นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 784 ตามหาคน ข้าต้องการพบลู่เส้าหลิน
มีป้ายคำสั่งของเสด็จอาเก้าแต่กลับไม่ได้แม้แต่เห็นหน้าของซุนซือสิง ดูเหมือนว่าผู้ชักใหญ่อยู่เบื้องหลังคงมีอำนาจเป็นอย่างมาก ในเมื่อป้ายคำสั่งใช้ไม่ได้ผล เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ฝืนใช้มันต่อไป
“พวกเจ้าเงยหน้าขึ้นมาเถิด” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ตั้งใจจะทำให้สิ่งนี้ยุ่งยากกับผู้รับคำสั่ง หลังจากทั้งสองยืนขึ้น นางจึงกล่าวออกมาว่า “ไปรายงานให้ข้าหน่อย ข้าต้องการพบผู้บัญชาการของพวกเจ้า ใต้เท้าลู่”
“เอ๋?” องครักษ์ทั้งสองถึงกับผงะ ร่างกายตั้งตรงไม่เคลื่อนไหว ตอนแรกคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะยอมล่าถอย คิดไม่ถึงว่านางต้องการพบกับผู้บัญชาการของพวกเขา
“พวกเจ้าไปบอกใต้เท้าลู่ว่าชิงเฉินมาขอพบ” เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างไขว้หลัง บ่งบอกว่าหากไม่ได้เจอลู่เส้าหลิน นางจะไม่มีวันออกไปจากที่นี่
องครักษ์ทั้งสองมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินชื่อของเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางเฟิ่ง ใต้เท้าลู่ของพวกเราไม่พบปะกับคนนอก ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว ใต้เท้าลู่เองก็ไม่ได้อยู่ที่องครักษ์เสื้อโลหิต”
ชื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินนั้นโด่งดัง แต่มันก็เป็นที่รู้จักกันในบุคคลชั้นสูงเท่านั้น คนทั่วไปจะไปรู้จักชื่อของเฟิ่งชิงเฉินได้อย่างไร แม้บอกว่าครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินมาเพื่อสร้างปัญหาให้องครักษ์เสื้อโลหิต แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับใบหน้าขององครักษ์เสื้อโลหิตและลู่เส้าหลิน ลู่เส้าหลินต้องการปกปิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่แรก แน่นอนว่าผู้ที่เข้ามาประจำการใหม่พวกนี้จะไม่รู้จักเฟิ่งชิงเฉิน
“ข้าไม่ใช่คนนอก ข้าคือสหายของใต้เท้าลู่ของพวกเจ้า ใต้เท้าลู่ของพวกเจ้าอยู่ที่ไหนข้ารู้ดี เข้าไปรายงาน ใต้เท้าลู่ของพวกเจ้าจะออกมาพบข้าอย่างแน่นอน” ก่อนออกจากจวน เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจแต่งตัวดูดีเป็นพิเศษ ประกอบกับบุคลิกของนาง ทำให้สามารถข่มขู่ผู้คนได้เล็กน้อย
องครักษ์ทั้งสองลังเลอยู่ครู่หนึ่ง องครักษ์คนหนึ่งยืนเฝ้าประตู อีกคนเข้าไปรายงาน แน่นอนว่าก่อนจากไปเขาก็ไม่ลืมหันมาโกหกเฟิ่งชิงเฉิน “แม่นางเฟิ่ง ข้าเพิ่งจะมาทำงานที่นี่ ไม่รู้เหมือนกันว่าใต้เท้าอยู่ด้านในหรือไม่ รอข้าเข้าไปรายงาน หากใต้เท้าอยู่ ข้าจะออกมาเรียกแม่นางเข้าไป”
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าบ่งบอกว่าตกลง หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป องครักษ์ที่เข้าไปรายงานก็วิ่งออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “แม่นางเฟิ่ง โชคไม่ดีเหลือเกิน ใต้เท้าลู่ไม่อยู่ที่องครักษ์เสื้อโลหิต หลายวันที่ผ่านมานี้ร่างกายของใต้เท้าลู่ไม่ค่อยดี ไม่ได้มาทำงานหลายวันแล้ว หากแม่นางต้องการเข้าพบใต้เท้าลู่ เกรงว่าคงต้องรออีกหลายวัน”
“งั้นหรือ ใต้เท้าลู่ไม่อยู่ งั้นใครกันที่เป็นผู้ภารกิจขององครักษ์เสื้อโลหิต?” เฟิ่งชิงเฉินคิดไม่ถึงว่าลู่เส้าหลินจะหลีกเลี่ยงในการเจอหน้านางในเวลานี้ แต่……
เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ไม่อย่างนั้นลู่เส้าหลินคงไม่หลบหน้านางเช่นนี้
ลู่เส้าหลินเป็นใคร เป็นสุนัขรับใช้ที่ซื่อสัตย์ที่สุดของจักรพรรดิ นอกจากจักรพรรดิเขาก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงเรื่องของซือสิง เกรงว่าจักรพรรดิคงมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หากจักรพรรดิลงมือกับซือสิง แบบนั้นซือสิงก็คงต้องทนน่าอนาถใจ
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกไม่สบายใจยิ่งขึ้น แต่ไม่สามารถสังเกตเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากใบหน้าของนาง ใบหน้าของนางยังคงเยือกเย็น บอกให้องครักษ์ทั้งสองเข้าไปรายงานใหม่อีกครั้ง
องครักษ์ซึ่งเข้าไปรายงานเมื่อสักครู่รู้แล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นใคร เมื่อเห็นใบหน้าอันเยือกเย็นของเฟิ่งชิงเฉิน เขารู้สึกกลัวอยู่ชั่วขณะ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องเข้าไปรายงานอย่างช่วยไม่ได้
อากาศหนาวจัด เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ด้านนอกอย่างนั้น ใบหน้าของนางแข็งจนกลายเป็นสีม่วง รอไปสิบห้านาทีก็ยังไม่มีใครออกมา สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่องครักษ์อีกคนเริ่มทนไม่ไหว แสงเทียนริบหรี่ส่องบนใบหน้าของเขา เผยให้เห็นความกลัวและความกังวลอย่างไม่ต้องสงสัย
ในโลกใบนี้ ผู้ที่สามารถทำให้สมาชิกขององครักษ์เสื้อโลหิตรู้สึกหวาดกลัว เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินคงเป็นคนแรก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป มีชั้นน้ำแข็งบาง ๆ ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน คนขององครักษ์เสื้อโลหิตยังคงไม่เดินออกมาจากด้านใน เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี อีกฝ่ายต้องการให้ตนเองแข็งตาย
สูดลมหายใจเข้า รอยยิ้มอันเยือกเย็นปรากฏออกมาบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน เมื่อเทียบกับองครักษ์เสื้อโลหิต รอยยิ้มของนางดูน่ากลัวกว่ามาก ทำให้องครักษ์ซึ่งอยู่ด้านหน้าของนางกลัวจนตัวสั่น และเกือบจะเป็นลมหมดสติไป
เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น เก็บแววตาอันเฉยเมยของนาง ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ไว้หน้าตนเอง นางก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ นำปิ่นเฟิ่งออกมา ยื่นไปให้องครักษ์คนที่อยู่ด้านหน้า “ดูให้ดีว่าของสิ่งนี้คืออะไร”
“นี่มัน?” องครักษ์ผงะ มีเพียงลำแสงที่เล็ดลอดเข้าไปในดวงตาของเขา เขาไม่เห็นว่ามันคืออะไร เฟิ่งชิงเฉินผลักร่างของเขาออกไปและก้าวไปด้านหน้า
“แม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่ง เจ้าจะเข้าไปไม่ได้” องครักษ์ได้สติกลับคืนมา รีบวิ่งไปห้าม เฟิ่งชิงเฉินยกเท้าขึ้น ถีบเขาออกไป “หลบไป”
“มานี่เร็ว มาช่วยกันเร็ว มีคนบุกรุกคุกแห่งองครักษ์เสื้อโลหิต” องครักษ์ล้มลงพื้น กลิ้งไปสองรอบและลุกขึ้นยืน
แม้ว่าเขาจะเกรงกลัวในอำนาจของเสด็จอาเก้า แต่ก็กลัวว่าจะปกป้องหัวของตนเองไว้ไม่ได้มากกว่า
ตุบ ตุบ ตุบ!
จากเสียงตะโกนขององครักษ์เฝ้าประตู ในตอนนั้นคนจำนวนมากกำลังแห่เข้ามา จากเสียงฝีเท้า รู้ได้ทันทีว่าคนพวกนี้ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่สนใจ
ทงจือและทงเหยาได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะได้รับอันตราย พวกนางรีบกระโดดลงมาจากรถม้า ปกป้องเฟิ่งชิงเฉินไว้ทางด้านซ้ายและขวา นี่คือหน่วยสืบราชการลับของตงหลิง คนพวกนี้จะไว้หน้าเซิ่งหมิ่นฮองเฮาหรือไม่นั้นก็พูดยาก แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สนใจ นางยังคงเดินเข้าไปแบบนั้น
ยิ่งไม่ได้เห็นซุนซือสิง นางก็ยิ่งร้อนใจ
“กล้าดีเหลือเกิน หยุดเดี๋ยวนี้”
“เจ้ากล้ามาก กล้าที่จะมีเรื่องกับองครักษ์เสื้อโลหิต ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม”
ควับ ควับ ควับ หอกยาวจำนวนมากมุ่งตรงมายังเฟิ่งชิงเฉิน ขวางทางเดินของเฟิ่งชิงเฉินไว้
“หลบไป” เฟิ่งชิงเฉินเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จ้องมองไปยังเหล่าองครักษ์เสื้อโลหิตด้วยสายตาอันเยือกเย็น องครักษ์เสื้อโลหิตเหล่านั้นตกใจจนถอยหลังกลับไปเล็กน้อย จากนั้นตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญว่า “กล้าดีเหลือเกิน”
“เป็นข้าหรือพวกเจ้าที่กล้าดีเกินไป พวกเจ้าเองก็น่าจะรู้ ดูให้ดีว่าในมือของข้าถืออะไรอยู่” เฟิ่งชิงเฉินยื่นปิ่นเฟิ่งให้องครักษ์ที่อยู่ด้านหน้า ดวงตาขององครักษ์ผู้นั้นเบิกกว้าง มือของเขาสั่นเทา อ่านคำที่เขียนอยู่ด้านบน “พระราชมารดาแห่งตงหลิง”
“พระราชมารดาแห่งตงหลิง เซิ่งหมิ่นฮองเฮา นี่คือปิ่นเฟิ่งที่จักรพรรดิองค์ก่อนมอบให้เซิ่งหมิ่นฮองเฮา เมื่อมีของชิ้นนี้อยู่ก็เท่ากับว่ามีอำนาจของพระราชมารดาแห่งตงหลิงอยู่ในมือ เจ้าดูมันให้เต็มตา” เฟิ่งชิงเฉินพูดออกไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ
ปิ่นเฟิ่งนี้สามารถทำให้ราชองครักษ์ตกใจกลัวได้ แน่นอนว่ามันก็สามารถทำให้คนขององครักษ์เสื้อโลหิตผู้ต่ำต้อยตกใจกลัวได้เช่นกัน ตอนที่อยู่ในคุกฟ้า จักรพรรดิสั่งให้คนไปขโมยมันมา แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
จักรพรรดินึกว่าเสด็จอาเก้าเป็นคนนำปิ่นเฟิ่งชิ้นนี้กลับไป แต่ไม่รู้ว่าคนอย่างเสด็จอาเก้าเมื่อให้อะไรใครไปแล้ว น้อยมากที่จะรับคืน
แม้องครักษ์เสื้อโลหิตจะเป็นหน่วยงานสอดแนมที่จักรพรรดิควบคุมโดยตรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเข้าจะสามารถแยกตัวออกจากขั้วอำนาจของราชวงศ์ได้ เฟิ่งชิงเฉินนำปิ่นเฟิ่งของเซิ่งหมิ่นฮองเฮาออกมา พวกเขาก็จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมัน
“ไป ไปเชิญใต้เท้าหลินออกมา” องครักษ์ที่เห็นปิ่นเฟิ่ง เขาหันไปพูดกับองครักษ์ที่อยู่ด้านข้าง องครักษ์ผู้นั้นรีบวิ่งเข้าไป ครั้งนี้รวดเร็วเป็นอย่างมาก ผ่านไปไม่ถึงครึ่งก้านธูป ใต้เท้าหลินดังกล่าวก็รีบวิ่งออกมาด้วยความร้อนรน
“อั๊ยย่ะ แม่นางเฟิ่งจะมาที่นี่ทำไมถึงไม่ยอมบอกกันก่อน เจ้าพวกงี่เง่าเหล่านี้เป็นองครักษ์ใหม่ ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ แม่นางเฟิ่งอย่าได้ไปถือสาพวกเขา” ท่ามกลางอากาศหนาว ใต้เท้าหลินวิ่งออกมา เหงื่อแตกพลั่กไปทั่วร่างกาย เช็ดเหงื่อพร้อมกับบอกให้องครักษ์เหล่านี้ถอยกลับไป
อีกฝ่ายนำสิ่งของของจักรพรรดิองค์ก่อนออกมา หากทำเช่นนี้ต่อไป จะไม่ถือเป็นการไม่เคารพจักรพรรดิองค์ก่อนอย่างนั้นหรือ? ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นองครักษ์เสื้อโลหิตได้ ย่อมไม่มีใครเป็นคนโง่ เหล่าองครักษ์รีบวางหอกในมือของตนเองลง ราวกับบรรยากาศที่ตึงเครียดก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองพฤติกรรมของใต้เท้าหลิน นางมั่นใจว่าตนเองไม่รู้จักอีกฝ่าย นั่นก็แสดงว่าลู่เส้าหลินส่งคนผู้นี้ออกมาเพื่อขับไล่ตนเองกลับไป……