนนางในเมืองเริ่มเข้ามาก้าวก่ายกับองครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพรสูญเสียคนไปตั้งมากมาย แต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย จักรพรรดิเองก็ไม่พอใจ สั่งการให้องครักษ์เสื้อแพรจับตัวเสด็จอาเก้ามาให้จงได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องดูความสงบในซ่างจิงไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวาย

ดังนั้นหลายวันที่ผ่านมาองครักษ์เสื้อแพรจึงไม่เคลื่อนไหว แม้จะพบร่องรอยของเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน แต่ก็ไม่ได้ลงมือในทันที รอให้พวกเขาออกมาจากซ่างจิงก่อน จากนั้นค่อยลงมือ

อย่างไรก็ตามในดินแดนซีหลิง การที่พวกเขาจะจับตัวเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

แม้ว่าผู้ซึ่งกำลังไล่ตามพวกเขาจะเป็นมืออาชีพ แต่เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ใช่สัตว์กินพืช เมื่อพวกที่ไล่ตามเคลื่อนไหว ทั้งสองคนก็รับรู้ในทันที มองหน้ากัน ทุกอย่างเกิดขึ้นในความเงียบ

เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินแสร้งทำเป็นไม่รู้ เดินทางออกจากเมืองต่อไป เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมลงมือ ก็เดาว่าพวกเขาจะลงมือหลังออกไปนอกเมือง และเมื่อมาถึงนอกเมือง มันก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่องครักษ์เสื้อแพรคิด

เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินหยุดตรงประตูเมือง รู้ว่าด้านนอกมีการซุ่มโจมตีอยู่ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีความคิดจะหันหลังกลับ

ควับ……เสด็จอาเก้ากดไหล่ซ้ายของตนเอง มีแสงสีเงินพุ่งออกมาจากข้อมือของเขา เกิดเสียงดังขึ้นตรงข้างกำแพง เสด็จอาเก้าใช้แรงในการดึงมันไว้เพื่อทำให้มั่นใจว่าแข็งแกร่งมากพอ หลังจากนั้นก็ใช้มือโอบไปยังเอวของเฟิ่งชิงเฉิน ได้ยินเสียง “หวือ” ดังขึ้น เสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินก็ลอยขึ้นไปบนอากาศราวกับเทพเซียนในตำนาน พุ่งขึ้นไปด้านบนของกำแพง

ในขณะเดียวกัน ดอกไม้ไฟดอกหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนอากาศ เสียงระเบิดดังลั่น เหมือนกับดาวตกที่พุ่งผ่านท้องฟ้า แสงประกายเจิดจ้า เสด็จอาเก้ารู้ว่านี่คือการส่งสัญญาณขององครักษ์เสื้อแพรเพื่อบอกให้ผู้ซึ่งอยู่ด้านนอกของกำแพงเตรียมตัวลงมือ

“เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน?”

คนขององครักษ์เสื้อแพรคิดว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินใช้วิชาตัวเบาในการข้ามกำแพงเมือง แต่โจ่วอันเข้าใจว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินใช้ประโยชน์จากสิ่งอื่น

ใช่ โจ่วอันยอมรับว่าเขาสนใจ เขาสนใจในสิ่งของแปลกประเหล่านี้ หากในมือของเฟิ่งชิงเฉินมีของพวกนี้อยู่มากมายจริง เขาก็ไม่รังเกียจที่จะคืนร่มชูชีพให้เฟิ่งชิงเฉินเพื่อแลกกับสิ่งที่ดีกว่า

ภายใต้การจ้องมองขององครักษ์เสื้อแพร โจ่วอันกระโดดขึ้นไปเบา ๆ ไล่ตามเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉิน ตอนแรกคิดว่าทั้งสองคนกำลังถูกองครักษ์เสื้อแพรล้อมและตกอยู่ในอันตราย กำลังรอความช่วยเหลือจากมือสังหารผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขา แต่ผลลัพธ์ก็คือ……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท