นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 791 เมื่อคืนเฟิ่งชิงเฉินไปไหน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 791 เมื่อคืนเฟิ่งชิงเฉินไปไหน ?

คนธรรมดากลัวเจ้าหน้าที่ ขุนนาง และบรรดาผู้ที่อาจหาญเท่านั้นที่ออกความเห็นเรื่องของจวนซุ่นหนิง แต่พวกเขาไม่กล้าออกความเห็นเกี่ยวกับองครักษ์เสื้อโลหิต

ในสายตาของคนทั่วไปองครักษ์เสื้อโลหิตก็เหมือนผีที่ตามหลอกหลอน ทุกครั้งที่องครักษ์เสื้อโลหิตออกไปตรวจตรา มักจะทำให้เด็ก ๆ ตกใจ พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคุยกับองครักษ์เสื้อโลหิตเพราะกลัวว่าองครักษ์เสื้อโลหิตจะพบและจับพวกเขาเข้าคุก

คนธรรมดาทั่วไปทำได้แค่ด่าจวนซุ่นหนิง ด่าคุณหนูจวนซุ่นหนิง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับองครักษ์เสื้อโลหิตนั้นไม่มีใครอยากออกความเห็น แต่บรรดาคุณชายตระกูลชั้นสูง นักเรียนไท่ซือ และผู้ที่มาสอบในตงหลิง พวกเขาล้วนต้องการที่จะเป็นขุนนางเพื่อรับใช้ราษฏร และเมื่อได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แสดงความเห็น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการรุมประชาทัณฑ์โดยองครักษ์เสื้อโลหิต ทุกคนพูดถึงคำจำกัดความและขอบเขตของการรุมประชาทัณฑ์ ชื่อเสียงขององครักษ์เสื้อสีเลือดไม่ค่อยจะดีนัก คุณชายต่าง ๆ รวมตัวกันเพื่อส่งหนังสือฟ้องร้ององครักษ์เสื้อโลหิต

เหตุการณ์เกิดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ไม่มีใครพูดแทนองครักษ์เสื้อโลหิต ส่วนจวนซุ่นหนิงนั้นถูกคนทั่วไปด่าประจานเรื่องเหตุแห่งการแต่งงาน ทุกคนในจวนล้วนก้มศีรษะไม่กล้าพูด และอยากจะกลับบ้านเพื่อเลิกกับภรรยา

เพิ่งรุ่งสาง เหล่าขุนนางยังไม่ตื่นพวกเขายังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหลวง และกว่าจะรู้เรื่องก็สายไปเสียแล้ว

ขณะที่ขุนนางไปที่ตำหนัก องครักษ์เสื้อโลหิตพบหนังสือก็รีบรายงาน และแสดงถึงประสิทธิภาพการทำงานของพวกเขา แต่หนังสือฉบับนั้นไม่สามารถกลบข่าวลือได้ ยิ่งตรวจสอบพบว่าองครักษ์เสื้อโลหิตโหดเหี้ยมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งครึกครื้นมากเท่านั้น

และในตอนนี้ มีข่าวแจ้งเรื่องคนรับใช้จวนเฟิ่งฟ้องจวนซุ่นหนิงที่ศาลต้าหลี่ คราวนี้ครึกครื้นมากกว่าเดิม ทุกคนต่างก็ไปที่ศาลต้าหลี่

อย่างไรก็ตาม นี่คือสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินต้องการ ยิ่งเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น เหล่าขุนนางก็ยากที่จะดำเนินการอย่างลับ ศาลต้าหลี่ยังไม่เห็นกระดาษโน้ตที่กระจัดกระจายอยู่ในคอกม้า เขารู้สึกตกใจกับกระดาษวิงวอนในตอนเช้า กระดาษวิงวอนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ สิ่งที่แปลกคือเนื้อหาในหนังสือที่ส่งมา

จวนขุนนางผู้ภักดีต้องการบอกจวนองครักษ์เสื้อสีโลหิตและจวนซุ่นหนิงหรือ? ศาลต้าหลี่ถึงกับหัวเราะ จวนขุนนางผู้ภักดีไม่ใช่จวนขุนนางที่พ่อแม่เสียชีวิตแล้ว เหลือเพียงเด็กกำพร้าไว้ในจวนเหรอ

เฟิ่งชิงเฉิงมีชื่อเสียงอย่างมาก แต่ไม่ว่านางจะมีชื่อเสียงแค่ไหน นางก็ไม่มีทุนทรัพย์ที่จะฟ้ององครักษ์เสื้อโลหิต ศาลต้าหลี่พูดคุยอย่างไม่สนใจที่จะยุ่งกับคนกลุ่มนี้ และให้เสี่ยวชื่อนำผู้ที่ถูกฟ้องยี่สิบกว่าคนออกมา แต่คำสั่งยังไม่ออกไป เสี่ยวชื่อก็ถือหนังสือพร้อมตระโกนเสียงดัง

“ผู้อาวุโสแย่แล้ว แย่แล้ว”

“อะไรคือแย่แล้ว ผู้อาวุโสของข้ายังดีอยู่ ” ศาลต้าหลี่ตกใจจนลุกจากเก้าอี้พร้อมกับพ่นชาออกจากปาก

เสี่ยวชื่อตกใจแต่ยังคงทำหน้าที่ของเขา และยื่นหนังสือสองฉบับให้กับศาลต้าหลี่อ่าน “ผู้อาวุโส อ่านสิ”

“อะไรนะ?” ศาลต้าหลี่หยิบจดหมายขึ้นมาดูอย่างไม่แปลกใจ เมื่อเขาอ่านเนื้อหา เขาก็ยืดตัวตรง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก และหนวดเคราของเขาก็เชิดขึ้น “จดหมายนี้มาจากไหน ?”

“ใต้ท้าว ข้อความนี้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงในชั่วข้ามคืน องครักษ์เสื้อสีเลือดได้ส่งคนไปจัดการกับมันแล้ว เมื่อองครักษ์เสื้อสีเลือดได้ยินว่ามีคนต้องการจะบอกพวกเขา เขาก็ส่งคนมา โปรดจัดการคดีนี้ด้วยความระมัดระวัง” องครักษ์เสื้อสีเลือดเตือนศาลต้าหลี่ตามที่เขาพูดทุกประการ

ทันทีทีศาลต้าหลี่ได้ยิน เขาก็เข้าใจว่าเขาต้องรับช่วงคดีจวนขุนนางผู้ภักดี และต้องพิจารณาคดีนี้ “เบิกความ และนำโจทก์ไปที่ห้องโถง”

การพิจารณาคดี เลขาของศาลต้าหลี่อยู่ในตำแหน่งนี้มายี่สิบปี ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้มีคดีกี่คดี เขาไม่เคยแตะคดียาก ๆ เลย แต่คดีนี้ทำให้เลขาศาลต้าหลี่หงุดหงิด เขารู้เสมอว่าอนาคตของเขาผูกขาดกับศาลต้าหลี่ เขาจึงเชิญ ขุนนางฝ่ายซ้ายและขุนนางฝ่ายขวามาพิจารณาคดีร่วมกันตามเหตุผล

ศาลต้าหลี่เป็นสถานที่ที่มีความยุติธรรม ขุนนางฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวานั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน สองคนนี้มาจากองค์รัชทายาทและตงหลิงจื่อลั่วซึ่งหมายความว่าสามคนนี้เป็นตัวแทนของทั้งสามฝ่าย

ศาลต้าหลี่นั่งอยู่ตรงกลาง อำนาจเต็มบัลลังก์ จากนั้นศาลต้าหลี่ก็ถาม “ทนายซ่ง สาวใช้ทั้งสองของจวนเฟิ่งฟ้องจวนซุ่นหนิงและองครักษ์เสื้อสีโลหิต มีหลักฐานหรือไม่? หากไม่มีก็อย่่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”

คนที่ฟ้องหากไม่มีหลักฐาน จะโดนเฆี่ยน อย่าพูดพล่อย ๆ เป็นอันขาด

ถงเหยาคุกเข่าลงบนพื้น ทนายซ่งในฐานะทนายความผู้เบิกความไม่คุกเข่า เมื่อได้ยินคำถามจากศาลต้าหลี่ เขาพูดในสิ่งที่สาวใช้จวนเฟิ่งบอกเขา “ใต้ท้าว เราเป็นเหยื่อ เราเป็นราษฎร ไม่ใช่ขุนนาง เรื่องนี้ขุนนางต้องหาหลักฐาน และควรส่งคนไปที่จวนซุ่นหนิงและจวนองครักษ์เสื้อสีเลือดเพื่อค้นหาหลักฐาน”

นี่คือสิ่งที่ทนายซ่งกล่าวด้วยความมั่นใจ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจความกระวนกระวายใจมาก และเขาไม่มีความมั่นใจเลย เขาไม่เคยเห็นคนทั่วไปฟ้องขุนนาง และขอให้ขุนนางหาหลักฐานด้วยตัวเอง

สาวใช้ตระกูลเฟิ่งนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ

“บังอาจ พวกเจ้ากำลังฟ้องร้องจวนซุ่นหนิง และองครักษ์เสื้อสีโลหิตโดยไม่มีหลักฐานและเหตุผล เจ้ากำลังรนหาที่ตาย” สีหน้าของเลขาศาลต้าหลี่สงบลง เมื่อเขาได้ยินว่าตระกูลเฟิ่ง ไม่สามารถแสดงหลักฐาน แต่ขุนนางฝ่ายซ้ายเข้าใจว่าศาลแห่งนี้มีความสุข ….ถ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่ต้องเดือดร้อนใคร

ขุนนางฝ่าบซ้ายมาจากองค์รัชทายาทและลั่วอ๋องก่อนที่จะได้รับคำอธิบาย พวกเขายังคงรอดูท่าทีต่อเรื่องนี้ก่อน พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง

ทนายซ่งที่ตระกูลหวังส่งมาก็มีความสามารถเช่นกัน คน ๆ นี้รับมือไม่ง่าย และก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง “ใต้ท้าว จะเข้าไปหาหลักฐานที่จวนซุ่นหนิง จวนองครักษ์เสื้อสีโลหิตได้อย่างไร ?

ใต้ท้าวรอให้ข้าแสดงหลักฐานนั้นเป็นเรื่องยาก ข้าน้อยมิอาจหาได้ และคน ๆ นี้ไม่ง่ายที่จะดำเนินการ ใต้ท้าวก็เป็นขุนนาง เหตุใดจึงไม่ทำงานเพื่อราษฏร ข้าน้อยเป็นราษฏรทั่วไปไม่ร่ำรวย ไม่มีอำนาจ หากต้องการให้ข้าหาหลักฐานด้วยตนเอง จะมีขุนนางทำหน้าที่นี้ไปเพื่ออะไร ?”

ทนายซ่งสีหน้าเคร่งขรึม ในฐานะทนายมือหนึ่งของตระกูลหวัง เรื่องฝีปากของเขาไม่จำเป็นต้องพูด

ศาลต้าหลี่รู้เรื่องนี้เช่นกัน แต่เมื่อได้ยินความผิดพลาดนี้ ศาลต้าหลี่แทบจะตบโต๊ะด้วยความโกรธ “กล้ามาก กล้าขู่ข้าอย่างนั้นหรือ ตามสิ่งที่เจ้ากล่าว ในอนาคตใครก็ตาม ใครฟ้องขุนนางโดยเจตนาจะถูกรัฐบาลลงโทษเช่นกัน ต่อไปหากมีเหตุฟ้องความเท็จ เหล่าขุนนางมิต้องไปหาหลักฐานไม่เว้นแต่ละวันหรือ?”

ศาลต้าหลี่ไม่โง่ เขาพบช่องโหว่ในคำพูดของทนายหวังเพียงไม่กี่ประโยค และโจมตีช่องโหว่นั้น และมองไปที่ทนายซ่งด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ รอให้เขาต่อสู้กลับ

ทนายซ่งยิ้มอย่างสุภาพ โค้งคำนับเล็กน้อย จากนั้นก้มศีรษะลงซ่อนความดูถูกในดวงตา “ใต้ท้าว ข้าน้อยไม่ได้ยื่นคำร้องอย่างไม่มีเหตุผล ข้าน้อยเขียนหนังสือร้องต่อศาลไว้อย่างชัดเจน มีหมอเทวดาที่ชื่อว่าซุ่นซือสิงให้การรักษาในจวนซุ่นหนิง แต่สุดท้ายแล้วถูกจวนซุ่นหนิงปองร้าย ขังอยู่ในจวนซุ่นหนิง ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ใต้ท้าว จวนซุ่นหนิงไม่มีหลักฐานที่จะทำให้คุณชายซุนเข้าคุกได้ นี่ไม่ใช่อาชญากรรมในการใช้อำนาจในทางที่ผิดอีกหรือ ? และหลังจากองครักษ์เสื้อสีโลหิตจับเขาเข้าคุก นี่ไม่ใช่อาชญากรรมที่เกิดจากการละทิ้งหน้าที่หรือ? ใต้ท้าว อาชญากรรมของคุณชายซุ่นนั้นยังไม่ได้รับการตัดสิน แต่เขากลับหายตัวไป ข้าน้อยฟ้องจวนซุ่นหนิงและองครักษ์เสื้อแดงผิดด้วยหรือ”

“ใช่ ใช่”

“หมอเทวดาน้อยซุ่นไม่มีความผิด ไม่มีความผิด”

“โปรดปล่อยตัวหมอเทวดาน้อย ได้โปรด”

ทันทีที่ทนายซ่งกล่าวออกมา ก่อนที่ศาลต้าหลี่จะสอบสวน ผู้คนที่กำลังสังเกตุการณ์กำลังรอดู

ศาลต้าหลี่เป็นที่รู้จักในนามของสถานให้ความยุติธรรม และผู้คนสามารถเข้ามาดูการพิจารณาคดีได้ อย่างไรก็ตามวันธรรมดามีคนน้อย

หากมีคนจำนวนมากกำลังก็มหาศาล ผู้คนจำนวนมากตะโกนเสียงดัง ผลกระทบนั้นทนไม่ได้สำหรับคนทั่วไป ศาลต้าหลี่ตะคอก “หุบปาก หุบปาก”

หลังจากตะโกนติดต่อกันหลายสิบครั้ง ผู้ชมก็สงบลง ทนายซ่งรู้สึกว่าไม่มีหลักฐาน ไม่มีการเตรียมการ และทุกคนก็ไม่ได้มองในแง่ดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคิดว่าการฟ้องร้องที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้น และไม่อาจชนะได้

ทนายซ่งยืนอย่างสงบในโถงว่าความ เมื่อเห็นว่าทุกคนเงียบลง เขาไม่รอให้ศาลต้าหลี่พูด ทนายซ่งกล่าวต่อ “ใต้ท้าว ข้าน้อยยื่นคำร้องต่อจวนซุ่นหนิงเพราะพวกเขาไม่เกรงต่อกฎหมาย ควรลงโทษ”

ศาลต้าหลี่เตรียมการเรียกโจทก์และจำเลยหลังจากเห็นกระดาษสองแผ่นที่เต็มไปด้วยหลักฐานที่กล่าวโทษ เลขาศาลต้าหลี่ได้ส่งคนไปเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องของจวนซุ่นหนิงและองครักษ์เสื้อสีโลหิต

เมื่อคนจากจวนซุ่นหนิงและองครักษ์เสื้อสีโลหอตรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินฟ้องเรื่องนี้ต่อศาลต้าหลี่ พวกเขาก็รีบไปทันที

ทันทีที่ทนายซ่งพูดจบ เจ้าหน้าที่ตัวเล็ก ๆ ก็ก้าวไปข้างหน้า และกระซิบสองสามคำกับศาลต้าหลี่ จากนั้นศาลต้าหลี่ก็พยักหน้า”

แผนกคดีอาญาขององครักษ์เสื้อสีโลหิตมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับข้อพิพาททางอาญา และคดีของจวนซุ่นหนิง ดังนั้นคดีนี้อยู่ภายใต้เขตอำนาจของแผนกคดีอาญา และเป็นเรื่องปกติที่แผนกคดีอาญาจะดำเนินการ

หัวหน้าแผนกอาชญากรเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างผอมสูง ใบหน้าขาวซีดที่ไม่ได้เจอแสงแดดมาตลอดทั้งปี ดวงตาของเขาแดงก่ำ ร่างกายของเขาเปล่งรัศมีเย็นชา ทันทีที่เขาเข้าไปในห้องโถงว่าความ ผู้คนที่อยู่ข้างสนามก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว บรรยากาศเงียบมาก และไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังใด ๆ นี่แสดงให้เห็นว่าองครักษ์เสื้อสีโลหิตนั้นแข็งแกร่งเพียงใดในหัวใจของชาวตงหลิง

เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาของทนายซ่งฉายแววกังวล คนขององครักษ์เสื้อสีโลหิตเริ่มเข้ามาเช่นนี้ทำให้พวกเขาเสียประโยชน์

ทนายซ่งแตะถงเหยาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และถามเธอด้วยสายตาของเขาว่าเมื่อไหร่เฟิ่งชิงเฉินจะมาถึง เขาแค่ฟ้องในนามของเจ้านายของพวกเขา โจทก์ที่แท้จริงคือเฟิ่งชิงเฉิน หากเฟิ่งชิงเฉินไม่ปรากฏตัว พวกเขาเสียเปรียบมาก…

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท