นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 814 ห้องหนังสือ เหมาะที่จะคุยและเหมาะที่จะรัก

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 814 ห้องหนังสือ เหมาะที่จะคุยและเหมาะที่จะรัก

คิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แต่เมื่อครู่นางได้ทำความผิดอันยิ่งใหญ่ เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าเคลื่อนไหวมากเกินไป และก็ต้องระวังตัวไม่ทำให้เสด็จอาเก้าคับข้องใจ

รีบผ่านเรื่องนี้ไปให้เร็วที่สุด เฟิ่งชิงเฉินดึงหัวข้อการสนทนากลับมาเป็นหัวข้อเดิม ถามออกมาอย่างเป็นธรรมชาติว่า “เสด็จอาเก้า เจ้ารู้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจวนซุ่นหนิงโหวกันแน่? จากคำให้การจากทนายของจวนซุ่นหนิงโหวในวันนี้ ข้าสามารถมั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิดเพื่อกระทำความชั่ว แต่มันน่าจะเป็นความบังเอิญ ไม่อย่างนั้นจวนซุ่นหนิงโหวคงไม่มีทางทิ้งช่องโหว่ที่ใหญ่ขนาดนี้ไว้”

แน่นอนว่าท่าทางและคำพูดของนางราวกับตอนนี้นางเลิกสงสัยในตัวของเสด็จอาเก้าไปแล้ว เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้คิดจะโกรธเคืองอะไรเฟิ่งชิงเฉิน ดังนั้นทั้งสองคนจึงทำเหมือนว่าเมื่อสักครู่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

เสด็จอาเก้าส่ายหน้า “ไม่รู้ จวนซุ่นหนิงโหวไม่ใช่ตระกูลที่โดดเด่น พวกเขาไม่ได้มีอำนาจมากมายอะไรขนาดนั้น ต่อให้ข้าให้ความสนใจ จับตาดูพวกเขา ก็ไม่มีทางที่จะไปจับตาดูถึงตำหนักด้านใน ข้าได้ส่งคนไปสืบข่าวแล้ว แต่คาดว่าคงไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมาย หลังจากเกิดเรื่องขึ้น จวนซุ่นหนิงโหวได้จัดการคนรับใช้ยกชุด คนที่รู้เรื่องราวเกรงว่าคงมีแค่ซุนซือสิงและคนของจวนซุ่นหนิงโหวเพียงไม่กี่คน”

หรือพูดอีกอย่างก็คือ จวนซุ่นหนิงโหวจัดการเก็บกวาดทุกอย่างที่สามารถทำได้ไปจนหมดแล้ว หากเฟิ่งชิงเฉินต้องการพิสูจน์หาความจริง แบบนั้นก็คงยาก

“ลงมือได้โหดเหี้ยมมาก จวนซุ่นหนิงโหวจะต้องมีความลับที่พวกเราไม่รู้ และความลับนั้นจะต้องส่งผลถึงรากฐานของจวนซุ่นหนิงโหว ไม่อย่างนั้นจวนซุ่นหนิงโหวคงไม่เคลื่อนใหญ่โตเช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าความโหดเหี้ยมของนางเทียบไม่ได้กับจวนซุ่นหนิงโหว

“สังหารคนไปมากมายขนาดนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องอื้อฉาว บางทีข่าวที่เจ้าแพร่ออกไปโดยกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยในวันนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้” เสด็จอาเก้านึกถึงกลอุบายของเฟิ่งชิงเฉินในตอนเช้า เขาส่ายหน้าอีกครั้ง

ไม่ต้องพูดอะไรมาก เฟิ่งชิงเฉินมีกลอุบายอยู่มากมาย และแต่ละกลอุบายต่างเอาออกมาใช้ได้ถูกเวลา ทำให้เกิดผลประโยชน์ หากไม่ใช่เพราะมีข่าวดังกล่าวแพร่ออกไปทั่วเมื่อ ต่อให้เฟิ่งชิงเฉินได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิเพื่อจัดการกับองครักษ์เสื้อโลหิต เขาเองก็ได้ประโยชน์จากมัน และแทนที่จะละทิ้งความสัมพันธ์ เขาจึงยอมที่จะเห็นด้วยกับการกระทำของเฟิ่งชิงเฉิน

“คงไม่จริงใช่ไหม คุณหนูของจวนซุ่นหนิงโหวเล่นชู้? ไม่ใช่ มันอาจไม่ใช่เล่นชู้ หากเป็นการเล่นชู้จวนซุ่นหนิงโหวคงไม่มีทางลงมือขั้นร้ายแรงขนาดนี้ บางทีอาจจะ……” ร่วมประเวณีในสายเลือดเดียวกัน

ประโยคสุดท้ายเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้พูดออกมา นางสูดลมหายใจเข้าและมองไปยังเสด็จอาเก้าราวกับต้องการคำยืนยัน

เห็นท่าทางตกใจของเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ว่าเสด็จอาเก้าจะมองยังไงมันก็ดูน่ารัก เขาดึงเฟิ่งชิงเฉินเข้ามากอดในอ้อมแขน ก้มหน้าลงใช้หน้าผากสัมผัสกับหน้าผากของเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นก็ถูไปมา

“จะใช่หรือไม่ใช่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เป็นแค่เรื่องวุ่นวายของจวนซุ่นหนิงโหว ตอนนี้มีข้าอยู่ ต่อให้ซุนซือสิงสังหารคุณหนูลิ่วจริงก็ไม่มีทางเป็นอะไรเด็ดขาด”

มีพวกเขาอยู่ในเมืองจักรพรรดิ จวนซุ่นหนิงโหวไม่กล้าทำอะไรวู่วาม

“ข้าก็แค่ตกใจเท่านั้น หากความจริงเป็นเหมือนกับที่ข้าคิด การตายของคุณหนูลิ่วผู้นั้นอาจเป็นแผนการที่สร้างขึ้นมา” เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ซุนซือสิงจะต้องเข้าไปรับรู้เรื่องอื้อฉาวในจวนซุ่นหนิงโหว ไม่อย่างนั้นจวนซุ่นหนิงโหวคงไม่มีทางลงมือกับซุนซือสิงอย่างโหดเหี้ยม จับเขาให้กับองครักษ์เสื้อโลหิต มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่นางยังไม่เข้าใจ

“แล้วทำไมจวนซุ่นหนิงโหวถึงไม่สังหารซุนซือสิงไปเลย?” คนตายเท่านั้นที่จะสามารถปกปิดความลับได้ ไม่ใช่หรือไง?

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้ บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีโอกาส เนื่องจากสาวใช้ของเจ้าเองก็อยู่ที่จวนซุ่นหนิงโหว อีกอย่างการถูกส่งไปยังองครักษ์เสื้อโลหิต ซุนซือสิงไม่มีทางรอด เจ้าช่วยซุนซือสิงออกมาได้ ควรจะขอบคุณสำหรับการปฏิบัติขององครักษ์เสื้อโลหิตที่มีต่อซุนซือสิง ซุนซือสิงไม่ได้มีอาการบาดเจ็บสาหัสจากการลงโทษที่รุนแรง”

หากไม่มีคนคอยแอบดูแลเขาอย่างลับ ๆ ด้วยรูปลักษณ์ของซุนซือสิง แม้จะไม่ถูกลงโทษจนตาย แต่ก็อาจจะถูกเล่นงานโดยนักโทษคนอื่น สถานที่เช่นองครักษ์เสื้อโลหิต ของไม่เคยขาด ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้หญิง ชายที่อ่อนแออย่างซุนซือสิง มันสามารถสนองความต้องการของคนเหล่านั้นได้

เนื่องจากในเรือนจำเองก็มีนักโทษหลายคนที่ชอบผู้ชายด้วยกัน การที่ซุนซือสิงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยถือเป็นพรที่ได้รับจากองครักษ์เสื้อโลหิตในความโชคร้าย แม้ร่างกายของซุนซือสิงจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ในความเป็นจริงนี่ไม่ใช่ฝีมือของจวนซุ่นหนิงโหว น่าเสียใจเหลือเกินที่องครักษ์เสื้อโลหิตต้องมาถูกใส่ร้ายเช่นนี้

“ใช่ บาดแผลบนร่างกายของซือสิงไม่เหมือนกับผู้ที่ถูกลงโทษอย่างหนัก ดูเหมือนข้าจะเข้าใจองครักษ์เสื้อโลหิตผิด หากมีเวลา ข้าจะต้องไปขอบคุณชุยห้าวถิงและจิ่นหลิง แน่นอนว่าข้าไม่มีทางลืมซีหลิงเทียนเหล่ย

จากนั้นก็ลองไปนั่งคุยกับลู่เส้าหลินดู หากลู่เส้าหลินรู้ว่าจวนซุ่นหนิงโหวจงใจโยนความผิดให้พวกเขา เขาจะต้องไปหาเรื่องกับจวนซุ่นหนิงโหวเป็นแน่” ความคิดของเฟิ่งชิงเฉินช่างชั่วร้าย นางทำให้องครักษ์เสื้อโลหิตได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ไม่รู้ว่าเมื่อพวกเขาเห็นนางแล้ว พวกเขาจะเข้ามาสังหารนางเลยหรือไม่

แน่นอนว่าจิ่นหลิงและชุยห้าวถิงไม่มีทางทำร้ายนาง แต่ซีหลิงเทียนเหล่ยกับลู่เส้าหลินนั้นยังไม่สามารถรับประกันได้ ทั้งสองได้รับความเสียหายอย่างหนัก ไม่แน่ว่าลู่เส้าหลินอาจมีอันตรายถึงชีวิต

เห็นเฟิ่งชิงเฉินกล่าวถึงบุคคลที่มีความเกี่ยวข้อง พูดถึงขั้นว่าจะนำของขวัญอะไรไปเพื่อกล่าวขอบคุณหวังจิ่นหลิงและชุยห้าวถิง เสด็จอาเก้ากัดฟันรอ รออยู่นาน แต่เฟิ่งชิงเฉินก็ยังไม่สนใจเขา

เสด็จอาเก้าหดหู่ใจ พูดออกมาอย่างไม่มีความสุข “แล้วข้าเล่า?”

เขาเองก็ให้ความช่วยเหลือไม่ใช่หรือไง ซุนซือสิงได้รับรับบาดเจ็บที่สมองและระบบภายในอย่างรุนแรง สิ่งเหล่านี้เป็นฝีมือของจวนซุ่นหนิงโหว องครักษ์เสื้อโลหิตช่วยดูแลซุนซือสิงเป็นอย่างดี เขาเองก็ให้ความช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ เนื่องจากเขาเข้าใจการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิชัดเจนกว่าเฟิ่งชิงเฉิน

“เจ้า? เจ้าเป็นคนของข้า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” นางจงใจเว้นชื่อของเสด็จอาเก้าไว้ ในยามอารมณ์ร้อน นางก็มักจะแกล้งเสด็จอาเก้า และในยามอารมณ์ดี นางก็ชอบแกล้งเสด็จอาเก้าเช่นกัน

มีปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีอยู่ ซุนซือสิงจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต และสามารถทำให้ซุนซือสิงเติบโตขึ้นได้ มีจักรพรรดิคอยให้การค้ำจุน นางก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับการแก้แค้นขององครักษ์เสื้อโลหิตและจวนซุ่นหนิงโหว

ความยากลำบากทั้งหมดได้รับการแก้ไขหลังจากได้พบกับเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินจะไม่มีความสุขได้อย่างไร ยิ่งมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า แววตาของนางก็ดูมีรอยยิ้มมากขึ้น

มุมปากของเสด็จอาเก้าเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย คำพูดที่ว่า “เจ้าเป็นคนของข้า” ทำให้เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก แต่……

“คนของเจ้าก็จำเป็นต้องขอบคุณ และการขอบคุณนี้มันต้องมากกว่าคนอื่น” เสด็จอาเก้าพูดออกมาอย่างไร้ยางอาย

“ได้ งั้นเจ้าก็พูดมาว่าจะให้ข้าขอบคุณอย่างไร” ปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว เฟิ่งชิงเฉินเป็นคนพูดง่าย นอกจากนี้การแกล้งเสด็จอาเก้าก็ต้องมีขอบเขต

ในยามที่นางอารมณ์ไม่ดี เสด็จอาเก้ายอมให้นางทุกอย่างด้วยความเต็มใจ นางหยอกล้อเท่าไหร่เขาก็ไม่เคยโกรธ ตอนนี้เห็นได้ชัดว่านางมีความสุข หากแกล้งอีกฝ่ายมากเกินไป ไม่แน่เสด็จอาเก้าอาจจะเป็นคนที่โกรธเสียเอง

“ขอบคุณอย่างไร? เรื่องนี้ข้าขอคิดดูก่อน” เสด็จอาเก้าไม่พลาดรอยยิ้มในดวงตาของเฟิ่งชิงเฉิน แสร้งทำเป็นไตร่ตรอง ฉวยโอกาสที่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจ อุ้มนางขึ้น และวางร่างของนางลงบนโต๊ะด้านหลัง

“ขอบคุณแบบนี้ก็พอแล้ว”

อร๊าย……เฟิ่งชิงเฉินตกใจ รีบกอดเสด็จอาเก้าทันที

ปิดหู!

ปิดตา!

สายลับด้านนอกรีบยื่นมือออกมา แต่มือของเขามีแค่สองข้าง พวกเขาไม่รู้ว่าควรปิดหูหรือปิดตาดี หลังจากตัดสินใจได้แล้ว เขานำมือข้างหนึ่งมาปิดหู อีกข้างหนึ่งปิดตา แบบนี้จึงสามารถป้องกันไม่ได้ให้พวกเขาได้ยินและได้เห็นการกระทำของเจ้านายของพวกเขา

ฉลาดมาก! เหล่าสายลับยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ

ด้วยเสียงกระทบกัน เสด็จอาเก้ากวาดหมึก ปากกาและกระดาษทั้งหมดลงบนพื้น พร้อมกับเอนกายไปด้านหน้า กดลงบนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน “เจ้าว่าตอบแทนข้าด้วยร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไร?”

ตั้งแต่กลับมาจากซีหลิง ตลอดระยะทางมีจั่วอั้นเป็นก้างขวางคอ เสด็จอาเก้าไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากมันเลย กว่าจะกลับมาเมืองจักรพรรดิได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาอยากจะกอดเฟิ่งชิงเฉินแทบตาย สุดท้ายเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ทำให้ทุกอย่างต้องดำเนินมาถึงตอนนี้……

เฟิ่งชิงเฉินมาหาถึงที่ หากเขาปล่อยนางไปเขาก็คงไม่ต่างอะไรกับคนโง่ แน่นอนว่าเขาไม่กล้าทำเช่นนั้นจริง แต่แค่ต้องการผลประโยชน์บางอย่างก่อน

ไม่ปล่อยให้เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยปาก เสด็จอาเก้าปลดเสื้อผ้าของเฟิ่งชิงเฉินอย่างช่ำชอง ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินมีปฏิกิริยาตอบสนอง ชุดคลุมด้านนอกของนางก็ถูกถอดออกเป็นอันเรียบร้อย

“ชู่……อย่าเพิ่งพูดอะไร” เห็นเฟิ่งชิงเฉินเคลื่อนไหว เสด็จอาเก้ากดร่างของนางไว้ นำนิ้วของเขากดไปบนริมฝีปากของนาง

“อ่า……” ร่างทั้งร่างของเฟิ่งชิงเฉินแข็งทื่อ นางคิดไม่ถึงว่าคนที่ดูจริงจังตลอดเวลาอย่างเสด็จอาเก้าจะมีมุมไร้เหตุผลเช่นนี้อยู่เหมือนกัน

นี่คือห้องหนังสือ เป็นห้องที่มีไว้สำหรับเรื่องงานสำคัญ เสด็จอาเก้าช่างชั่วร้ายเหลือเกิน

บูม……

ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความเร่าร้อน แม้มองไม่เห็น แต่นางก็มั่นใจได้ว่าตอนนี้นิ้วเท้าของนางเป็นสีแดง เสด็จอาเก้าจับนางวางไว้บนโต๊ะเพื่อรับประทาน แบบนี้มันใจร้อนเกินไปหรือเปล่า

“นี่มันห้องหนังสือ” เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจ กล่าวออกไปด้วยความไม่พอใจ

“แล้วยังไง? ห้องหนังสือเป็นสถานที่ซึ่งมีไว้สำหรับทำงานหรือทำกิจกรรมไม่ใช่หรือไง?” เสด็จอาเก้าสำเด็ดสำนวน ที่จริงเขาไม่ได้ต้องการทำอะไรกับเฟิ่งชิงเฉินในห้องหนังสือ เขาเพียงแค่แกล้งเฟิ่งชิงเฉินกลับเท่านั้น

อย่าคิดว่าเขาไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินจงใจเว้นชื่อของเขาโดยเจตนา ดูท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเขินอายของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าจึงอดไม่ได้ที่จะเล่นใหญ่เช่นนี้

ริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกัน เสด็จอาเก้าสัมผัสริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินอย่างนุ่มนวล ฉวยโอกาสตอนที่เฟิ่งชิงเฉินขาดสติสอดลิ้นเข้าไปในปากของนาง เริ่มควบคุมสถานการณ์ มันเกือบจะทำให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นลมจากการจูบนั้น

เสด็จอาเก้าถอยออกมาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ จูบไปตรงคอของเฟิ่งชิงเฉินอย่างเร่าร้อน ใช้มือสอดเข้าไปในกระโปรงของเฟิ่งชิงเฉิน และลูบไปมาตามส่วนโค้งบนร่างกายของนาง

หากกินไม่ได้ก็ขอดื่มก่อนแล้วกัน

ปลายนิ้วของเขาสัมผัสผิวหนังของเฟิ่งชิงเฉินอย่างนุ่มนวล ทำให้เฟิ่งชิงเฉินหายใจเร็วขึ้น ใบหน้าของนางเป็นสีแดง ร่างกายของนางบิดไปมาอย่างไร้การควบคุม ใช้สติที่ยังหลงเหลือกล่าวออกมาว่า “อย่า……”

“ไม่ได้ นี่คือของขวัญของข้า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปฏิเสธ” ราวกับจะลงโทษการปฏิเสธของเฟิ่งชิงเฉิน มือของเสด็จอาเก้าเลื่อนไปยังท้องส่วนล่างของนาง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก หากเลื่อนลงไปอีกเพียงเล็กน้อยมันก็จะไปถึงจุดที่อันตรายที่สุด

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกเขินอายและกังวลไปพร้อมกัน นางคิดไม่ถึงเลยว่า พูดคุยกับเสด็จอาเก้าอยู่ดี ๆ สุดท้ายกลับต้องมานอนลงบนโต๊ะในห้องหนังสือ นี่เป็นที่ทำงานของเสด็จอาเก้า หากถูกเผยแพร่ออกไป เกรงว่านางคงอับอายจนไม่สามารถพบหน้าใครได้อีก

เฟิ่งชิงเฉินใช้มือทั้งสองข้างโอบไปรอบคอของเสด็จอาเก้า ยืมแรงจากอีกฝ่าย นำศีรษะของตนเองไปไว้ตรงต้นคอของเสด็จอาเก้า กล่าวออกมาอย่างหอบเหนื่อย “นี่คือห้องทำงานของเจ้า เจ้าต้องการของขวัญ ข้าไม่ปฏิเสธ แต่อย่างน้อยมันต้องไม่ใช่ที่นี่”

นางจะยอมเสียหน้าไม่ได้!

“งั้นก็หมายความว่า หากเปลี่ยนสถานที่ก็ทำได้งั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าค้นพบความน่าสนใจที่สุดของเขา มันไม่เกี่ยวกับความรู้สึกรักใคร่ของเฟิ่งชิงเฉิน แต่มาเป็นการตอบสนองของร่างกายเฟิ่งชิงเฉิน สีหน้าที่แดงระเรื่อมาพร้อมกับอาการเขินอายที่ถูกคุกคามโดยเขา

นี่คือเฟิ่งชิงเฉินในรูปแบบที่งดงามที่สุดในสายตาของเขา และไม่มีใครสามารถมาแทนที่นางได้

ฮือ ฮือ ฮือ……เฟิ่งชิงเฉินอยากจะร้องไห้ เสด็จอาเก้า เจ้าเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร มีคนบอกว่าเจ้าเต็มไปด้วยความอบอุ่นและต้องการความปรารถนา ความปรารถนานี้ของเจ้านั้นมีความอบอุ่นอยู่เสียที่ไหนกัน

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท