นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 854 เจ้าคนไร้น้ำใจ
หยุนเซียวไม่รู้ว่าเสด็จอาเก้าโมโห เมื่อเสด็จอาเก้าเอ่ยถาม จึงชี้ไปที่ขวดแก้วบนโต๊ะ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “นี่อย่างไร ชิงเฉินเคยให้สนมเซี่ยดื่ม”
“งั้นหรือ” เสด็จอาเก้านำมันหยิบมาไว้ในมือแล้วเยาะเย้ยว่า “ไม่เลวนี่”
“ไม่เลวจริงๆ เมื่อเร็ว ๆ นี้มีหลายคนได้สืบถามเรื่องยายาป้องกันการแท้งบุตร แม้เป็นชาวบ้านทั่วไปก็สามารถหาซื้อได้ มันมีผลดีต่อผู้ที่กำลังตั้งครรภ์เป็นอย่างยิ่ง” เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาเก้า หยุนเซียวไม่อาจกล่าวเรื่องเงินทองได้
เพราะเรื่องเงินทองนั้นเป็นสิ่งของนอกกาย พวกเขาทำไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน
เสด็จอาเก้าเลิกคิ้ว เขาตอบรับเบาๆ โดยไม่ได้พูดอะไร หยุนเซียวก็รู้หน้าที่ของตนดี เขานั่งลงอย่างเชื่อฟังและไม่ได้พูดอะไรอีก……
เฟิ่งชิงเฉินถือถุงยาขนาดใหญ่มากมายเพื่อนำมามอบให้กับมารดาของหยุนเซียว ตอนนี้หยุนเซียวอายุปาเข้าไป26ปีแล้ว บัดนี้เมื่อมารดาของเขาตั้งครรภ์อีกครั้ง คาดว่านางคงอายุอย่างน้อย 40 ปีแล้ว สตรีตั้งครรภ์ที่มีอายุมากจะเป็นอันตรายต่อร่างกาย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสมัยโบราณที่มีการรักษาพยาบาลอันด้อยพัฒนา
ยาป้องกันการแท้งบุตรนี้มีการเสริมธาตุต่างๆ แม้จะไม่มีผลเกินจริง แต่ควรดื่มดีกว่าไม่ดื่ม เพราะส่งผลดีต่อมารดาและลูก
เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามา นางเห็นเสด็จอาเก้าแวบแรกก็พบว่าเสด็จอาเก้าดูไม่ค่อยมีความสุขนัก เฟิ่งชิงเฉินไม่กล้าพูดอะไรมาก นางรีบต่อรองราคากับหยุนเซียว เพื่อที่จะไล่หยุนเซียวออกไป
เรื่องราคานั้นไม่มีปัญหา มียา 30 หลอดในกล่อง กล่องเงินราคาหนึ่งร้อยตำลึง ซึ่งเพียงพอสำหรัยหนึ่งเดือน ส่วนแบบถุงมีสองถุงในหนึ่งกล่อง จำนวนเท่ากับหนึ่งเดือนเช่นกัน การที่เฟิ่งชิงเฉินจำหน่ายในราคาต่ำเพียงไม่กี่ร้อยอีแปะนั่นเพราะทำให้คนทั่วไปสามารถซื้อใช้ได้ แต่สิ่งที่หยุนเซียวเอ่ยก็สมเหตุสมผลเช่นกัน หากราคาต่ำเกินไปผู้คนจะไม่กล้าซื้อ พวกเขาจะ รู้สึกว่ายาไม่ได้ผล
นี่คือจิตวิทยาของผู้บริโภค เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาคิดว่าของแพงนั้นดีกว่าเสมอ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกราคาที่นางและหยุนเซียวสามารถรับได้ นั้นคือหนึ่งตำลึงต่อกล่อง ผู้คนที่ยากจนมากคงไม่อาจซื้อได้อย่างแน่นอน แต่คนธรรมดายังพอจะซื้อหาได้
สำหรับราคากล่องละหนึ่งร้อยตำลึง คาดว่าเก้าสิบเก้าตำลึงนั้นคือราคาของขวดแก้ว ในอนาคตจะมีกระแสความนิยมในตลาด มีคนไม่น้อยที่จะมาซื้อเพราะขวดแก้ว พวกเขาจะซื้อยานี้ไปให้คนอื่นดื่ม แต่เก็บขวดแก้วเอาไว้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ค่อยว่ากัน
หลังจากกำหนดราคาแล้วเฟิ่งชิงเฉินก็นำเสนอขึ้นอีกประการ นั่นคือหญิงตั้งครรภ์จากครอบครัวที่ยากจนสามารถไปที่ร้านขายยาตระกูลหยุนเพื่อขอรับส่วนแบ่งโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หากพิจารณาแล้วจำเป็นต้องใช้ยา ร้านขายยาจะจัดยาให้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งเฟิ่งชิงเฉินจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
บุคคลที่รับผิดชอบในการพิจารณาแจกจ่ายยาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายนี้ จะได้รับมอบหมายร่วมกันจากตระกูลหยุนและเฟิ่งชิงเฉิน ซึ่งจะต้องทำการบันทึกประวัติโดยละเอียดเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบในอนาคต
หยุนเซียวไม่ได้คัดค้านใดๆ อย่างไรก็ตาม เขาสามารถได้รับชื่อเสียงจากเรื่องนี้ และไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของเขา แต่เรื่องนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่ต้องทำ รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ หยุนเซียวกล่าวว่าเขาจะกลับไปหารือในรายละเอียดอีกที
เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการแจกจ่ายยานี้ เพราะนางเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องข้ามสังคมมาบ้างแล้ว
หลังจากการเจรจาที่รัดกุมอย่างชัดเจนนี้จบลง หยุนเซียวก็แทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปตระกูลหยุนและแจ้งข่าวดีให้ทุกคนในตระกูลหยุนทราบ เฟิ่งชิงเฉินเอ่ยถามเสด็จอาเก้าด้วยสายตาว่าหยุนเซียวออกไปได้หรือยัง?
เสด็จอาเก้าพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไร แต่หยุนเซียวก็รู้ดีว่าควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ตอนนี้ตระกูลหยุนยังคงต้องพึ่งพาเฟิ่งชิงเฉิน ตระกูลหยุนจะไม่ทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่นหรือเป็นประโยชน์ต่อตนเองแน่
เมื่อหยุนเซียวจากไป คนรับใช้ก็ขยิบตามองกัน ปล่อยเสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินไว้ตามลำพัง
“เจ้าอารมณ์ไม่ดีหรือ?” เฟิ่งชิงเฉินรินชาใส่ถ้วยแล้วส่งให้เสด็จอาเก้า
“เหอะ” เสด็จอาเก้าหยิบชาขึ้นมาจิบ ในที่สุดก็สงบลงเล็กน้อย
เฟิ่งชิงเฉินเลิกคิ้ว “ใครทำให้เข้าหงุดหงิดใจ? ซีหลิงเทียนอวี่หรือข้า? ดูเหมือนข้าจะไม่ได้ทำอะไรเลยนี่”
เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่าเสด็จอาเก้าจะใจแคบเรื่องนางและหวังจิ่นหลิง
“เจ้าสนิทกับตระกูลหยุนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เสด็จอาเก้ารู้ว่าด้วยความฉลาดของเฟิ่งชิงเฉิน หากเขาไม่บอก เฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่มีวันเข้าใจ
คาดว่าเฟิ่งชิงเฉินคงจะลืมเรื่องที่ตระกูลหยุนไปสู่ขอนางแล้ว
“ก่อนเข้าวัง หยุนเซียวมาหาข้าและขอให้ข้าไปเป็นหมอประจำตระกูลหยุน และข้าก็ตกลง” เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติกับเรื่องนี้ นางไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของเสด็จอาเก้า นางมีสิทธิ์ที่จะมีเพื่อน ไม่จำเป็นต้องรายงานทุกอย่างกับเสด็จอาเก้า
“หมอประจำตระกูลหยุน? ตระกูลหยุนไม่ได้ดีอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป ตระกูลหยุนหลอกเจ้าและต้องการกำไรจากเจ้า” แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอย่างแข็งกร้าวว่าเขาต้องการให้เฟิ่งชิงเฉินยุติความสัมพันธ์ของนางกับตระกูลหยุนนี้
“หากตระกูลหยุนไม่มีผลตอบแทนใดจะได้รับ พวกเขาก็คงจะไม่ทำ เรื่องแบบนี้เป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ใครจะทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์กัน? ตระกูลหยุนต้องการผลกำไรจากข้า ทำไมข้าไม่ใช้ชื่อของตระกูลหยุนมาสร้างกำไรเล่า” ยานั้นไม่จำเป็นต้องแยกจำหน่าย สามารถจำหน่ายที่ร้านใดก็ได้ จึงจะก้าวไปได้ไกล
“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจ้าได้รับจากตระกูลหยุน ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ แทนที่จะร่วมมือกับตระกูลหยุน จะเป็นการดีกว่าที่จะร่วมมือกับ ซูเหวินชิง ร้านยาของตระกูลซูก็ไม่เลว” ถึงอย่างไรเสด็จอาเก้าก็ไม่พอใจที่ชิงเฉินไม่ได้คิดถึงเขาในเวลาที่นางต้องการ และไม่ได้คิดถึงเขาในยามมีเรื่องดีๆ
เฟิ่งชิงเฉินเคยคิดที่จะร่วมมือกับซูเหวินชิง แต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เฟิ่งชิงเฉินยังรู้สึกว่าตระกูลหยุนดีกว่า “ตระกูลหยุน ผลิตวัตถุดิบทางการแพทย์ การค้าของซูเหวินชิงซับซ้อนเกินไป ข้าไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากได้กำไร ข้าไม่คิดว่าตระกูลหยุนจะมีอะไรผิดปกติไป ตระกูลหยุนเหมาะสมที่สุดสำหรับข้า นอกจากนี้ หากตระกูลหยุนไม่ล่มสลายเช่นตอนนี้ ตระกูลหยุนก็คงไม่เห็นความสำคัญของข้าหรอก”
“เช่นนั้นเจ้าจึงลงนามความร่วมมือกับตระกูลหยุนอย่างลับๆ หากข้าไม่ได้พบเจ้าในวันนี้ เจ้าคงไม่คิดจะบอกข้างั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าอึดอัดใจยิ่งนัก เรื่งราวของเฟิ่งชิงเฉินกลับเป็นเขาที่รู้คนสุดท้าย
เป็นความจริงที่นางไม่ได้ตั้งใจจะบอกเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าอย่างแน่วแน่และพูดด้วยความจริงจังว่า “เสด็จอาเก้า ไม่ว่าข้าจะทำอะไรต้องบอกเจ้าก่อนและจะทำได้ก็ต่อเมื่อเจ้ายินยอมงั้นหรือ?”
“เช่นนี้จะดีที่สุด” เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินประชด เสด็จอาเก้าก็ยังเห็นด้วย เขาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพึ่งพาเขามากขึ้นและเข้าใกล้เขามากขึ้น
เหอะๆ… เฟิ่งชิงเฉินเยาะเย้ย “เสด็จอาเก้า เจ้าใช้สิทธิใดในการสั่งข้า? ข้าต้องขอจากเจ้าทุกอย่าง แล้วเจ้าเล่า?”
นางรู้ว่านางไม่ควรเรียกร้องการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันเช่นนี้ แต่นางก็โกรธมาก นางไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับชีวิตและเรื่องส่วนตัวของเสด็จอาเก้า แต่เสด็จอาเก้าต้องการแทรกแซงมาในชีวิตของนาง ทำให้นางดูราวกับว่าหากปราศจากเขาไปแล้ว นางไม่อาจทำสิ่งใดด้วยตนเองได้เลยอย่างไรอย่างนั้น มันเกินไปจริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่ชายาหรือนางสนมของตงหลิงจิ่ว ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นเพียงความสัมพันธ์ของคู่รักที่ไม่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายและไม่ได้รับการอวยพรจากผู้ใดเลย ความสัมพันธ์ดังกล่าวช่างอ่อนแอบอบบาง เสด็จอาเก้าไม่มีสิทธิ์ที่จะขอให้นางทำเช่นนี้
“มันไม่เหมือนกัน” เขาชื่นชมที่เฟิ่งชิงเฉินมีความแข็งแกร่ง แต่ความคิดที่หยั่งรากลึกของชายคนนี้ทำให้เขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินควรผูกพันกับเขาและควรพูดคุยทุกอย่างกับเขา อย่างน้อยให้เขารู้ว่านางกำลังทำอะไร และเรื่องที่นางกำลังทำนั้นเชื่อมโยงกับใครบ้าง
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้โต้เถียงและไม่ได้พูดถึงความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงกับเสด็จอาเก้า ความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง ไม่ว่าตหอนนี้หรือในอนาคต เฟิ่งชิงเฉินพูดอย่างจริงจังว่า “เสด็จอาเก้า ข้างต้นที่เจ้ากล่าวมาข้าไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้ ข้าไม่ใช่แค่เฟิ่งชิงเฉิน ข้ายังเป็นนายแห่งจวนเฟิ่ง และข้าแบกจวนเฟิ่ง ทั้งหมดไว้บนบ่า
ในฐานะหัวหน้าครอบครัว ข้าต้องใช้วิจารณญาณของตัวเอง มีวิสัยทัศน์และจุดยืนของตัวเอง ข้าไม่สามารถทำตามการเตรียมการของเจ้าในทุกสิ่งได้ แม้ว่าเจ้าจะทำเพื่อประโยชน์ของข้าเองก็ตาม
ในฐานะนายของจวนเฟิ่ง ข้าต้องเติบโต แม้ว่าข้าจะเสียเลือดก็ไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่หัวหน้าครอบครัวต้องแบกรับ”
เฟิ่งชิงเฉินเห็นว่าเสด็จอาเก้านิ่งเงียบ รู้ว่าเขายังคงยืนกรานดังดิม จึงได้กัดฟันพูดว่า “เสด็จอาเก้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ในเมื่อข้ายังคงเป็นนายของจวนเฟิ่ง คนเดียวที่สามารถตัดสินใจได้คือตัวข้าเอง ข้ามีสิทธิ์ตัดสินใจว่าอยากใช้ชีวิตแบบไหน และมีสิทธิ์จัดการกับสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง”
การเชื่อฟังคำสอนของบิดา เชื่อฟังสามีเมื่อแต่งงาน เชื่อฟังลูกชายหลังจากสามีเสียชีวิตอะไรเหล่านี้ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีพ่อ ไม่มีสามี ไม่มีลูกชาย ไม่ว่าจริยธรรมจะว่าอย่างไรสำหรับนางก็ไร้ประโยชน์ เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยอยู่ภายใต้ข้อบังคับเหล่านี้
นอกจากนี้นางจะยังเป็นเฟิ่งชิงเฉินอยู่หรือเปล่าหากนางเปลี่ยนไป นางรักเสด็จอาเก้า แต่นางไม่ได้ถ่อมตัวจนละทิ้งธรรมชาติของตนเพื่อเสด็จอาเก้า และเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่เสด็จอาเก้าต้องการ
เสด็จอาเก้ารับรู้ว่าสิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวนั้นสมเหตุสมผล แต่……
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า ข้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง”
เรื่องนี้นางไม่เคยสงสัยเขาเลย แต่ “เสด็จอาเก้า สิ่งที่เจ้าคิดว่าดีไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการ นี่คือชีวิตของข้า ชีวิตของข้าเอง”
เมื่อเห็นใบหน้าของเสด็จอาเก้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เฟิ่งชิงเฉินจึงถอนหายใจและพูดเบา ๆ “เสด็จอาเก้า หากข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับทุกสิ่งและรายงานทุกอย่างให้เจ้ารู้ เจ้าบอกข้ามาว่าต้องทำอย่างไรแล้วข้าทำมัน เช่นนั้นข้าคงไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉิน แต่เป็นตุ๊กตาเชือกในมือของเจ้า เฟิ่งชิงเฉินเช่นนั้นเป็นอย่างที่เจ้าต้องการหรือไม่?”
นางเองก็หวังว่าเสด็จอาเก้าจะอ่อนโยนขึ้นและมีน้ำใจมากขึ้น หวังว่าเขาจะสามารถอยู่กับนางได้ตลอดเวลา พูดคุยกับนางอย่างอ่อนหวานทุกวัน และทำให้นางตื่นเต้นบ้าง ยามนางเอาแต่ใจ เขาก็เอาใจนาง แต่หากเสด็จอาเก้ากลายเป็นแบบนี้ จะยังคงเป็นเสด็จอาเก้าที่นางชอบหรือ?
ไม่อย่างแน่นอน……แม้ว่านางต้องการ นางก็ไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนเสด็จอาเก้า ไม่เคยคิดให้เสด็จอาเก้าเปลี่ยนนิสัยดั้งเดิมของเขาเพื่อนาง
ในทำนองเดียวกัน เจ้าเสด็จอาเก้าไม่สามารถบังคับนางเช่นนี้ได้ อย่าทำกับผู้อื่นในสิ่งที่เจ้าไม่ต้องการ
เฟิ่งชิงเฉินมองไปที่เสด็จอาเก้าและรอคำตอบของเขา เสด็จอาเก้าพูดอะไรไม่ออก เพียงแค่มองไปทางเฟิ่งชิงเฉิน
สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกล่าวมานั้นถูกต้อง หากเฟิ่งชิงเฉินไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับทุกสิ่งและพึ่งพาเขาในทุกสิ่ง แล้วอะไรคือความแตกต่างระหว่างนางกับฉินเป่าเอ๋อร์ เขาจะยังคงชอบเฟิ่งชิงเฉินเช่นนั้นหรือไม่?
เสด็จอาเก้าพบว่าตนคิดผิดไป เขาหวังว่าเฟิ่งชิงเฉินจะใส่ใจเขามากขึ้น พึ่งพาเขามากขึ้น และไม่สามารถทำได้หากไม่มีเขา แต่เขาลืมเขาไปแล้วว่าเขาชอบเฟิ่งชิงเฉินที่แข็งแกร่งอย่างนี้เสมอมา
เขาต้องคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ แต่เฟิ่งชิงเฉินเจ้าคนใจร้ายตัวน้อยนี้ไม่ยอมรับน้ำใจจากเขาเลย เป็นการยากที่จะโน้มน้าวใจ……
เสด็จอาเก้าหลับตาและใช้นิ้วเคาะที่เท้าแขน ใครก็ตามที่รู้จักเขาดีรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เฟิ่งชิงเฉินยังคงเงียบและนั่งลงด้านข้างกับเสด็จอาเก้า
นางเชื่อว่าเสด็จอาเก้าจะเข้าใจ……