นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 813 แก้เขิน เสด็จอาเก้าหาเหาใส่หัว
ห้องหนังสือเป็นห้องที่ใช้สำหรับการพูดคุย หลังจากพูดคุยเรื่องราวซึ่งเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยเรื่องส่วนตัว
เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิงซึ่งหนักแน่นมาโดยตลอด นางเป็นผู้ใหญ่ เข้มแข็งไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแล และนางก็ไม่เคยคิดจะเอาตัวเองไปเทียบกับผู้หญิงคนไหน
สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งซึ่งแสดงให้คนภายนอกเห็นเท่านั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นางเป็นคนฉลาดในเรื่องของการใช้ความคิด แต่อัธยาศัยไม่ค่อยดี หลังจากคุยธุระสำคัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็นำเรื่องที่น่าสนใจในห้องพิจารณาคดีวันนี้ เล่าให้กับเสด็จอาเก้าฟัง
จุดประสงค์ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นไม่ใช่การโอ้อวด นางแค่อยากให้ผู้ชายของตนเองได้รู้ว่านางสุดยอดแค่ไหน จากนั้นอีกฝ่ายก็ต้องดูแลเอาใจใส่ตนเองมากขึ้น เพื่อไม่ให้ชายอื่นมาแย่งนางไปจากเขา
แน่นอน สิ่งซึ่งทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกภูมิใจที่สุดก็คือ ภายใต้การเฝ้ามองขององครักษ์เสื้อโลหิต นางพาซุนซือสิงออกจากจวน ใช้ประโยชน์จากซุนซือสิงตัวปลอมในการตบหน้าองครักษ์เสื้อโลหิตอย่างรุนแรง
เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างสำรวม นางแค่เล่าในสิ่งที่เกิดขึ้นออกมาเท่านั้น ไม่ได้มีการปรุงแต่งเพิ่มเติมแต่อย่างใด หลังจากนางพูดจบ นางหันไปมองเสด็จอาเก้า รอว่าเสด็จอาเก้าจะชื่นชมนางออกมาในลักษณะใด
เสด็จอาเก้ารู้สึกหงุดหงิดและตลกในเวลาเดียวกัน เขาชอบเฟิ่งชิงเฉินที่แสดงท่าทีที่ต่างกันในทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา มีแผนลึกล้ำก็ดี เจ้าเล่ห์ก็ดี โหดเหี้ยมก็ดี หรือแม้แต่เป็นผู้ใหญ่ใจกว้างก็ดี ทั้งหมดนี้คือเฟิ่งชิงเฉิน เขาชอบทุกอย่างที่เป็นนาง
แต่ต้องบอกเลยว่า เขาชอบเฟิ่งชิงเฉินในแง่มุมของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งมากที่สุด ตัวอย่างเช่นตอนนี้ เมื่อเห็นท่าทางของเฟิ่งชิงเฉิน หัวใจของเขาก็อ่อนลงอย่างช่วยไม่ได้
ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับพายุที่โหมกระหน่ำ หรือประสบกับความทุกข์ทรมานมาแล้วกี่ครั้ง เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงเป็นเฟิ่งชิงเฉินคนเดิม คนที่ไม่ถูกบิดเบือนด้วยอำนาจ เงิน และความแค้น
เพื่อความสุขของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าต้องการพูดตามความคิดของเฟิ่งชิงเฉินจากใจจริง ชื่นชมในตัวของเฟิ่งชิงเฉิน แต่เฟิ่งชิงเฉินพูดในเรื่องที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยดี เรื่องแต่ละเรื่องมุ่งเน้นไปเรื่องที่ทำให้เสด็จอาเก้าอดไม่ได้ที่จะโอ้อวด
ภายใต้ใบหน้าแห่งความคาดหวังของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าก็ทำอะไรไม่ได้ พูดออกมาได้แค่ว่า “หัวหน้าหวังของฝ่ายสืบสวนเป็นคนของข้า”
หรือพูดอีกอย่างก็คือ ที่เฟิ่งชิงเฉินสามารถทำเรื่องทั้งสองให้ประสบความสำเร็จได้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะคนขององครักษ์เสื้อโลหิตนั้นให้ความช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเมื่อคืนเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถพาซุนซือสิงกลับมายังจวนอ๋องเก้าอย่างราบรื่นได้อย่างไร ต้องรู้ก่อนว่านี่คือเมืองแห่งจักรพรรดิตงหลิง มันคือสนามรบหลักขององครักษ์เสื้อโลหิต
อ่า……มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?
รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินแข็งทื่อ วิญญาณของนางหายไปจากร่าง พูดออกมาด้วยความตะลึง “ที่แท้หัวหน้าหวังก็เป็นคนของเจ้า ไม่น่า ทุกอย่างหนึ่งได้ราบรื่นขนาดนี้”
ที่แท้เสด็จอาเก้าก็แอบให้ความช่วยเหลือนางมาโดยตลอด ไม่แปลกเลยว่าทำไมเรื่องนี้ถึงได้เป็นไปอย่างราบรื่น แถมนางยังไปหัวเราะพวกขององครักษ์เสื้อโลหิตว่าเป็นพวกไร้น้ำยา สุดท้ายคนที่ไม่เข้าใจอะไรเลยกลับเป็นนางเสียเอง
ขายหน้าเหลือเกิน นางเป็นเหมือนกับตี๋ตงหมิงไม่มีผิด
เสด็จอาเก้าทนมองท่าทางโศกเศร้าของเฟิ่งชิงเฉินแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ท่าทางของนางหนาวเหน็บเหมือนกับถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง เขาลูบศีรษะของเฟิ่งชิงเฉินและกล่าวปลอบโยนออกมา “ที่จริงสำหรับเรื่องนี้ เจ้าทำได้ดีมากแล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้น ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจทำให้ดีกว่าเจ้าได้ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีข้าเองก็พอรู้มาอยู่บ้าง การวิเคราะห์คดีของเจ้า เจ้าทำได้อย่างยอดเยี่ยม แม้แต่เจ้ากรมอาญายังเอ่ยปากชมเจ้า”
เอาเถอะ เดิมทีมันก็เป็นเพียงแค่คดีเล็กน้อย แต่ทั้งเมืองจักรพรรดิกลับจับตามอง จักรพรรดิกับเสด็จอาเก้าดื่มชาไปฟังคำพิพากษาไป หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเสด็จอาเก้า การดำเนินการฟ้องร้องของเฟิ่งชิงเฉินจะง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร
เรื่องที่เฟิ่งชิงเฉินทำมันไม่ใช่การฟ้องร้องของประชาชน มันคือการฟ้องร้องต่อรัฐบาล หากจักรพรรดิไม่ยินยอม แน่นอนว่าศาลต้าหลี่ก็ไม่มีทางสนใจกระดาษแผ่นนั้น และไม่ต้องพูดถึงเรื่องการพิจารณาคดีเลย
แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งหนึ่งที่จักรพรรดิแสดงให้ประชาชนได้เห็น เฟิ่งชิงเฉินกล้ายื่นคำฟ้องต่อองครักษ์เสื้อโลหิต ศาลต้าหลี่รับคำร้อง จุดนี้มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจักรพรรดิเป็นราชาผู้ชาญฉลาด ภายใต้การปกครองของเขา ถึงต่อให้เป็นรัฐบาลประชาชนก็สามารถฟ้องร้องได้หากมีหลักฐานเพียงพอ
ชื่อเสียงของจักรพรรดิจะก้าวขึ้นไปอีกขั้น กลายเป็นจักรพรรดิผู้น่ายกย่อง ไม่ว่าสิ่งที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์นั้นจะเขียนไว้อย่างไร อย่างน้อยในตอนนี้จักรพรรดิก็เป็นที่รักของปวงชน และมันก็เป็นสิ่งซึ่งบ่งบอกว่าเขาพร้อมที่จะไปพิชิตประเทศอื่น
อนุญาตให้เฟิ่งชิงเฉินฟ้ององครักษ์เสื้อโลหิต มันไม่ได้เป็นเพราะเขาส่งเสริมเฟิ่งชิงเฉิน แต่เป็นเพราะความบังเอิญที่เรื่องของเฟิ่งชิงเฉินนั้นสอดคล้องกับความคิดของจักรพรรดิ และสามารถนำผลประโยชน์มาสู่จักรพรรดิ ดังนั้นจักรพรรดิจึงจ้องมองดูด้วยสายตาเย็นชา
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยเจตนา เฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเป็นว่าทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นจริง ต้องรู้ก่อนว่าบนโลกนี้ไม่มีใครที่โง่ขนาดที่ไม่สามารถแยกแยะความเป็นจริงได้
ต้องบอกเลยว่าเฟิ่งชิงเฉินโชคดีเหลือเกิน หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น การกระทำของเฟิ่งชิงเฉินนั้นส่งผลกระทบต่ออำนาจของจักรพรรดิ แน่นอนว่างานนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ตายก็คงมีชีวิตอยู่อย่างอนาถ
ได้ยินเสด็จอาเก้ากล่าวออกมาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจในทันที พูดออกไปด้วยความโกรธว่า “ที่แท้ข้าก็เป็นได้แต่เครื่องมือให้กับพวกเจ้าเท่านั้นเอง ข้าก็นึกว่าเอาสามารถเอาชนะได้อย่างสวยงามเสียอีก”
บ้าที่สุด มันช่างหดหู่ใจเหลือเกิน ตอนแรกนางก็นึกว่าเป็นเพราะความกล้าหาญที่จะสู้กับรัฐบาลของนาง ทำให้เรื่องทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี แต่แท้จริงแล้ว มีคนคอยให้การสนับสนุนนางอยู่ คิดไปคิดมามันก็จริง หากไม่มีจักรพรรดิคอยหนุนหลัง ต่อให้ศาลต้าหลี่เห็นกระดาษฟ้องร้องของนาง พวกเขาก็คงไม่มีทางนำไปขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดี
“โชคดีอะไรกัน ทุกคนได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ หากไม่ใช่เพราะจักรพรรดิต้องการภาพลักษณ์ในเชิงบวก เรื่องนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ การกระทำของเจ้าสามารถทำให้ชื่อเสียงของจักรพรรดิโด่งดังขึ้นไปอีกขั้น ส่วนเจ้าก็สามารถยื่นคำฟ้ององครักษ์เสื้อโลหิตได้สำเร็จ และยังพาตัวของซุนซือสิงออกมาได้โดยไม่มีความผิด” ผลประโยชน์ไม่ได้ตกไปอยู่ที่คนเพียงคนเดียว ครั้งนี้ถือว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้ได้ผลประโยชน์มากกว่า หากไม่ใช่เพราะว่านางเดาใจของจักรพรรดิถูก เกรงว่าเมื่อวานนี้จวนเฟิ่งคงได้หายไปจากเมืองหลวง
เสด็จอาเก้าพูดออกมาเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจในทันที นี่ไม่ใช่ยุคสมัยปัจจุบันที่มีโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงของประชาชน ที่แห่งนี้ทุกอย่างถูกตัดสินโดยจักรพรรดิ และไม่มีอำนาจใดเหนือกว่า
นี่ถือว่านางได้ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าออกมา “ความคิดของข้ายุ่งเหยิงไปหมด ในเมื่อจักรพรรดิต้องการกำจัดองครักษ์เสื้อโลหิต เช่นนั้นในระยะเวลาอันสั้นซือสิงคงไม่สามารถออกไปจากเมืองจักรพรรดิได้ งั้นของให้เขาพักฟื้นอยู่ในจวนอ๋องเก้าสักระยะได้หรือไม่?”
“เรื่องของซุนซือสิง เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าได้เตรียมทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากฟ้ามืด ข้าจะส่งเขาไปยังหุบเขาซวนยี เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากต้องการให้เขากลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมคงมีแต่ต้องพาไปหาปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี” เสด็จอาเก้ารู้เรื่องราวและอาการของซุนซือสิงมาจากหมอในจวน เฟิ่งชิงเฉินเพียงแค่รักษาอาการเลือดคลั่งในสมอง และอาการบาดเจ็บภายนอกเท่านั้น นางยังไม่ได้ทำการรักษาภายใน ดูเหมือนว่าเฟิ่งชิงเฉินคงสามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้ไม่ดีนัก
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อได้ยินเรื่องนี้แล้วหัวใจของเสด็จอาเก้ากลับรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ในที่สุดก็ได้เห็นสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถทำได้ หัวใจของเขาผ่อนคลายลงมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าผู้หญิงที่ตนเองรักนั้นเป็นเทพธิดาไปแล้ว
“หุบเขาซวนยีแล้วจะดีจริงงั้นหรือ? ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีไม่ใช่คนที่เจรจาได้ง่าย เขาจะเห็นซือสิงเป็นคนป่วยหรือเปล่า?” ท่าทางการแสดงออกของเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่เชื่อในตัวของปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้นั้น เพื่อศึกษาทักษะทางการแพทย์ เขาไม่เคยเห็นชีวิตคนอยู่ในสายตา
แน่นอน ในสายตาของตาเฒ่าผู้นี้ การเสียสละชีวิตคนที่เขาไม่รู้จักและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเพื่อแลกกับการศึกษาทักษะทางการแพทย์ถือว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่าเป็นอย่างมาก นางเกรงว่าเมื่อตาเฒ่าผู้นั้นเห็นแผลบนกะโหลกศีรษะของซุนซือสิง เขาจะทนไม่ไหวและเปิดกะโหลกศีรษะของซุนซือสิงออกมา
เฟิ่งชิงเฉินดีกับซุนซือสิงเป็นอย่างมาก แม้แต่เรื่องเล็กน้อยนางก็ใส่ใจ และจากความกังวลนี้ของนางทำให้เสด็จอาเก้ารู้สึกไม่พอใจ
แต่ในตอนนี้ ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ เสด็จอาเก้ากล่าวด้วยการแนะนำ “เตรียมของขวัญที่น่าดึงดูดให้เขา เขาจะได้ไม่สนใจในร่างกายของซุนซือสิงเท่าที่ควร และเจ้าก็สามารถเขียนสัญญาแจ้งเตือนเขาได้ เพื่อห้ามไม่ให้เขาทำอะไรกับซุนซือสิง”
“แบบนั้นก็ไม่ได้ ข้ากลัวว่าซุนซือสิงจะถูกทำให้กลายเป็นคนเสียสติไปภายใต้เนื้อมือของเขา” แต่เฟิ่งชิงเฉินเคยมีประสบการณ์หลายเรื่องกับตาเฒ่าผู้นั้น
เสด็จอาเก้าไม่พอใจเป็นอย่างมากกับท่าทาของเฟิ่งชิงเฉินที่แสดงออกมาราวกับซุนซือสิงเป็นไข่ในหิน เขากล่าวแนะนำออกไปอีกครั้ง “ซุนซือสิงเป็นคนมีนิสัยเรียบง่าย มองไม่ออกว่าใครมาร้ายหรือมาดี ด้วยนิสัยเช่นนั้นของเขา ไม่ช้าก็เร็วมันจะกลายเป็นอาวุธที่หันกลับไปทำร้ายตัวเขาเอง เจ้าสามารถปกป้องเขาได้ในตอนนี้ แต่ไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดชีวิต ให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีได้ทำการอบรมสั่งสอนเขา แบบนั้นจะเป็นประโยชน์กับเขามากกว่า”
เสด็จอาเก้ากำลังชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน กำจัดซุนซือสิงที่ครอบงำความคิดของเฟิ่งชิงเฉินออกไป เฟิ่งชิงเฉินเลี้ยงดูซุนซือสิงเหมือนกับน้องชายคนหนึ่ง แต่เขาไม่มีความคิดที่จะเลี้ยงดูซุนซือสิงในฐานะน้องชาย
“อ่า แบบนี้จะดีหรือ? ปรมาจารย์ท่านนั้นเขา……” เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าที่เสด็จอาเก้าพูดออกมานั้นมีเหตุผล แต่นางก็ยอมรับไม่ได้ ให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีเป็นคนอบรมสั่งสอน หากเปลี่ยนจากหมอเทวดากลายเป็นหมอชั่วขึ้นมา แบบนั้นคงน่าสมเพช
“แน่นอนว่าดี เจ้าเป็นอาจารย์ของเขา แต่เจ้าก็ไม่สามารถปกป้องเขาได้ตลอดเวลา ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีเวลาที่เจ้าไม่สามารถปกป้องเขาได้ ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ หากเขารู้จักโลกภายนอกและมีภูมิคุ้มกันมากกว่านี้ เขาจะมาตกหลุมพรางของจวนซุ่นหนิงโหวเหมือนตอนนี้ได้อย่างไร?”
นิสัยของซุนซือสิงนั้นใช่ว่าจะไม่ดี แต่มันเป็นนิสัยที่อันตรายเกินไป อย่างน้อยมันก็ไม่เหมาะที่จะมาอยู่ข้างกายของเฟิ่งชิงเฉิน รอบด้านของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยอันตราย หากยังต้องมาพะวงเกี่ยวกับซุนซือสิงอีก แบบนั้นก็มีแต่ทำให้เฟิ่งชิงเฉินต้องลำบาก
หากเสด็จอาเก้าไม่พูดขึ้นมาเฟิ่งชิงเฉินก็คงจะลืมไปแล้ว ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินเคร่งขรึม จ้องมองเสด็จอาเก้า กล่าวออกอย่างชัดเจนว่า “เรื่องที่ซุนซือสิงถูกจวนซุ่นหนิงโหวทำร้ายและส่งตัวไปให้องครักษ์เสื้อโลหิต เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่า?”
ก่อนหน้านี้ไม่มีเวลาคิดเรื่องดังกล่าว แต่เมื่อได้ยินเสด็จอาเก้าพูดออกมาว่าซุนซือสิงตกหลุมพรางของจวนซุ่นหนิงโหว เฟิ่งชิงเฉินก็นึกขึ้นได้ว่าจากเครือข่ายข้อมูลของเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าน่าจะรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวนเฟิ่ง เสด็จอาเก้าไม่มีทางปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอน
เอ่อ……
ลมหายใจของเสด็จอาเก้าหยุดชะงัก แต่โชคดีที่เขาตอบสนองได้ทันเวลา จ้องมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างนิ่งสงบเพื่อปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินตรวจสอบความเป็นไปได้ จากนั้นเสียงแห่งความไม่พอใจก็ดังขึ้น “ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้น?”
คิดแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ “เครือข่ายการหาข่าวของเจ้าสมบูรณ์แบบ และในองครักษ์เสื้อโลหิตก็มีคนของเจ้าอยู่ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นในเมืองจักรพรรดิ ไม่มีเหตุผลที่เจ้าจะไม่รู้”
เฟิ่งชิงเฉินพูดทุกอย่างที่ตนเองสงสัยออกมา และรอคำตอบจากเสด็จอาเก้า
“ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงคิดว่าข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าซุนซือสิงจะถูกส่งตัวเข้าไปในเรือนจำองครักษ์เสื้อโลหิต? ชิงเฉิน ตั้งแต่กลับมาจากซีหลิง ข้าอยู่กับเจ้าทั้งวันทั้งคืน ทำเรื่องอะไรก็ไม่เคยปิดบังเจ้า เจ้าคิดว่าข้าจะรู้เรื่องนี้ก่อนเจ้าอย่างนั้นหรือ?” เสด็จอาเก้ายิ้มอย่างเยือกเย็น เห็นได้ชัดว่าไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ระยะห่างของทั้งสองกลับไกลกันสุดลูกหูลูกตา
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าข้อสงสัยของตนเองนั้นทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บปวด แค่หากไม่ถามออกมานางคงรู้สึกทรมาน หลังจากได้คำตอบที่ตนเองต้องการ เฟิ่งชิงเฉินกล่าวขอโทษออกมาด้วยความจริงใจ “ข้าขอโทษ ข้าคิดมากเกินไป ข้าแค่อยากถามให้ชัดเจน ไม่อยากเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจให้เป็นปมอย่างทรมาน”
เสด็จอาเก้าหลับตาลง กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “มันเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ข้าไม่เอามาใส่ใจ”
ชิ……กัดฟันพูดแบบนี้ใครมันจะไปเชื่อ เฟิ่งชิงเฉินสบประมาทอยู่ในใจ……