นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 816 บทลงโทษ บ่อหยกอันใสสะอาด

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 816 บทลงโทษ บ่อหยกอันใสสะอาด

คนรับใช้ยกอาหารมาวางอย่างระมัดระวังและรีบถอยออกไป เสด็จอาเก้าก็ไม่ได้ใส่ใจ นั่งกินอาหารอยู่ตรงข้ามกับเฟิ่งชิงเฉิน ในห้องอาหาร นอกจากเสียงกระทบกันของตะเกียบกับถ้วยก็ไม่มีเสียงอื่นใด

เสด็จอาเก้าเฝ้าดูเฟิ่งชิงเฉินกินอาหารอย่างงุ่มง่าม จ้องมองพ่อบ้านที่ช่วยตักอาหารให้เฟิ่งชิงเฉินอย่างระมัดระวัง ทำให้เขามีความอยากอาหารมากกว่าปกติ เขาจึงทานอาหารมากเวลาทั่วไป

ไม่ช้าก็เร็วทั้งสองก็ต้องสะสางกันอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ตอนนี้เขากินอิ่มมาก ต้องการเดินออกไปย่อยอาหาร ไม่อย่างนั้นคืนนี้เขาอาจจะไม่มีแรงรับของขวัญ

เสด็จอาเก้าวางตะเกียบและเดินออกไปด้านนอก เฟิ่งชิงเฉินกับพ่อบ้านถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็ออกไปเสียที รัศมีของเสด็จอาเก้ารุนแรงเหลือเกิน กดดันพวกเขาจนแทบไม่กล้าหายใจออกมา

ฮู้ว……เฟิ่งชิงเฉินและพ่อบ้านรู้สึกเหมือนตนเองได้รับพร แต่ทันใดนั้น เสด็จอาเก้าหยุดอยู่หน้าประตูอย่างกะทันหัน ทำให้เฟิ่งชิงเฉินและพ่อบ้านหยุดชะงักด้วยความตกใจ ตัวแข็งทื่อเหมือนดังเดิม

เสด็จอาเก้าพอใจในการแสดงออกของทั้งสองคนมาก ทิ้งประโยคสุดท้ายไว้อย่างเย่อหยิ่ง “ไปรับโทษของตนเองตอนดึก” จากนั้นเขาก็จากไป

ส่วนเป็นโทษของใคร ใครเป็นผู้ลงโทษ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้อยู่ในความคิดของเสด็จอาเก้า

เห้อ……พ่อบ้านและเฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมาพร้อมกันอีกครั้ง เสด็จอาเก้ากินอิ่มแล้ว เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แม้เสด็จอาเก้าจะไม่อยู่ แต่แรงกดดันของเขายังอยู่ พ่อบ้านไม่มีอารมณ์ตักอาหารให้เฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉินเองก็ไม่มีอารมณ์กินอีกต่อไป

นางเข้าใจคำพูดของเสด็จอาเก้าดี แอบคิดอยู่ในใจ นางควรใช้โอกาสนี้หนีกลับไปยังจวนเฟิ่งดีหรือไม่ แต่เมื่อนึกถึงการป้องกันของจวนอ๋องเก้า ความคิดนี้ของเฟิ่งชิงเฉินก็ถึงกับดับสลาย

เฟิ่งชิงเฉินยกชามงานขึ้นด้วยใบหน้าหนักอึ้ง เพื่อร่างกายของตนเอง แม่ไม่อยากแต่นางก็ต้องกินต่อไป ไม่อย่างนั้นคืนนี้นางจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปรับโทษจากเสด็จอาเก้า

สิ่งที่เสด็จอาเก้าเรียกว่าการย่อยอาหาร แท้จริงแล้วมันคือการกำจัดคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เสด็จอาเก้าเดินไปยังตำหนักที่ซุนซือสิงพักฟื้นฟูร่างกาย ถามถึงอาการของซุนซือสิงกับหมอผู้ดูแล จากนั้นก็สั่งให้ผู้รับใช้จัดเก็บสิ่งของ และพาตัวของซุนซือสิงออกไป

เสด็จอาเก้าออกคำสั่งกับหมออย่างเป็นระเบียบ บอกให้อีกฝ่ายจัดเตรียมยาทุกอย่างให้พร้อม สั่งให้สายลับเป็นผู้นำทาง ปกป้องดูแลความปลอดภัยของซุนซือสิง สั่งให้ผู้รับใช้เตรียมของขวัญไปให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีพร้อมหนังสือสัญญา และล่วงหน้าไปก่อน

ท้ายที่สุดเสด็จอาเก้าไปหาจั่วอั้น “ส่งเขาออกไปนอกเมือง วันหลังค่อยกลับมา” มีจั่วอั้นอยู่ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของซุนซือสิง

“ทำไมข้าต้องไป?” มือทั้งสองของจั่วอั้นกำดาบแน่น เงยหน้าขึ้นอย่างท้าทาย เห็นได้ชัดเขาไม่สนใจในตัวของเสด็จอาเก้า

“สิ่งนี้ให้เจ้ายืม สามวันหลังจากนี้ค่อยเอามาคืนข้า” เสด็จอาเก้าปลดกรงเล็บเสือบินจากข้ามือ โยนมันไปให้กับจั่วอั้น

หากต้องการยืมพลังของจั่วอั้น จำเป็นจะต้องนำสิ่งซึ่งล่อตาล่อใจจั่วอั้นออกใส เรื่องนี้เสด็จอาเก้าเข้าใจดีกว่าเฟิ่งชิงเฉิน

อย่างที่คิด เมื่อเห็นสิ่งของซึ่งเสด็จอาเก้าโยนมาให้ ไร้ซึ่งความลังเล จั่วอั้นพยักหน้าในทันที “เป็นอันตกลง”

พูดจบเขาก็เดินไปทางจั่วอั้น ไม่รอรีแต่อย่างใด

เยี่ยมมาก พวกน่ารังเกียจถูกไล่ออกไปจนหมด คืนนี้ก็ไม่มีใครมารบกวน

รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินให้ความสำคัญกับซุนซือสิงมากแค่ไหน เสด็จอาเก้าจึงลงมาดำเนินการทุกอย่างด้วยตัวเอง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เขาให้คนไปแจ้งเฟิ่งชิงเฉินว่าถึงเวลาออกมาส่งพวกเขาแล้ว

ใช่ แค่ออกมาส่งเท่านั้น ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินถูกผู้รับใช้ของเขาพาตัวมา เวลานั้นซุนซือสิงก็ขึ้นไปอยู่บนรถม้าแล้ว จั่วอั้นยืนกอดดาบอยู่ด้านข้างรถม้า พร้อมออกเดินทางตลอดเวลา นางออกมาแค่ส่งพวกเขา เนื่องจากเรื่องอื่น เสด็จอาเก้าได้จัดการไว้เป็นที่เรียบร้อย

“ซือสิงเขา……”

คำพูดหลังจากนั้นเฟิ่งชิงเฉินไม่จำเป็นต้องพูดออกมาเสด็จอาเก้าก็เข้าใจได้ในทันที “หมอได้ทำการตรวจร่างกายของซุนซือสิงเป็นอันเรียบร้อย เขาสามารถเดินทางไกลได้ ยิ่งเขาอยู่ในเมืองจักรพรรดินานขึ้นเท่าไหร่ อันตรายของเขาก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หากมีคนรู้ว่าเขาอยู่ในจวนอ๋องเก้า อย่าว่าแต่องครักษ์เสื้อโลหิตเลย แม้แต่จักรพรรดิเองก็ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ ส่วนเรื่องอันตรายระหว่างการเดินทาง เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล นอกจากมีหมอคอยให้การดูแลแล้ว ยังมีจั่วอั้นอยู่ด้วย”

“ข้าเข้าใจแล้ว” มีเบาะนุ่ม ๆ ในรถม้า แม้ว่ารถม้าจะวิ่งเร็ว แต่หากนอนอยู่บนเบาะเหล่านั้น แม้รถม้าจะตกหลุม มันก็มิอาจรับรู้ถึงความรู้สึกนั้นได้

เสด็จอาเก้าเตรียมการทุกอย่างเป็นอย่างดี นางไม่มีอะไรต้องพูด นางขึ้นไปบนรถและห่มผ้าให้กับซุนซือสิง ลูบใบหน้าอันซีดขาวของเขา กล่าวออกมาเสียงเบาว่า “รีบกลับมานะซือสิง อาจารย์รอเจ้าอยู่ที่เมืองจักรพรรดิ”

ลงจากรถม้า หันไปพูดกับจั่วอั้นอย่างเคร่งขรึม “ขอรบกวนเจ้าด้วย”

เอ๋?

จั่วอั้นขมวดคิ้ว หันมาถามเสด็จอาเก้าด้วยสายตา เขาพูดออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะไปส่งซุนซือสิงที่หุบเขาซวนยี เขาแค่ส่งซุนซือสิงออกไปนอกเมืองเท่านั้น หากต้องการให้เขาพาซุนซือสิงไปส่งถึงหุบเขาซวนยี แบบนั้นก็ต้องจ่ายให้เขามากกว่านี้

เสด็จอาเก้าเบือนหน้าหนี สิ่งที่จั่วอั้นต้องการนั้นไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เขาแค่ต้องการให้จั่วอั้นพาซุนซือสิงออกไปนอกเมือง หากต้องการค่าจ้างมากกว่านี้ก็ต้องไปขอกับคนอื่น

สุดท้ายกลับทำให้จั่วอั้นเข้าใจว่า เขาต้องการให้จั่วอั้นพาซุนซือสิงไปส่งยังหุบเขาซวนยี ส่วนเรื่องรางวัลก็แล้วแต่เจ้าจะขอ ลูบกรงเล็บเสือบินที่อยู่ข้างเอว จั่วอั้นแสดงออกมาให้เห็นว่าข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่ดี อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบหมกตัวอยู่แต่ในเมืองแห่งจักรพรรดิตงหลิง สถานที่ลึกลับอย่างหุบเขาซวนยี แน่นอนว่ามันน่าสนใจสำหรับเขามากกว่า

จั่วอั้นพยักหน้า บ่งบอกว่าเขาจะเป็นคนจัดการทุกอย่างเอง ไม่มีปัญหาแน่นอน

เฟิ่งชิงเฉินเน้นย้ำออกมาอีกสองสามประโยค สุดท้ายฝากจั่วอั้นไปบอกกับปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีว่า “หากซุนซือสิงสามารถกลับมาเป็นปกติได้ ข้าจะมอบเครื่องมือผ่าตัดชุดที่ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีต้องการให้กับเขา”

เฟิ่งชิงเฉินลงทุนจำนวนมาก เพียงแค่ขอร้องมิให้ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีชำแหละออกมาทนลองเหมือนกับการชำแหละอาจารย์ใหญ่

แววตาของจั่วอั้นเป็นประกาย หมอเทวดาเป็นบุคคลที่มีอยู่น้อยมาก ถือว่าเป็นโอกาสดีของเขาเช่นกัน อ่า รางวัลสำหรับการไปส่งซุนซือสิงนี้ช่างยอดเยี่ยม

“ได้” จั่วอั้นถนอมคำพูดของเขาราวกับทองคำ กระโดดขึ้นรถม้าทันทีเมื่อพูดจบ เขาแทบรอไม่ไหวที่จะสั่งให้คนพวกนี้ออกเดินทาง คนอื่นอาจจะคิดว่าจั่วอั้นกำลังทำตามหน้าที่ แต่เสด็จอาเก้ารู้ดีว่าจั่วอั้นต้องการรางวัลจากเขา

คนกลุ่มนี้ออกเดินทางในชื่อของกองพลทหารเสินจี และยังได้รับคำอนุญาตพิเศษจากจักรพรรดิ สามารถออกไปนอกเมืองได้โดยมิต้องตรวจสอบ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังออกเดินทางอย่างเงียบสงบ หลบออกไปทางประตูด้านข้างของจวนอ๋องเก้า ทำให้เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าออกไปส่งพวกเขาด้านนอก

กลุ่มของจั่วอั้นหายตัวไปในความมืด ไม่นานก็มิสามารถมองเห็นได้ เฟิ่งชิงเฉินดึงสายตากลับมาอย่างไม่เต็มใจ มีจั่วอั้นและปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีอยู่ นางก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับซุนซือสิง

เรื่องทั้งหมดได้รับการแก้ไข ท่าทางที่ดูตึงเครียดของเฟิ่งชิงเฉินผ่อนคลายลง ตอนนี้นางถึงสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าในร่างกาย ลูบไปยังต้นคอ เตรียมตัวกลับห้องไปอาบน้ำเพื่อขจัดความเมื่อยล้า

เสด็จอาเก้าเดินเป็นเพื่อนเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสองคนเดินอยู่ในความมืด เส้นทางที่เลือกเดินคือเส้นทางที่ไม่มีใครอยู่ของจวนอ๋องเก้า ระยะห่างของพวกเขากำลังดี ไม่ส่งผลกระทบในการเดินของพวกเขา แต่ยังคงได้กลิ่นอายจากร่างกายของอีกฝ่าย ลมหายใจแห่งความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ภายใต้ผลกระทบจากพวกเขาทั้งสอง เหมือนกับคู่รักซึ่งเดินเล่นอยู่ในชนบท เดินเล่นในสวนยามค่ำคืน เพลิดเพลินกับความงามใต้แสงจันทร์……

ท้องฟ้าและแสงจันทร์อยู่ในความสงบ ให้บรรยากาศที่ทำให้หัวใจอบอุ่น คงจะดีหากพวกเขาสามารถละทิ้งความรับผิดชอบทั้งหมดเพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดเช่นนั้น

แอบหันมองเสด็จอาเก้า เห็นใบหน้าอันเคร่งขรึมของเสด็จอาเก้า ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เฟิ่งชิงเฉินเก็บสายตาของตนเอง รอยยิ้มแห่งความขมขื่นปรากฏออกมาตรงมุมปากของนางอย่างเลือนราง

เดินมาถึงทางแยก ฝีเท้าของเสด็จอาเก้าหยุดลง พูดโดยไม่เห็นใครว่า “พาแม่นางไปอาบน้ำ”

“เพคะ” สาวใช้สองคนเดินออกมาจากมุมหนึ่ง เฟิ่งชิงเฉินสงสัยเป็นอย่างมาก นางไม่รู้เลยว่าที่นี่มีใครอื่นอยู่ เป็นเพราะนางระมัดระวังตัวน้อยเกินไป หรือเป็นเพราะความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย

รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลัง เสด็จอาเก้าอธิบายออกมาว่า “พวกนางคือสาวใช้ที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาโดยสายลับ เจ้าไม่สังเกตเห็นถึงพวกนางมันก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อจั่วอั้นไม่อยู่ พวกนางจะปกป้องและดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิด”

ผู้ชายไม่สามารถเฝ้าติดตามเฟิ่งชิงเฉินได้ตลอดทั้งวัน ผู้หญิงเหมาะสมกว่ามาก แม้ในกลุ่มของสายลับที่มีหน้าที่ดูแลเฟิ่งชิงเฉินจะมีผู้หญิงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องเฟิ่งชิงเฉินได้ตลอดเวลา

“ข้าเข้าใจแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินยอมรับทั้งสองโดยไม่ลังเล แม้เสด็จอาเก้าจะไม่สามารถสร้างโลกที่ปลอดภัยให้กับนางได้ แต่เขาก็พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยให้กับนาง

“ไปเถิด พักผ่อนให้เต็มที่ ข้ามีเรื่องต้องทำ อยู่เล่นกับเจ้าไม่ได้” เสด็จอาเก้าแฝงตัวอยู่ในความมืด ทำให้เฟิ่งชิงเฉินมองไม่เห็นใบหน้าของเขา พูดจบเขาก็เดินทางยังห้องหนังสือ

เขาตั้งหน้าตั้งตารอของขวัญที่เฟิ่งชิงเฉินจะเป็นคนมอบให้กับเขา

เห็นเงาของหลังของเสด็จอาเก้าที่จากไป เฟิ่งชิงเฉินแอบดีใจ ดูเหมือนว่าเสด็จอาเก้าจะลืมเรื่องการลงโทษ และของรางวัลจากนางไปเสียสนิท แบบนี้นางก็สามารถนอนหลับได้อย่างสบาย

หัวใจของเฟิ่งชิงเฉินเต็มไปด้วยความสุข สาวใช้ทั้งสองพานางเดินออกไปอีกด้านหน้า ผลลัพธ์ก็คือ ยิ่งเดินต่อไป เฟิ่งชิงเฉินก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ มองไปรอบด้านด้วยความระมัดระวัง พร้อมเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

“พวกเจ้าจะพาข้าไปที่ไหน?” หากสาวใช้สองคนนี้ไม่ใช่คนที่เสด็จอาเก้าเพิ่งมอบให้กับนาง นางคงลงมือจัดการอีกฝ่ายไปแล้ว

จิตสังหารอันรุนแรงทำให้สาวใช้ทั้งสองเต็มไปด้วยท่าทีที่ดุร้าย แต่เมื่อพบว่าจิตสังหารดังกล่าวนั้นเป็นของเฟิ่งชิงเฉิน สาวใช้ทั้งสองจึงลดความดุดัน ก้มหน้าและอธิบายออกมา “แม่นางเฟิ่งอย่าได้โกรธ ท่านอ๋องสั่งให้พวกข้าพาท่านไปยังบ่อหยก และบ่อหยกก็อยู่ไม่ไกลจากตรงนี้แล้ว”

“บ่อหยก? มันเป็นสถานที่แบบไหน?” เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายจากคำพูดของสาวใช้ทั้งสอง

“แม่นางเฟิ่ง บ่อหยกคือบ่อน้ำพุร้อน ถูกสร้างขึ้นมาจากหยกเนื้อละเอียด ดึงดูดน้ำพุร้อนธรรมชาตินอกเมือง ปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีกล่าวไว้ว่า บ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้ดีต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก ท่านอ๋องอยากให้แม่นางไปแช่ตัวในบ่อหยก เพื่อผ่อนคลายและบรรเทาความเหนื่อยล้า” สาวใช้ทั้งสองอธิบายออกมาถึงทำให้เฟิ่งชิงเฉินลดความระมัดระวังของลง และให้สาวใช้ทั้งสองนำทางต่อไป

ยังไม่ทันถึงบ่อหยก เฟิ่งชิงเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงไอร้อนที่ขึ้นมาปกคลุมฝ่าเท้า มันอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ หลังจากถามเฟิ่งชิงเฉินถึงได้เข้าใจ เพื่อรักษาอุณหภูมิของบ่อน้ำพุและอุณหภูมิในตำหนัก จึงได้ทำการฝังท่อน้ำไว้ด้านล่าง ทำให้มีการไหลเวียนของน้ำอยู่ตลอดเวลา

ความร้อนใต้พิภพเหมาะสมกับความเพลิดเพลินของเหล่าราชวงศ์เสียจริง

จากความรู้ซึ่งมีอยู่ ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินลงไปในบ่อหยก นางก็อดคิดไม่ได้ว่าเสด็จอาเก้าเป็นพวกชอบผลาญเงินเสียจริง

บ่อหยกไม่ได้ถูกตกแต่งอะไรมากมาย แต่จากสิ่งที่สร้างขึ้น ราคาของมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการสร้างพระราชวังขึ้นมาเลย ไม่ต้องพูดถึงแท่นหยกที่มีไว้นั่งตรงด้านข้าง เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับหยก แต่นางก็รู้ว่ามันคือชิ้นหยกอันสมบูรณ์แบบ ราคาของมันสามารถซื้อได้ทั้งเมือง และไม่มีขายในห้องตลาด เป็นหยกที่คนธรรมดาไม่สามารถจับต้องได้

ของแบบนี้ ต่อให้เป็นพระราชวังของทั้งสี่ประเทศก็ไม่มีทางมี ตระกูลชุย ตระกูลหวังที่สืบทอดกันมามากกว่าร้อยปีก็ไม่มีทางเคยเห็น เสด็จอาเก้าคือนักสะสมตัวยงอันแท้จริง

น้ำซึ่งไหลลงมาในบ่อหยก เข้ามาจากทางด้านซ้าย ไหลออกมาจากทางด้านขวา สามารถรักษาปริมาณได้ไว้ได้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ควันสีขาวลอยอยู่เหนือบ่อ ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าไปในแดนสวรรค์โดยไม่ตั้งใจ

ในตอนที่เฟิ่งชิงเฉินลงไปในบ่อหยก สายลับอีกด้านหนึ่งเปิดประตูห้องหนังสือ พร้อมรายงานออกมาว่า “ท่านอ๋อง แม่นางเฟิ่งลงไปในบ่อแล้ว”

ทันทีเมื่อมีเสียงดังขึ้นในห้องหนังสือ เสด็จอาเก้าก็เดินออกมาอย่างไม่รอรี

ทำงานเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะไปรับรางวัล

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท