นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 830 ยืมพลัง มอบของขวัญอันยิ่งใหญ่ให้กับตระกูลหยุน
เข้ามาในพระราชวัง กระแสความร้อนพุ่งเข้ามาผ่านใบหน้า กลิ่นเลือดคลุ้งกระจายอย่างรุนแรง แม้เฟิ่งชิงเฉินจะเคยชินกับสิ่งเหล่านี้ แต่นางก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
ขมวดคิ้วเล็กน้อย เฟิ่งชิงเฉินเดินเข้าไปในห้องด้านในอย่างเร่งรีบ อุณหภูมิในห้องราวกับเป็นฤดูร้อน ร้อนรุ่มจนแทบหายใจไม่ออก ทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินเข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความร้อนที่พลุ่งพล่าน ไม่ว่าจะเป็นนางในหรือหมอหลวง ทุกคนต่างหยุดมือ ตะโกนออกมาอย่างมีความสุข “แม่นางเฟิ่งมาแล้ว แม่นางเฟิ่งมาแล้ว เหนียงเหนียงรอดแล้ว”
“แม่นางเฟิ่ง แม่นางเฟิ่ง เยี่ยมมาก ยอดเยี่ยมมาก พวกเราทุกคนรอดแล้ว”
เหล่าหมอหลวงและนางในที่อยู่ในสภาวะตื่นตระหนก ไม่มีใครไร้เดียงสา เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินเข้ามา ราวกับพวกเขาได้เห็นกระดูกสันหลัง เฟิ่งชิงเฉินเหมือนจะมีเสน่ห์เป็นพิเศษ นางไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ยืนอยู่ตรงนั้นแต่กลับสามารถทำให้ทุกคนสบายใจได้
“ชิงเฉิน ชิงเฉิน เจ้ามาแล้วงั้นหรือ?” สนมเอกเซี่ยที่หมดสติไป เมื่อได้ยินเสียงดังกล่าวก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับถามอย่างอ่อนแรง น้ำตาคลอ แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครเห็น
ผมยาวชุ่มเหงื่อพันรอบใบหน้าของนาง นางดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินชำเลืองมองแต่ไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกไปมากมายนัก พยักหน้าตามธรรมชาติ “ข้าเองเหนียงเหนียง ชิงเฉินมาแล้ว เหนียงเหนียงไม่ต้องกังวล ทั้งหมดปล่อยให้เป็นหน้าที่ของชิงเฉิน ขอแค่เหนียงเหนียงรักษาความแข็งแรงเอาไว้ได้ และเชื่อในชิงเฉิน ท่านและเสี่ยวซื่อจื่อจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
เฟิ่งชิงเฉินพูดปลอบใจพร้อมกับรัดผมของตนเอง สวมหน้ากากและถุงมือ เดินถือกล่องยาไปข้างเตียง เหล่าคนที่อยู่ข้างเตียงสนมเอกเซี่ยต่างหลีกทางให้ และจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างมีความหวัง
เวลานี้เฟิ่งชิงเฉินไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตของสนมเอกเซี่ย แต่ยังช่วยชีวิตของพวกนางด้วย หากสนมเอกเซี่ยไม่อยู่ พวกนางก็คงไม่มีประโยชน์ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
“นำเก้าอี้มาหนึ่งตัว” ทันทีที่เสียงของเฟิ่งชิงเฉินเงียบลง เก้าอี้ตัวหนึ่งก็ถูกวางลง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้เกรงใจ บอกให้ทุกคนถอยออกไป เปิดกล่องยา หยิบหูฟังและเครื่องวัดอุณหภูมิออกมา เริ่มทำการตรวจสนมเอกเซี่ย
สนมเอกเซี่ยถูกปลุกให้ตื่นด้วยอุปกรณ์ที่มีความเย็น ดวงตาที่สับสนของนางมีสมาธิ มองมายังคนที่อยู่ด้านข้าง เห็นว่าคนในวังออกไปกันหมดแล้วจึงยิ้มออกมาอย่างน่าสมเพช “ชิงเฉิน……” ในที่สุดเจ้าก็มา ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องมา
ไม่ชอบสนมเอกเซี่ยนั้นคือความจริง แต่ในฐานะหมอคนหนึ่ง เวลานี้ไม่ควรเอาเรื่องความชอบหรือไม่ชอบมาเกี่ยวข้องกับงาน เฟิ่งชิงเฉินยิ้มออกไปอย่างอ่อนโยน “เหนียงเหนียงไม่ต้องกังวล ชิงเฉินจะปกป้องเหนียงเหนียงและบุตรแห่งมังกรในท้องของท่านอย่างสุดความสามารถ”
เฟิ่งชิงเฉินยกผ้าห่มขึ้นและดันขาของสนมเอกเซี่ยออกจากกัน ร่างของสนมเอกเซี่ยนั่งอยู่บนเบาะหนา ซึ่งมีกลิ่นไม่พึงประสงค์อยู่เล็กน้อย เลือดยังคงไหลออกมาจากช่องคลอดไม่ยอมหยุด ดูแล้วช่างน่าสะเทือนใจ
เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจเข้า ส่งสัญญาณให้สาวรับใช้ออกมาด้านหน้า “นำเบาะเหล่านี้ออกไปให้หมด แทนที่ด้วยผ้านวมสะอาดสองผืน จำไว้ว่าอย่าใช้ผ้านวมไหม ใช้แค่ผ้านวมธรรมดา นอกจากนี้ยกเว้นสาวใช้คนสนิทของเหนียงเหนียง ที่เหลือออกไปให้หมด ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากหมอหลงผู้หญิง”
“ชิงเฉิน……” สนมเอกเซี่ยฟื้นสติกลับมาเล็กน้อย ได้ยินคำพูดนี้ของเฟิ่งชิงเฉิน นางเข้าใจในทันทีว่าอาจมีบางอย่างที่สกปรกในพระราชวังแห่งนี้
เฟิ่งชิงเฉินพูดออกมาชัดเจนถึงขนาดนี้ แน่นอนว่านางสนมในวังทุกคนต่างเข้าใจ ใบหน้าของพวกนางขาวซีด สนมเอกเซี่ยไม่ต้องพูดพวกนางก็ออกไปเสียก่อน
“เหนียงเหนียงไม่ต้องกังวล ชิงเฉินทำเช่นนี้มิใช่เพราะสงสัยในเรื่องใด แค่ผ้านวมนั้นดีต่อสุขภาพของท่านมากกว่า จำนวนคนมากเกินไปในห้องทำให้อากาศไม่ไหลเวียน ทำให้ท่านหายใจได้ลำบาก” นางไม่เข้าใจการต่อสู้ของเหล่านางสนม แต่นางเข้าใจสิ่งดำมืดที่เกี่ยวข้องกับหมอ ในบางครั้งหมอก็ทำหน้าที่ของตนเองเป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีหมอในด้านมืด
สายพันธุ์มังกรของสนมเอกเซี่ยนั้นมั่นคงมาก นี่เป็นสิ่งซึ่งเฟิ่งชิงเฉินมั่นใจ การที่ใกล้จะคลอดออกมาแล้ว และมีสัญญาณของการแท้ง นี่จะต้องเป็นฝีมือของคนอย่างแน่นอน
ในเมื่อเป็นฝีมือของคน ทุกสิ่งจึงเป็นเรื่องใหญ่ได้ทั้งหมด นางสนมในตำหนักจาวเยี่ยน สนมเอกเซี่ยเชื่อใจ นางเองก็เชื่อเช่นกัน แต่หมอหญิงที่มาจากด้านนอก คนพวกนี้ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ดังนั้นนางจึงไม่ต้องการคนเหล่านี้ ส่วนเรื่องเปลี่ยนผ้านวม เนื่องจากผู้ที่อาศัยอยู่ในพระราชวังนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ต่อให้ส่งผ้านวมหรือเบาะเข้ามาก็ไม่มีทางเข้ามาถึงที่นี่
ใช้ประโยชน์จากเวลาที่สาวใช้กำลังทำความสะอาด เฟิ่งชิงเฉินฉีดยาป้องกันการแท้งบุตรและยาห้ามเลือดให้กับสนมเอกเซี่ย ในขณะเดียวกันก็นำเลือดของนางไปตรวจ
“เหนียงเหนียง ท่านเสียเลือดมากเกินไป ข้าจำเป็นต้องถ่ายเลือดให้ท่าน ข้าเชิญเซี่ยฮูหยินเข้ามาได้หรือไม่?” คำถามนี้ของเฟิ่งชิงเฉินนั้นถามออกมาโดยเปล่าประโยชน์ เพราะสนมเอกเซี่ยหมดสติไปตั้งนานแล้ว
ไม่ตอบเท่ากับเห็นด้วย เฟิ่งชิงเฉินโบกมือให้สาวใช้ไปตามคนเข้ามา หลังจากเซี่ยฮูหยินเข้ามา นางได้พาคนของตระกูลเซี่ยมาด้วยอีกสองคน หลังเฟิ่งชิงเฉินอธิบายออกไปแล้ว เซี่ยฮูหยินยื่นมือออกมาโดยไม่ลังเล “แม่นางเฟิ่ง เชิญนำเลือดของข้าไปได้ตามสบาย จะนำไปจนหมดก็ได้ ขอแค่เหนียงเหนียงปลอดภัย”
เวลาแบบนี้ยังจะเล่นละคร ช่างน่ารังเกียจเสียจริง แต่เรื่องของแม่ลูกมันไม่เกี่ยวอะไรกับนาง เฟิ่งชิงเฉินจึงนำเข็มออกมาพร้อมหลอดเก็บตัวอย่าง “ฮูหยินพูดเกินไป เรื่องแค่นี้ไม่ถึงกับตาย ก่อนอื่นต้องขอตรวจเลือดดูก่อน”
สนมเอกเซี่ยเลือดกรุ๊ป ab โชคดีเป็นอย่างมากที่เซี่ยฮูหยินและคนหญิงที่มากับนางอีกสองคนก็มีเลือดกรุ๊ป ab เช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินไม่เกรงใจ เก็บเลือดของแต่ละคนมา 400 cc ส่วนจะใช้มันหมดหรือไม่ เรื่องนี้เอาไว้ค่อยว่ากัน
สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เลือด 400 cc ถือว่าเป็นจำนวนที่เยอะมาก ผู้หญิงตระกูลเซี่ยทั้งสามมีสีหน้าเปลี่ยนไป รู้สึกหนาว ร่างกายสั่นเทา ร่างกายดูหนักอึ้ง
เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดที่จะใช้ทักษะทางการแพทย์ของนางทำร้ายผู้คน ดังนั้นหลังจากเจาะเลือดแล้ว นางก็ให้ผู้หญิงทั้งสามไปดื่มน้ำตาลทรายต้ม และอินทผลัมแดง “บำรุงเลือด ดื่มให้มากเข้าไว้ อีกสามถึงห้าวันเลือดเหล่านี้ถึงจะคืนกลับมา”
ผู้หญิงแซ่เซี่ยทั้งสามแสดงความขอบคุณ หลังจากดื่มน้ำน้ำตาลทรายแดงหนึ่งถ้วย เซี่ยฮูหยินรู้สึกสบายขึ้นมาก เฝ้ามองเฟิ่งชิงเฉินเชื่อมต่อท่อลำเลียงเลือดของพวกนางไปยังร่างของสนมเอกเซี่ย ครั้งนี้ดวงตาของนางแดงก่ำ “แม่นางเฟิ่ง ขอบคุณเจ้ามาก ตระกูลเซี่ยของพวกเราจะจดจำบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของแม่นางเฟิ่งไว้ หากในอนาคตแม่นางเฟิ่งมีปัญหาอะไร สามารถเอ่ยปากออกมาได้”
“การขอบคุณจากตระกูลเซี่ย? เซี่ยฮูหยินก็กล่าวเกินไป ชิงเฉินช่วยสนมเอกเซี่ยไม่ใช่เพราะตระกูลเซี่ย หากเป็นเพราะตระกูลเซี่ย ชิงเฉินไม่มีทางมาช่วยเหนียงเหนียง ที่ชิงเฉินมาช่วยเหนียงเหนียงก็เพราะตัวของเหนียงเหนียงเอง หากตระกูลเซี่ยต้องการขอบคุณ ก็ขอให้จ่ายเป็นค่ารักษาให้ในภายหลัง” ส่วนจะจ่ายมากเท่าไหร่นั้นเฟิ่งชิงเฉินไม่พูด ตระกูลเซี่ยให้เท่าไหร่นางก็รับไว้เท่านั้น
เซี่ยฮูหยินถูกเฟิ่งชิงเฉินพูดใส่ไปอย่างนั้น นางพูดไม่ออกไปชั่วขณะ มองแววตาซึ่งคาดเดาไม่ได้ของเฟิ่งชิงเฉิน นางไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินฉลาดเกินไปหรือเปล่า ไม่ยอมรับบุญคุณจากตระกูลเซี่ย หรือว่านางไม่พอใจตระกูลเซี่ยจริง ๆ
เซี่ยฮูหยินรู้ว่าตระกูลเซี่ยไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเฟิ่งชิงเฉินในเรื่องนี้ แต่เมื่อได้ร่วมมือกับเฟิ่งชิงเฉินอยู่หลายครั้ง จากกระบวนการร่วมมือกัน ทั้งสองฝ่ายก็มีความสุขดี
เฟิ่งชิงเฉินกวาดสายตามองมายังเซี่ยฮูหยิน ไม่ได้อธิบายอะไร นางไม่มีวันลืมเรื่องที่ตระกูลเซี่ยทำให้นางต้องขายหน้าในที่สาธารณะในวันที่นางยากลำบาก สำหรับตระกูลเซี่ยแล้วมันเป็นเพียงเรื่องเล็กที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ แต่สำหรับเฟิ่งชิงเฉิน มันคือบาดแผลอันยิ่งใหญ่
เฟิ่งชิงเฉินไม่มีเวลาพูดเรื่องไร้สาระกับเซี่ยฮูหยิน ปรับความเร็วของการถ่ายเลือด เฝ้ามองกระแสเลือดเข้าไปในร่างกายของสนมเอกเซี่ยด้วยความเร็ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด สนมเอกเซี่ยน่าจะไม่มีอันตรายแต่อย่างใด และเด็กก็ไม่ต้องออกมาก่อนกำหนด
ต้องรู้ก่อนว่าแม้เด็กในท้องของสนมเอกเซี่ยจะมีสภาพเกือบสมบูรณ์แล้ว แต่หากคลอดออกมาก่อนกำหนด ต่อให้มีชีวิตรอดต่อไปได้ เด็กก็จะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ไม่เพียงพอ
เฟิ่งชิงเฉินโชคดีเป็นอย่างมากที่หมอก่อนหน้านางนั้นเก่งและพยายามอย่างเต็มที่ ประกอบกับร่างกายอันแข็งแรงของสนมเอกเซี่ย แม้จะเสียเลือดจำนวนมาก แต่นางก็สามารถรักษาเด็กเอาไว้ได้
เฟิ่งชิงเฉินยุ่งอยู่ในตำหนักจาวเยี่ยนเพียงลำพัง จนลืมวันลืมเวลา เมื่อเฟิ่งชิงเฉินรักษาอาการของสนมเอกเซี่ยเป็นอันเรียบร้อย แน่ใจแล้วว่าไม่มีอันตรายกับสนมเอกเซี่ย ตอนนั้นถึงได้รู้ว่าท้องฟ้าสว่างแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินอดทนไม่ให้ตนเองหาวออกมา ตบแก้มของตนเอง ลากเก้าอี้ตัวเล็กมาหนึ่งตัว นั่งอยู่ด้านข้างสนมเอกเซี่ย เฝ้ารอให้นางฟื้นขึ้นมา
ห้องโถงเงียบสงบ ก่อนที่สาวใช้จากจวนเซี่ยกลับไปเมื่อวาน นางได้ทิ้งกุญแจตำหนักเอาไว้ จักรพรรดินั่งรออยู่ครึ่งชั่วโมง เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดว่าสนมเอกเซี่ยปลอดภัยดี ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เขาก็ไปทำกิจธุระของเขาต่อไป
มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมสนมเอกเซี่ย แต่คนที่เป็นห่วงนางจากใจจริงคงมีอยู่ไม่กี่คน จักรพรรดิจากไปแล้ว ฮองเฮาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งว่าเป็นผู้มีคุณธรรมอีกต่อไป กลับตำหนักของตนเองอย่างรวดเร็ว ส่วนนางสนมที่เหลือต่างก็หาข้อแก้ตัวเพื่อจากไป ทำให้ตำหนักจาวเยี่ยนกลับมาเงียบอีกครั้ง และนี่เป็นสิ่งซึ่งเฟิ่งชิงเฉินต้องการ
เฟิ่งชิงเฉินนำผลตรวจทางนรีเวชออกมา ตรวจสอบให้สนมเอกเซี่ย จากนั้นก็ทำความสะอาดโพรงมดลูกให้กับสนมเอกเซี่ย การเคลื่อนไหวนี้ทำเอาสาวรับใช้ในวังตกใจจนหน้าซีดขาว โชคดีที่สาวรับใช้เหล่านี้ได้รับการฝึกฝนอย่างใกล้ชิดจากสนมเอกเซี่ย เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องดังกล่าวจึงมีความกล้าหาญและเยือกเย็น ไม่ว่าพวกนางจะรู้สึกกลัวแค่ไหนก็สามารถควบคุมสติเอาไว้ได้ ทำตามคำขอของเฟิ่งชิงเฉิน หยิบหม้อเลือดมาให้กับนาง
เฟิ่งชิงเฉินไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติแต่อย่างใด นางใจจดใจจ่ออยู่กับเรื่องที่นางทำ หลังจากทำความสะอาดทุกส่วนเรียบร้อย เลือดของสนมเอกเซี่ยก็หยุดลง เฟิ่งชิงเฉินสั่งให้สาวใช้ทำความสะอาดอีกครั้งและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สนมเอกเซี่ย ส่วนเด็กในท้อง……
เฟิ่งชิงเฉินใช้กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อย เด็กไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ไม่เสียแรงที่นางให้ยาป้องกันและสร้างความแข็งแรงแก่ทารกกับสนมเอกเซี่ยเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านี้
เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หากไม่ได้รับยาปกป้องเด็กในครรภ์ ก็คงยากที่จะปกป้องเด็กในท้องของสนมเอกเซี่ย ไม่แน่เด็กอาจจะเสียชีวิตลงไปตั้งแต่แรก เฟิ่งชิงเฉินเอียงศีรษะและครุ่นคิด นางควรใช้โอกาสนี้ในการเสนอยาของนางออกมาขายดีหรือไม่?
ตอนแรกนางต้องการขายยาต้านการแท้งบุตรกับซูเหวินชิงอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีซูเหวินชิงนำมันไปขายแต่เพียงผู้เดียว ประกอบกับการผลิตยาจำนวนมากนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เรื่องนี้จึงถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด
ตอนนี้นางร่วมมือกับตระกูลหยุน นางสามารถค้าขายขาป้องกันการแท้งบุตรร่วมกับตระกูลหยุนได้ นางจัดหาสูตรและวิธีการปรุง ตระกูลหยุนรับผิดชอบในเรื่องของการปรุงและการขาย ผลประโยชน์แบ่งกันสามส่วนเจ็ดส่วน เรื่องนี้ถือเป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย ไม่แน่ตระกูลหยุนอาจจะหลุดพ้นจากปัญหาโดยยาตัวนี้ก็เป็นได้
อย่าดูถูกผลกำไรของยาป้องกันการแท้งบุตรเป็นอันขาด ไม่ว่าจะชายหรือหญิง ย่อมยอมจ่ายเงินเพื่อรักษาลูกของพวกเขาไว้ กำไรของยาป้องกันการแท้งบุตรจะต้องได้ไม่น้อยกว่าเท่าตัว
เมื่อตัดสินใจแล้ว และวางแผนที่จะใช้โอกาสช่วยเหลือสนมเอกเซี่ยเป็นกรณีตัวอย่าง ดังนั้นตอนที่สนมเอกเซี่ยฟื้นขึ้นมา ประโยคแรกของเฟิ่งชิงเฉินก็คือ “เหนียงเหนียง ท่านกับบุตรแห่งมังกรในห้องของท่านปลอดภัยแล้ว โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านได้ทานยาป้องกันการแท้งบุตรไป ไม่อย่างนั้นต่อให้ชิงเฉินบินมาก็มิอาจมาทันช่วยชีวิตท่านและเสี่ยวซื่อจื่อ”