นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 807 อธิบาย เวลาหนึ่งก้านธูปจะไปทำอะไร
“เฟิ่ง……”
คุณชายเฉินไม่เข้าใจมารยาทเลยแม้แต่น้อย เขาประกาศศึกกับเฟิ่งชิงเฉินทันทีที่เข้ามา แต่ก็ถูกเฟิ่งชิงเฉินขัดจังหวะเขาทันทีที่เปิดปาก “คุณชายเฉินกรุณารอสักครู่ ก่อนที่คุณชายจะถามออกมา ข้าขอถามออกมาสักหนึ่งคำถามก่อนได้หรือไม่ เมื่อสักครู่คุณชายเฉินยืนอยู่ด้านนอกมานานแค่ไหนแล้ว? คำให้การของทนายฉิง คุณชายเฉินได้ยินมันหรือไม่? หรือว่าคำให้การของทนายฉิงนั้นเป็นเท็จ? จวนซุ่นหนิงโหวยอมรับคำให้การของทนายฉิงหรือไม่? หรือคุณชายเฉินมีคำให้การเพิ่มเติม?”
บัดซบ นี่มันคำถามเดียวเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่ามันตั้งห้าคำถาม แต่คำถามเหล่านี้ของเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ผิดแต่อย่างใด คุณชายเฉินก็หาเหตุผลที่จะปฏิเสธคำถามเหล่านี้ไม่ได้จึงพยักหน้าและตอบกลับมาว่า “คำให้การของทนายฉิงนั้นถูกต้อง เมื่อสักครู่ข้าได้ยินทั้งหมดอย่างชัดเจน คำให้การของทนายฉิงก็คือคำให้การของจวนซุ่นหนิงโหวของพวกเรา”
แม้คำถามที่เฟิ่งชิงเฉินถามออกมามากมายก่อนหน้านี้จะไม่ได้อยู่ในขอบเขตการเตรียมตัวของพวกเขา แต่ทนายฉิงก็สามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี หากเปลี่ยนเป็นเขา เขาก็คงจะตอบออกไปเช่นนั้น
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ในเมื่อคุณชายเฉินบอกว่าคำให้การของทนายฉิงไม่มีปัญหาหรือข้อผิดพลาดแต่อย่างใด งั้นก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าจวนซุ่นหนิงโหวต้องการใส่ร้ายซุนซือสิง คุณชายเฉินโปรดอย่าเพิ่งโกรธ ฟังข้าอธิบายออกมาทีละขั้นตอน” เฟิ่งชิงเฉินต้องการควบคุมทุกอย่างด้วยตนเอง นางไม่มีทางปล่อยให้คนของจวนซุ่นหนิงโหวได้พูดออกมา
เดินผ่านคุณชายเฉินที่พูดไม่ออก เฟิ่งชิงเฉินยื่นกระดาษบันทึกที่ถูกเขียนไว้เต็มแผ่นให้กับหัวหน้าศาลต้าหลี่ที่อยู่ด้านหน้า
“ใต้เท้า ท่านลองดูเวลาที่เขียนบันทึกไวว่ามันตรงกับที่ทนายฉิงกล่าวหรือไม่?”
เวลาตอนที่บอกคำให้การมันไม่เป็นระเบียบ แต่ทนายซ่งได้นำคำให้การทั้งหมดมาจัดลำดับเหตุการณ์ หลังจากหัวหน้าศาลต้าหลี่ได้อ่านมันก็พยักหน้าและพูดออกมาว่า “ตรง มันเป็นเวลาเดียวกัน”
“ใต้เท้า หากเวลาตรงกันก็เป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ ใต้เท้าลองดูคำให้การของทนายฉิง จากสิ่งซึ่งเขากล่าวออกมา พวกเราสามารถเห็นได้ว่าเวลาที่ซุนซือสิงอยู่ในจวนซุ่นหนิงโหวยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ และซุนซือสิงก็ออกมาจากจวนซุ่นหนิงโหวในเวลาไม่ถึงสิบโมง”
“แล้วนี่มันมีปัญหาอะไร?” เฉินอี้ขัดจังหวะของเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โกรธ นางยิ้มและกล่าวออกไปว่า “คุณชายเฉินอย่าเพิ่งใจร้อน ข้าจะบอกกับท่านว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ดูจากคำให้การของทนายฉิง ตอนที่ซุนซือสิงเข้าไปในจวนประมาณเก้าโมง ใช้เวลาในการรักษาขุนนางโหวประมาณสี่สิบห้านาที หรือพูดอีกอย่างก็คือซุนซือสิงออกมาจากตำหนักด้านหน้าของจวนซุ่นหนิงโหวก็เกือบจะสิบโมงอยู่แล้ว”
ตอนนี้พวกเจ้าก็รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาถึงตรงนี้ นางหยุดอยู่ชั่วขณะและหันไปมองทุกคน
หัวหน้าศาลต้าหลี่พยักหน้า ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขาเป็นประกายราวกับว่าเขานึกอะไรขึ้นมาได้ แน่นอนว่าคนอื่นเองก็ไม่ต่างกัน ใบหน้าของทนายฉิงและคุณชายเฉินซีดขาวในทันที อ้าปากค้างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก
พวกเขาลืมปัญหาเรื่องของเวลา ช่องโหว่ที่ใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาจะอุดมันได้อย่างไร?
ทนายฉิงและคุณชายเฉินมองหน้ากัน ตบหัวตัวเองไม่หยุด พยายามคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าคนพวกนี้เข้าใจแล้ว แต่นางก็ยังเลือกจะอธิบายออกมาให้ชัดเจน เนื่องจากยังมีผู้คนอีกมากมายยังไม่เข้าใจ และหากไม่แยกเรื่องราวออกมาให้ชัดเจน คนพวกนี้ก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่จวนซุ่นหนิงโหวทำลงไปนั้นมันน่าเกลียดเพียงใด
เฟิ่งชิงเฉินเพิกเฉยต่อความลำบากใจของคุณชายเฉิน พูดออกมาต่อว่า “จวนซุ่นหนิงโหวใหญ่โตขนาดไหนข้าเองก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าจวนโหวที่จักรพรรดิเป็นผู้สร้างให้ไม่มีทางเล็กไปกว่าจวนของข้าอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าคิดว่าทุกคนคงเข้าใจว่ามันใหญ่แค่ไหน
จากตำหนักด้านหน้าของจวนซุ่นหนิงโหวไปยังตำหนักด้านหลังต้องใช้เวลาเดินทางนานเท่าไหร่ ข้าคิดว่าทุกคนคงพอจะนึกออก แม้ว่าจะมีหนุ่มรับใช้นำทางก็ต้องใช้เวลามากกว่าสิบนาที คุณชายเฉินคิดว่าข้าพูดถูกหรือไม่?
“ใช่” คำถามนี้ไม่สามารถโกหกได้ เนื่องจากแค่ลองไปเดินดูสักรอบก็สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นคุณชายเฉินจึงทำได้เพียงก้มหน้าและยอมรับ
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าเพื่อแสดงความเห็นด้วย จากนั้นอธิบายออกมาต่อว่า “เมื่อสักครู่คุณชายเฉินก็เป็นคนพูดออกมาเอง จากตำหนักด้านหน้าไปถึงตำหนักด้านในนั้นใช้เวลามากกว่าสิบนาที หรือก็หมายความว่าซุนซือสิงมีเวลาอยู่ในตำหนักของคุณหนูลิ่วไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ
หากเขาก่ออาชญากรรม เขาก็มีเวลาไม่ถึงสิบนาที และจากเวลาไม่ถึงสิบนาทีนี้ซุนซือสิงยังต้องจัดการกับสาวใช้ แม่นม และหนุ่มรับใช้เพื่อจัดการกับคุณหนูลิ่วต่อไป เมื่อสักครู่ทนายฉิงก็พูดออกมาว่า ตำหนักที่คุณหนูลิ่วอาศัยอยู่ นอกจากสาวใช้สาวตัวพวกนี้แล้ว ยังมีสาวใช้ภายนอกอีกสิบคนที่มาทำงานให้
ตำหนักของคุณหนูลิ่วคงไม่ได้ใหญ่มาก หากซุนซือสิงลงมือกับคุณหนูลิ่วจริง นอกจากคนรับใช้ทั้งยี่สิบเอ็ดคนจะป่วยในวันและเวลาเดียวกัน หรือทั้งหมดหายไปในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งเข้ามาให้ความช่วยเหลือกับคุณหนูลิ่ว
ข้าคิดว่าคนรับใช้ของจวนซุ่นหนิงโหวคงไม่ได้ระเบียบวินัยแย่ถึงขนาดนั้น รอบกายของคุณหนูลิ่วมีคนรับใช้ตั้งยี่สิบเอ็ดคน ต่อไปกลับไปแล้วครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังเหลืออีกกว่าสิบคน
ทนายฉิงยังบอกอีกว่าคุณหนูลิ่วเป็นที่รักใคร่ในจวนเป็นอย่างมาก คนรับใช้ไม่มีทางกล้าละเลยคุณหนูลิ่ว ต่อให้คนพวกนี้ไม่ทำงานในตอนกลางวัน แต่หน้าที่ปกป้องคุณหนูลิ่วก็ยังคงเป็นหน้าที่ของพวกเขา เชื่อว่าในตำหนักของคุณหนูลิ่วต้องมีคนใช้อยู่กว่าสิบคน มีคนคอยดูแลมากขนาดนั้น อย่าว่าแต่ซุนซือสิงที่เป็นชายหนุ่มผู้อ่อนแอเพียงคนเดียวเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือก็ไม่มีทางสลัดคนพวกนั้นและข่มขืนคุณหนูลิ่วในระยะเวลาอันสั้นได้”
โอ้……เมื่อมาถึงจุดนี้ ทุกคนก็ตระหนักได้ในทันที แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่หยุด นางยังคงพูดออกมาต่ออีกว่า “อันที่จริงเวลาที่ซุนซือสิงอยู่ในตำหนักของคุณหนูลิ่วนั้นยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเลยด้วยซ้ำ ต้องรู้ก่อนว่าเวลาเพียงแค่หนึ่งก้านธูป ซุนซือสิงต้องจัดการกับคุณหนูลิ่วอีก ข่มขืนนาง จากนั้นก็สังหาร หลังจากนั้นคนรับใช้ในตำหนักด้านหน้าก็สังเกตเห็นถึงสถานการณ์ดังกล่าว และนำตัวของซุนซือสิงไปยังตำหนักด้านหน้า”
“ใต้เท้า ท่านคิดว่าสำหรับผู้ชายคนหนึ่ง หากต้องการข่มขืนและสังหารผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านคิดว่าเวลาหนึ่งก้านธูปนั้นเพียงพอหรือไม่? คิดว่าเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป ซุนซือสิงสามารถทำเรื่องราวเหล่านี้ได้หรือไม่? เขาจะทำอะไรได้บ้าง? เขาจะสามารถจัดการคนรับใช้ในตำหนักของคุณหนูลิ่ว จัดการกับคุณหนูลิ่ว ข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ และสังหารนางได้ในระยะเวลาหนึ่งก้านธูปอย่างนั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา นางเชื่อว่าสิ่งที่นางพูดออกไปนั้นทุกอย่างล้วนถูกต้อง นางเป็นคนตรงไปตรงมา แต่คำพูดที่นางพูดออกมานั้นอาจทำให้ผู้หญิงที่อยู่ในห้องพิจารณาคดีมีสีหน้าแดงขึ้น ส่วนผู้ชายก็รู้สึกเขินอาย พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมาอย่างเปิดเผย
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าช่างเป็นคนที่กล้าพูดเหลือเกิน” ตี๋ตงหมิงแอบคิดในใจ ในขณะเดียวกันก็แอบชื่นชมนางอยู่ในใจ จากคำถามชุดนั้น อย่าว่าแต่ทนายฉิงเลย แต่ให้เป็นเขาก็คงสับสนเช่นกัน เมื่อแยกคำถามอาจดูไม่มีอะไร แต่เมื่อลองนำมาร้อยเรียงให้ดีก็พบว่ามันคือปัญหาอันยิ่งใหญ่
แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ยอมปล่อยจวนซุ่นหนิงโหวไปแต่เพียงแค่นี้ เฟิ่งชิงเฉินทำหน้าเศร้าออกมาพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “ใต้เท้า ชิงเฉินลองไตร่ตรองดูแล้ว คิดไปคิดมาก็คิดไม่ออก คิดไม่ออกว่าซุนซือสิงจะเอาเวลาไหนไปก่ออาชญากรรม หากบอกว่าซุนซือสิงข่มขืนคุณหนูลิ่วร่วมกับผู้อื่น แบบนี้มันก็น่าจะมีความเป็นไปได้มากกว่า”
การข่มขืนผู้หญิงถือเป็นความสามารถและทักษะส่วนตัว จำเป็นต้องใช้เวลา การเห็นผู้หญิงมีอะไรกับคนอื่น กว่าตนเองจะมีอารมณ์ก็ต้องใช้เวลา และเวลาที่จวนซุ่นหนิงโหวมอบให้กับซุนซือสิงมันก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ซุนซือสิงมีอารมณ์ด้วยซ้ำ แล้วแบบนั้นเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปข่มขืนคุณหนูลิ่ว
เฟิ่งชิงเฉินโยนความผิดและความชั่วร้ายทั้งหมดให้กับจวนซุ่นหนิงโหวได้สำเร็จ และข่าวคุณหนูลิ่วถูกข่มขืน ร่วมถึงความสัมพันธ์ที่เลวร้ายของจวนซุ่นหนิงโหวก็ส่งไปทั่วทั้งเหมืองผ่านแผ่นกระดาษในตอนเช้า
นี่คือผลประโยชน์ที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็รู้สึกมีความสุข อย่างน้อยนางก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าซุนซือสิงถูกใส่ร้าย เมื่อถึงเวลา ต่อให้จวนซุ่นหนิงโหวนำศพออกมาเป็นหลักฐาน ชันสูตรความผิดปกติของศพ มันก็ไม่จำเป็นต้องสนว่าผลการชันสูตร เนื่องจากนางทำให้ความจริงปรากฏออกมาแล้ว