นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 799 โต้แย้ง เบิกตัวเสด็จอาเก้า
การขอร้องของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสมเหตุสมผลมาก หัวหน้าศาลต้าหลี่ไม่มีความจำเป็นต้องทำให้เฟิ่งชิงเฉินลำบากใจ แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเฟิ่งชิงเฉินถึงต้องออกหน้ามาเอง แต่ก็เห็นด้วยกับอีกฝ่าย
ได้รับอนุญาตจากหัวหน้าศาลต้าหลี่ เฟิ่งชิงเฉินสามารถถามคำถามได้อย่างกล้าหาญโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รีบร้อนเอ่ยปาก แต่ค่อย ๆ ก้าวเดินไปด้านหน้า ยืนอยู่ด้านหน้าของหมิงเตี่ยน จ้องมองอดีตคนทรยศที่เคยเป็นองครักษ์ของตนอย่างไม่ลดละ
จ้องมองอย่างสงบและเยือกเย็น ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งคุกเข่า เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น แต่หมิงเตี่ยนกลับรู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากด้านบนศีรษะ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว จะเสียใจภายหลังไม่ได้ และในความเป็นจริงมันก็ไม่สามารถกลับมาเสียใจภายหลังได้
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โน้มน้าวหรือคุกคามฝ่ายตรงข้าง ในตอนที่ทุกคนทนรอต่อไปไม่ไหว เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปากถามออกมาอย่างเฉยเมย “หมิงเตี่ยน เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?”
คำถามนี้หมายความว่าอย่างไร? หมิงเตี่ยนไม่เข้าใจ แต่ทำได้เพียงพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “คุณหนูแห่งจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉิน”
“เจ้าพูดถูก ข้าคือคุณหนูแห่งจวนเฟิ่ง และในขณะเดียวกันข้าก็คือเจ้านายของเจ้า ถูกไหม?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ก้าวร้าว แต่คนที่เห็นและได้ยินคำพูดของนางก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังไม่พอใจ
ถูกลูกน้องหักหลัง แน่นอนว่าผู้เป็นนายจะต้องไม่พอใจ การแสดงออกและคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินถือว่าสุภาพมากแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีภาพของเจ้านายอยู่
“ใช่” หมิงเตี่ยนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไป
“งั้นหรือ แล้วข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร?” เฟิ่งชิงเฉินใช้กลอุบายเดียวกับที่ใช้กับตงหลิงจื่อชุนออกมา ดำเนินการไปทีละขั้นตอนเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าสู่กับดัก
“คุณหนูดูแลข้าเป็นอย่างดี” แม้จำถามของเฟิ่งชิงเฉินจะดูธรรมดา แต่ใบหน้าของหมิงเตี่ยนกลับซีดเซียวลงไปทุกที เหงื่อเย็นบนหน้าผากไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ดูจากท่าทางและเขาเองก็น่าจะรู้ว่าตนเองกำลังตกที่นั่งลำบาก
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทรยศเพราะเหตุใด ยังไงคนทรยศก็ต้องถูกลงโทษ คำถามก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดเดา เฟิ่งชิงเฉินไม่ปกปิดความโกรธของตนเองอีกต่อไป กล่าวออกมาด้วยอารมณ์โกรธว่า “หมิงเตี่ยน ในเมื่อข้าดีกับเจ้ามาตลอด งั้นทำไมเจ้าถึงต้องทรยศข้าด้วย? ทำไมเจ้าถึงได้ไปร่วมมือกับองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อใส่ร้ายข้า? คิดว่าเจ้าทำแบบนี้แล้วจะจัดการกับข้าได้อย่างนั้นหรือ? จัดการกับจวนซู่ชินอ๋องที่ส่งเจ้ามาให้ข้าได้อย่างนั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินเน้นพูดคำว่าจวนซู่ชินอ๋องอย่างชัดเจน เพื่อเตือนสติองครักษ์เสื้อโลหิต และเตือนสติหมิงเตี่ยน องครักษ์ผู้ทรยศต่อจวนเฟิ่ง ไม่เพียงแค่ทรยศต่อนางคนเดียวเท่านั้น แต่ยังทรยศต่อจวนซู่ชินอ๋องด้วย
ด้วยอำนาจและสถานะของซู่ชินอ๋อง หากเขาโกรธขึ้นมาเกรงว่าคงไม่ส่งผลดีต่อองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นแน่
ปัง ปัง ปัง……เม็ดเหงื่อที่เหมือนไข่มุกตกลงบนพื้น แตกกระจายไปทั่ว ร่างกายของหมิงเตี่ยนสั่นเทา ตอนนี้เขากลัวเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่มีทางให้ถอย เขาไม่ได้ทรยศ เขาแค่ภักดีต่อหน้าที่ของเขาเท่านั้น
เดิมทีเขาคือคนขององครักษ์เสื้อโลหิต องครักษ์เสื้อโลหิตส่งเขาเข้าไปเป็นสายลับในจวนซู่ชินอ๋อง หลังจากถูกส่งมายังจวนเฟิ่ง เขาก็มีหน้าที่คอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของจวนเฟิ่ง หน่วยเหนือต้องการให้เขาพูดถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แน่นอนว่าเขาต้องกัดเฟิ่งชิงเฉินให้ถึงที่สุด
“แม่นางเฟิ่ง ข้าขอโทษ ข้าไม่มีทางเลือก และข้าก็ไม่มีสิทธิ์เลือกด้วยเช่นกัน” เสียงของหมิงเตี่ยนดังก้องอยู่ในใจ
หมิงเตี่ยนสูดลมหายใจเข้า ระงับความกลัวในใจ ก้มหน้าลงต่ำ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเฟิ่งชิงเฉิน กล่าวเสียงสั่นออกมาว่า “คุณหนู ข้าไม่ได้ทรยศท่าน ข้าก็แค่……”
ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกเฟิ่งชิงเฉินขัดเอาไว้ก่อน “หมิงเตี่ยน เจ้าไม่ต้องพูดออกมาว่าทนเห็นข้าทำในสิ่งชั่วร้ายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเผยตัวออกมาเพื่อผดุงความยุติธรรม เพื่อชะล้างความบริสุทธิ์ให้แก่องครักษ์เสื้อโลหิต ฮึ คำพูดนี้อย่าว่าแต่ข้าเลย ตัวเจ้าเองก็เชื่อแบบนั้นหรือ?
หมิงเตี่ยน เจ้าทรยศข้า ข้าไม่โทษเจ้า เพราะทุกคนมีความทะเยอทะยานของตัวเอง เจ้ามีความทะเยอทะยานสูง การที่เจ้าต้องมาอยู่ในจวนเฟิ่งก็เหมือนกับการขังเจ้าไว้ในกรอบ ในฐานะเจ้านายของเจ้า ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำให้กับองครักษ์เสื้อโลหิตในวันนี้ จะส่งผลดีต่อลู่ทางในอนาคตของเจ้า หมิงเตี่ยน ในฐานะเจ้านายคนเก่าของเจ้า ข้าขอให้เจ้ามีอนาคตที่สดใส”
“คุณหนู……” ร่างกายของหมิงเตี่ยนแทบจะบิดตัว เขาเข้าใจในคำพูดของเฟิ่งชิงเฉิน และเขาก็รู้ว่าหลังจากเรื่องในวันนี้จบลง องครักษ์เสื้อโลหิตไม่มีทางปล่อยเขาเอาไว้อย่างแน่นอน เพื่อระงับความโกรธของซู่ชินอ๋อง องครักษ์เสื้อโลหิตไม่มีทางปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปแน่นอน
ในตอนที่เขาได้เป็นสายลับ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าอนาคตอันสดใสของเขาได้ดับสลายไปแล้ว แต่ในตอนที่วันนั้นมาถึง เขากลับรู้สึกกลัวจนไม่สามารถอธิบายออกมาได้ เขาไม่กล้าขอร้องให้เฟิ่งชิงเฉินปล่อยเขาไป เขาแค่อยากถามว่า ตอนนี้เขาสามารถขออะไรได้บ้าง?
หมิงเตี่ยนมองดูแผ่นหินใต้เท้าของเขาอย่างเศร้าใจพร้อมหลั่งน้ำตา เขาถูกองครักษ์เสื้อโลหิตทอดทิ้ง แม้แต่ชีวิตก็ไม่เหลือ เขาไม่สามารถขออะไรได้อีกต่อไปแล้ว
หึ……เฟิ่งชิงเฉินพ่นลมหายใจอันเยือกเย็นออกมา หันกลับมาด้วยความเย่อหยิ่ง ไม่สนใจคนทรยศตรงแทบเท้า ไม่สนใจว่าหมิงเตี่ยนจะภักดีแค่ไหน นางไม่สามารถปกป้องหมิงเตี่ยนได้อีกต่อไป อีกอย่างนางเองก็ไม่ใช่นักบุญ
เฟิ่งชิงเฉินไม่อธิบายอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย แค่บอกว่าตนเองผิดหวังในตัวของหมิงเตี่ยน แค่บอกว่าหมิงเตี่ยนทรยศเจ้านาย แต่การไม่บอกอะไรของนาง กลับเป็นการบอกว่าองครักษ์เสื้อโลหิตซื้อตัวองครักษ์ของนางเพื่อมาเป็นพยานเท็จ องครักษ์เสื้อโลหิตใช้ประโยชน์จากองครักษ์ของนาง
ครั้งนี้หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาฉลาดมาก ทันทีที่เห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ เขารีบออกหน้าทันที “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่ามาพูดไร้สาระ องครักษ์เสื้อโลหิตของข้าไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า เมื่อวานเจ้าบุกไปยังองครักษ์เสื้อโลหิตเพื่อชิงตัวนักโทษ นี่คือความจริง ตอนนี้องครักษ์แห่งจวนเฟิ่งของเจ้าออกมาเพื่อเปิดเผยความจริง ผดุงความยุติธรรม เจ้ายังไม่ยอมรับอีกอย่างนั้นหรือ หากเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่ไปตรวจสอบยังจวนของเจ้า พบว่าองครักษ์ของเจ้ามีอาการบาดเจ็บ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะปฏิเสธอย่างไร”
หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาโกรธจนแทบจะกลายเป็นบ้า เขาไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายเท่ากับเฟิ่งชิงเฉินมาก่อน เห็นกันอยู่ว่านางเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด แต่นางกลับโยนความรับผิดชอบมาให้องครักษ์เสื้อโลหิตอย่างพวกเขา
“หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาผู้ยิ่งใหญ่ ข้าขอแนะนำให้องครักษ์เสื้อโลหิตของเจ้านำพยานหลักฐานที่ดีกว่านี้ออกมา มีคนทรยศในจวนเฟิ่งของข้า มันคือการจัดการที่ผิดพลาดของจวนเฟิ่ง มันคงเร็วเกินไปหากจะให้ข้ายอมรับความผิดเพียงเพราะคำให้การจากปากของคนทรยศ หากทำเช่นนี้แล้วสามารถตัดสินคดีความได้ งั้นข้าก็คงต้องบอกว่าองครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้าทรยศต่อประเทศ หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะยอมรับหรือไม่?” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและพูดออกมา
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าอย่ามาใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น” ดวงตาของหัวหน้าฝ่ายคดีอาญาแดงก่ำ จ้องเขม็งไปยังร่างของเฟิ่งชิงเฉิน มันเหมือนกับสายตาของงูพิษ การทรยศประเทศถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย นางไม่กลัวคนอื่นตกใจตายหรือไง
เฟิ่งชิงเฉินปราศจากซึ่งความกลัว โต้กลับอย่างชอบธรรม “หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาผู้ยิ่งใหญ่ ข้าแค่พูดออกไปเท่านั้น ทำไมเจ้าถึงต้องโกรธถึงเพียงนี้ องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้าทำแบบนี้เคยคิดบ้างหรือไม่ คนอื่นที่ถูกพวกเจ้าทำเช่นนี้รู้สึกโกรธแค้นมากแค่ไหน หรือว่ามีแค่องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้าที่ทำร้ายคนอื่นได้ แต่คนอื่นไม่มีสิทธิ์จะมาทำร้ายพวกเจ้า?”
“องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเข้าเคยใส่ร้ายอะไรเจ้า?” หัวหน้าฝ่ายคดีอาญากัดฟัน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใส่ร้ายเฟิ่งชิงเฉินจริง ๆ
“เคยใส่ร้ายข้าหรือไม่ องครักษ์เสื้อโลหิตของพวกเจ้ารู้อยู่แก่ใจ หัวหน้าฝ่ายคดีอาญา เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าเมื่อวานข้าอยู่ที่ไหน นั่นมันหมายความว่าองครักษ์ผู้นี้กล่าวคำเท็จ อีกอย่างเขากล่าวว่าข้าพาเหล่าองครักษ์บุกมายังเรือนจำขององครักษ์เสื้อโลหิต หลังจากได้ยินเสียงดังขึ้น ข้าก็สั่งให้คนของข้ากลับไป งั้นข้าขอถามให้ชัดเจน ข้าใช้วิธีใดในการชิงตัวนักโทษ?
หัวหน้าฝ่ายคดีอาญา พวกเจ้าเป็นคนทรมานผู้ต้องสงสัยด้วยตัวเอง แต่เมื่อผู้ต้องสงสัยหายตัวไป ข้าเฟิ่งชิงเฉินมายังศาลต้าหลี่เพื่อฟ้องร้อง ต้องการนำคนของข้ากลับคืนมา เจ้าเป็นคนทรมานคนของข้าโดยไม่ดูแล จนเขาหายตัว แต่กลับหาว่าข้าเป็นคนชิงตัวเขาไป ช่างหน้าไม่อายเสียจริง”
เฟิ่งชิงเฉินแสดงท่าทีแห่งความโกรธของตนเองออกมาโดยการสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นกลับไปยังตำแหน่งของตนเอง โค้งคำนับให้หัวหน้าศาลต้าหลี่พร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้พิพากษาทั้งสาม คำถามของข้าสิ้นสุดลงแล้ว หากองครักษ์เสื้อโลหิตยังกล่าวหาว่าข้าไปยังองครักษ์เสื้อโลหิตในเมื่อคืนที่ผ่านมา งั้นข้าขออนุญาตใต้เท้าเบิกตัวเสด็จอาเก้ามายังศาลเพื่อเป็นพยานให้กับข้า”
นี่มัน……
ผู้พิพากษาทั้งสามหนักใจ เขาจะกล้าให้เสด็จอาเก้ามาขึ้นศาลได้อย่างไร เอาละ หลักฐานและคำพูดของเฟิ่งชิงเฉินดูน่าเชื่อถือกว่า หัวหน้าศาลต้าหลี่กำลังตัดสินว่าองครักษ์เสื้อโลหิตเป็นฝ่ายกล่าวคำเท็จ
แต่ในตอนนั้น หัวหน้าฝ่ายคดีอาญากระโดดออกมาอีกครั้ง “ใต้เท้า ข้ายังเหลือพยานอยู่”
“ยังมีพยาน? พูด……” หัวหน้าศาลต้าหลี่หันไปเห็นสองคนที่เหลือก็พยักหน้าออกมา
หัวหน้าฝ่ายคดีอาญาได้รับอนุญาต เขาจ้องมองไปยังเฟิ่งชิงเฉินด้วยใบหน้าอันเยือกเย็น “เฟิ่งชิงเฉิน อย่าคิดว่าเจ้ายกเสด็จอาเก้ามาอ้างแล้วมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง เมื่อวานนี้เจ้าไม่ได้อยู่กับเสด็จอาเก้า เมื่อวานเจ้ากับเสด็จอาเก้าเข้ามาในเมืองตอนดึก จากนั้นเสด็จอาเก้าถูกเชิญเข้าไปในพระราชวัง โดยมีพยานก็คือทหารผู้เฝ้าประตูสองคนนี้”
“ใช่ขอรับ ท่านใต้เท้า ข้าสามารถเป็นพยานให้ได้ เมื่อคืนวานข้ามีหน้าที่เฝ้าประตูเมือง จึงได้พบกับแม่นางเฟิ่งและเสด็จอาเก้า พวกเขาเข้าเมืองมาพร้อมกับยอดฝีมือลึกลับคนหนึ่ง หลังจากเสด็จอาเก้าเข้ามาในเมืองก็ถูกคนมาเชิญเข้าไปในพระราชวัง ส่วนแม่นางเฟิ่งกับยอดฝีมือลึกลับผู้นั้นก็กลับไปยังจวนเฟิ่งด้วยกัน ข้าจำได้ว่าตอนนั้นมันเป็นยามพลบค่ำ”
ทหารเฝ้าประตูเมืองทั้งสองคุกเข่าลง เล่าเรื่องที่เสด็จอาเก้าเข้ามาในเมืองเมื่อคืนวานโดยละเอียด ละเอียดจนเฟิ่งชิงเฉินสงสัยว่าทหารสองคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา
“เฟิ่งชิงเฉิน มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?” หัวหน้าศาลต้าหลี่หันมาถามเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง คำสารภาพของพยานทั้งสามคนขององครักษ์เสื้อโลหิตในครั้งนี้ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินตกที่นั่งลำบาก
จากคำให้การของทหารทั้งสอง แม้ว่าเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินจะอยู่ด้วยกันในตอนแรก แต่พวกเขาก็แยกกันโดยเร็ว แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินมีเวลามากพอที่จะไปชิงตัวนักโทษและเดินทางไปยังจวนอ๋องเก้า
และคำสารภาพขององครักษ์ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเมื่อคืนนี้เฟิ่งชิงเฉินเดินทางไปยังองครักษ์เสื้อโลหิต แม้ว่าจะไม่ได้ไป แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมถึงมีบาดแผลเกิดขึ้นกับองครักษ์ของจวนเฟิ่งในเมื่อคืนที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะรอบคอบแค่ไหน สุดท้ายก็มีจุดบกพร่องอยู่ดี เฟิ่งชิงเฉินทำทุกขั้นตอนอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ลืมนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าพยานบุคคล เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่ในห้องพิจารณาคดีด้วยท่าทางเคร่งขรึม เผชิญหน้ากับคำพูดของหัวหน้าศาลต้าหลี่ เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงกัดฟันและกล่าวออกไปว่า “แน่นอนว่าไม่เคยมีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น”
นางจะยอมรับออกไปไม่ได้ ตอนนี้นางทำได้แค่เดิมพัน เดิมพันว่าคนของพระราชวังจะไม่ออกมาเป็นพยาน นางเชื่อในตัวคนในพระราชวัง แต่ที่จริงต่อให้คนของพระราชวังผู้นั้นออกมาเป็นพยาน นางก็ไม่กลัว
นางกับเสด็จอาเก้าเล่นหมากรุก ดื่มกิน รวมถึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน นางไม่ได้เล่าถึงเวลาที่ชัดเจน บอกว่าก่อนเข้าเมืองก็ได้ อีกอย่างตอนนั้นท้องฟ้าก็มืดแล้ว ยอดฝีมือลึกลับที่ทหารทั้งสองคนพูดถึง หึ หากมีความสามารถก็ลองหาตัวของจั่วอั้นดู
“ใช่ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน ข้าสามารถเป็นพยานได้” เมื่อเสียงของเฟิ่งชิงเฉินเงียบลง เสียงของตี๋ตงหมิงก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังของฝูงชน
ทุกคนหันไปทางต้นเสียง จากนั้นก็ได้เห็นตี๋ตงหมิงในชุดของราชสำนัก ซึ่งเต็มไปด้วยความโอ่อ่าและอำนาจ เดินเข้ามาในศาลพร้อมกับองครักษ์แบบจัดเต็ม……
ดวงตาของเฟิ่งชิงเฉินเป็นประกาย การมาของตี๋ตงหมิง ทำให้หัวใจของนางผ่อนคลายลงมาก
นางรู้อยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าตอนที่ให้ทงเหยาไปขอความช่วยเหลือจากหวังจิ่นหลิง หวังจิ่นหลิงจะต้องรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้ว่านางมายังศาลต้าหลี่เพื่อฟ้องร้อง เขาจะต้องไปหาตี๋ตงหมิง เนื่องจากสถานะของตี๋ตงหมิงนั้นไม่ธรรมดา เขามีอำนาจมากพอที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นเป็นความจริง และกลายเป็นว่าคำพูดของทหารทั้งสองกลายเป็นเท็จ
จิ่นหลิงรู้ใจนางอย่างที่คิด รู้ว่าวันนี้นางต้องการตี๋ตงหมิง……