นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 848 หมอ เรื่องวุ่นวายของตระกูลหวัง
ไข้ลดลงแล้ว!
ซีหลิงเทียนอวี่อาการดีขึ้นมาก เฟิ่งชิงเฉินพึงพอใจกับอาการของคนไข้ของตนพร้อมพยักหน้า และนี่มันทำให้นางมั่นใจผลของการรักษาในครั้งนี้
ความกังวลบนใบหน้าของซีหลิงเทียนเหล่ยก็หายไปแล้ว ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้ได้เลยว่าเขาหายจากอาการที่เป็นอยู่แล้ว นางจึงไม่ต้องกังวลแล้วว่าคำพูดของนางจะไปกระทบจิตใจของซีหลิงเทียนอวี่ เพราะเขาคนนี้มีจิตใจที่เข้มแข็งมาก
“องค์ชายอวี่ ร่างกายของท่านฟื้นตัวเร็วมาก ถ้าหากมิมีอาการบาดเจ็บที่เท้า ก็คงกลับได้แล้ว” ก่อนจะพูดอะไรไม่ดีหรือจะออกรบนั้น ก็ต้องเอื้อนเอ่ยด้วยคำชมก่อน นี่เป็นศาสตร์หนึ่งของวิชาแพทย์
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินพูดดังนั้น ซีหลิงเทียนอวี่ก็ใจชื้นขึ้น แต่ก็มิคาดเคยว่า สีหน้าของเฟิ่งชิงเฉินจะเปลี่ยนไป ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาว่า “องค์ชายอวี่ ร่างกายของท่านดีขึ้นมากแล้ว ดังนั้นตอนนี้เราจะมาพูดเรื่องเท้าของท่านที่มีอาการบาดเจ็บกัน
ข้ามิรู้หรอกว่าแผลนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และมิได้อยากจะทราบเลย เพราะมันคือเรื่องของท่าน แต่ที่ข้าถามขึ้นมามิใช่ว่าข้าอยากรู้อยากเห็น แต่ด้วยความที่เป็นหมอ ข้าแค่อยากจะบอกท่านว่า อย่าได้หลอกลวงตัวเองอีกเลย ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปเถอะ”
ขาของท่านทั้งสองข้างถูกตัดไปแล้ว ตอนนี้ที่ท่านเห็นเป็นเพียงขาเทียม หากว่ามันมีผลลัพธ์ที่ดี มันก็จะผสานไปได้ดีกับตัวของท่าน
ตอนที่ประกอบขาเทียมนี้นั้น ข้าบอกกับท่านไปแล้วว่ามันมิใช่กระดูกของท่านที่งอกขึ้นมา แต่เป็นการประกอบเพื่อเป็นส่วนหนึ่งกับร่างกายของท่าน และมันคงจะมิเหมือนเดิมกับเท้าของท่าน ท่านจำเป็นจะต้องดูแลมันอย่างดี
ท่านต้องจำที่ข้าบอกให้ดี ท่านต้องห้ามยืนหรือเดินเป็นเวลานาน ห้ามวิ่ง ห้ามกระโดด ห้ามมิให้ถูกอะไรมากดทับเด็ดขาด และท่านต้องตอบข้ามาว่า ท่านทำได้หรือไม่?”
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินพูดจบ ซีหลิงเทียนอวี่ก็หน้าถอดสีทันที คำพูดของเฟิ่งชิงเฉินแทบทำให้เขาใจสลาย แต่พอเขาได้ลองใช้ขาทั้งสองข้างเดินดู ก็ลืมเป็นปลิดทิ้งกับคำว่าพิการ
ตอนแรกเขาก็เดิน และลองวิ่งด้วยความระวัง แต่เมื่อมิเป็นไร เขาก็ลืมสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินเตือน
เขาพยายามที่จะเอาชนะ และคิดว่าตนเองปกติ ภายใต้แรงกดดันของเขา แต่เขาก็ยังคงเจ็บขาทั้งสองข้างอยู่ดี เฟิ่งชิงเฉินบอกเขาว่าการใส่ขาเทียมนี้ก็จะทำให้เขาเดินได้ปกติ แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนพิการขาทั้งสองข้างอยู่ดี
“ข้า……”รอยยิ้มของซีหลิงเทียนอวี่จางหายไป สายตามีแต่ความเศร้า
แม้ว่าเขาจะเดินได้ แต่ขาทั้งสองข้างของเขามิปกติเหมือนเดิม
“เห้อ……”เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ยิ้มและกล่าวว่า “องค์ชายอวี่ แม้ความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด แต่สุดท้ายท่านก็ต้องยอมรับความเป็นจริง ท่านต้องดูแลขาของท่านให้ดี ถ้าขาดการดูแลอย่างดี มิถึงสิบปีขาเทียมคู่นี้ก็จะมีปัญหา เมื่อถึงเวลานั้นต้องการขาเทียมก็คงหาแทนได้ยาก ถึงตอนนั้นอย่าหวังที่จะได้เดินเลย แม้แต่ยืนยังยากที่จะทำ”
เมื่อนางพูดจบ ก็เดินหันหลังออกทันที
การพูดกับซีหลิงเทียนอวี่ เฟิ่งชิงเฉินจะพูดออกมาตรงๆมิได้ ซีหลิงเทียนอวี่เป็นคนฉลาด ต้องทำให้เขาเห็นภาพจริงๆ เขาถึงจะรู้ว่าจะต้องจัดการกับมันอย่างไร
เฟิ่งชิงเฉินรีบกลับมาที่ห้อง พร้อมหยิบขวดยาน้ำที่ใกล้จะหมดออกมา พร้อมกับเปลี่ยนขวดใหม่สองขวดให้กับหวังจิ่นหลิง
หวังจิ่นหลิงดูเงียบสงบ เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เตรียมไปจัดการกับเรื่องอื่นๆ
ตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดไว้ เจ้าหนุ่มที่มาส่งหวังจิ่นหลิงมาที่นี่ แอบออกไปข้างนอกกลางดึก ดีที่ผู้ดูแลของจวนเฟิ่งมีการเตรียมการณ์ที่ดีจึงคุมตัวเขาไว้ได้
เช้าวันรุ่งขึ้น เฟิ่งชิงเฉินมองออกมาจากห้องด้วยสายตาโกรธเคือง สายตาคู่นั้นน่ากลัวมาก จนทำให้จำหนุ่มคนนั้นกลัวเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินมิใช่คนที่โกรธง่าย แม้ว่าง่วงขนาดไหน ก็บังคับตัวเองอยู่ ให้ผู้ดูแลจวนนำจดหมายไปหาหยุนเซียวที่จวนตระกูลหยุนเพื่อยืมตัวหมอมาสองคน
หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว วิชาแพทย์แผนตะวันตกของนางคงจะมิได้การแล้ว แม้จะรู้ว่าหวังจิ่นหลิงต้องการให้เรื่องเงียบ และมิอยากให้ตระกูลหวังรู้ แต่นางก็มิมีทางเลือก เพราะคงจะปล่อยให้หวังจิ่นหลิงนอนหลับและจากไปแบบนี้มิได้
ก่อนที่หมอของตระกูลหยุนจะมา เฟิ่งชิงเฉินก็เก็บทำความสะอาด แต่ด้วยความเหนื่อยจึงค่อยๆ หลับไป แต่เพียงครึ่งชั่วโมงก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา
ระหว่างเก็บข้าวของต่อ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนแจ้งว่า หยุนเซียวและหมอจากตระกูลหยุนมาถึงแล้ว
“ชิงเฉินเกิดอะไรขึ้นหรือ? เหตุใดจึงต้องยืมตัวหมอด้วย” หยุนเซียวถาม เนื่องจากเฟิ่งชิงเฉินมิมีทางที่จะขาดแคลนหมอได้
เมื่อรู้ว่าจวนเฟิ่งต้องการยืมหมอ หยุนเซียวก็ตกใจมาก เกรงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งชิงเฉิน เขากับเฟิ่งชิงเฉินเป็นสหายกัน จนถึงตอนนี้เขายังคงกระวนกระวายมิหาย
“ข้ามิเป็นไรหรอก ข้าแค่พบโรคที่ยากต่อการวินิจฉัย” ท่ามกลางคนเยอะแยะมากมาย เฟิ่งชิงเฉินจึงมิกล้าพูดเรื่องของหวังจิ่นหลิง
“มีโรคที่เจ้าจัดการมิได้ด้วยหรือ” หยุนเซียวสงสัยและกังวล หากเฟิ่งชิงเฉินมิรู้ หมอของเขาจะรู้ได้เยี่ยงไร
ตระกูลหยุนก็มิได้เก่งกาจ แม้พวกเขาจะมีหมออยู่ในมือ แต่ก็อยู่ในระดับความสามารถที่พอประมาณ
“ข้าพอมีวิชาความรู้เพียงเผินๆเท่านั้น” หมอวัยห้าสิบกว่าๆท่านหนึ่งกล่าว เฟิ่งชิงเฉินมองทั้งสองด้วยความเคารพ
ทั้งสองมีทั้งวัยวุฒิและมีประสบการณ์มากกว่า และเป็นอาจารย์ของเธอได้ ความเคารพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
หมอทั้งสองมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาอิ่มเอมใจ พร้อมเดินตามเฟิ่งชิงเฉินไปยังข้างใน
เฟิ่งชิงเฉินเก็บและเตรียมห้องผ่าตัดอย่างมิขาดตกบกพร่อง ห้องนี้ถูกจัดและออกแบบจนทำให้หมอทั้งสองถึงกับอ้าปากค้าง
ช่างเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง ทั้งนึกถึงคนไข้เป็นสำคัญ อากาศที่ถ่ายเท อุณหภูมิที่เหมาะสม มันเหมาะสมอย่างยิ่งกับคนไข้ ไม่ว่าฝีมือทางการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินจะเป็นอย่างไร แต่จากการที่นึกถึงคนไข้แบบนี้ ก็ถือว่านางเป็นหมอที่มีจิตใจงดงามผู้หนึ่งเลย
หมอทั้งสองพึงพอใจมาก มองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาที่พึงพอใจ เรื่องการเอาหมอมาที่นี่ มีเพียงคนในตระกูลหยุนเท่านั้นที่รับรู้
หมอทั้งสอง เป็นหมอที่ชอบในการวินิจฉัยโรค ทำหน้าที่แค่รักษาคนป่วยของตระกูลหยุน มิได้พบปะผู้คนมากมาย ดังนั้นหมอจึงมิมีทางทราบว่าคนป่วยที่นอนอยู่เป็นองค์ชายจากตระกูลหวัง
หมอทั้งสองมิรู้ แต่หยุนเซียวรู้ ว่าคนไข้ผู้นั้นคือหวังจิ่นหลิง สีหน้าของหยุนเซียวเปลี่ยนไป สุดท้ายเขาลากเฟิ่งชิงเฉินออกมากับเขา