นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 871 ให้เหตุผลเสด็จอาเก้าในการลงมือ
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้เดินไปยังกระท่อมไม้โดยตรง นางกลับมายังที่พักของตนเอง ถอดเสื้อผ้าสกปรกบนร่างกายออก จากนั้นเตรียมการบางอย่างเพื่อจะมอบของขวัญสุดพิเศษให้กับตงหลิงจื่อลั่ว
นางได้รับการสูญเสียถึงเพียงนี้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะนิ่งเฉยโดยไม่ตอบโต้
สวมชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่ แววตาของเฟิ่งชิงเฉินฉายแววแห่งความเย้ยหยัน “ชุนฮุ่ย ชิวฮว่า เข้ามา”
“ข้าน้อยอยู่ตรงนี้”
“ไปนำชุดของพระชายาอ๋องเก้าออกมา” สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งล้ำค่า เป็นสิ่งของที่บ่งบอกถึงตัวตน ต่อให้เป็นองครักษ์เสื้อโลหิต เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ก็ไม่กล้าเข้ามาแตะต้อง
ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าน้อมรับคำสั่ง คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินต้องการสวมชุดดังกล่าวออกไป พวกนางจึงรีบไปนำเสื้อผ้ามาทันใด แต่เมื่อนำเสื้อผ้ามาแล้ว เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ได้สวมมัน เฟิ่งชิงเฉินให้พวกนางไปหามีดที่เป็นอาวุธขององครักษ์เสื้อโลหิต กำชับอย่างดีว่าให้เช็ดคราบเลือดบนมีดให้สะอาด
ชุนฮุ่ยและชิวฮว่ารู้สึกไม่สบายใจ แต่พวกนางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉิน ไปหาอาวุธขององครักษ์เสื้อโลหิตและทำความสะอาดมันแต่โดยดี
“คุณหนู มีดที่ท่านอยากได้” ชุนฮุ่ยนำมีดมามอบให้ด้านหน้าของเฟิ่งชิงเฉิน มองไปที่เฟิ่งชิงเฉินด้วยสีหน้าแห่งความไม่สบายใจ เกรงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะทำเรื่องที่ไม่สมควรทำ
นางกำลังสิ่งที่ไม่ควรทำ เฟิ่งชิงเฉินรับมีดเล่มนั้นมา โยนชุดของพระชายาอ๋องเก้าลงกับพื้น
หากไม่ใช่ว่าปิ่นเฟิ่งล้ำค่าเกินไป และเป็นสิ่งสำคัญกับเสด็จแม่ของเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินคงทำลายปิ่นเฟิ่งเพื่อโยนความผิดทั้งหมดให้กับตงหลิงจื่อลั่ว และคงไม่นำชุดของพระชายาอ๋องเก้ามาทำลายเช่นนี้
“คุณหนู อย่า อย่าทำเช่นนั้น หากท่านอ๋องรู้ ท่านจะต้องเสียใจมาก” ดวงตาของชุนฮุ่ยและชิวฮว่าเบิกกว้าง จับจ้องไปยังเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่กะพริบตา ภายใต้ความโกรธของเฟิ่งชิงเฉิน พวกนางไม่กล้าเข้าไปห้าม ทำได้เพียงคุกเข่าและพูดออกไปเท่านั้น
“หุบปาก” เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองทั้งสองคนด้วยสายตาอันเยือกเย็น “สิ่งที่ข้าต้องการทำ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ถามหรือสงสัย ข้าเป็นเจ้านายของพวกเจ้า หากในใจของพวกเจ้ามีเพียงเสด็จอาเก้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็กลับไปอยู่จวนอ๋องเก้า”
“พวกข้าผิดไปแล้ว มิกล้า มิกล้า พวกข้ามิกล้าทำเช่นนั้น” ทันทีที่ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าได้ยินเช่นนั้น พวกนางตกใจจนใบหน้าซีดขาว ก้มศีรษะลงกับพื้นเพื่อขอความเมตตา
“พอได้แล้ว เลือกทำร้ายตัวเองต่อหน้าข้าเสียที คนที่มิรู้อาจคิดว่าเข้าเป็นคนทำร้ายพวกเจ้า” เฟิ่งชิงเฉินทำให้ทั้งสองคนตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นนางจึงผ่อนคลาย
ไม่คำนึงถึงความตกใจและความงุนงงของชุนฮุ่ยและชิวฮว่า เฟิ่งชิงเฉินยกมีดขึ้น ขีดข่วนชุดของพระชายาอ๋องเก้าที่อยู่บนพื้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ นางถึงหยุดมือด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็โยนมีดดังกล่าวลงไปบนพื้น
“เก็บเสื้อผ้าชุดนี้ไป พรุ่งนี้เช้าส่งมันไปยังจวนอ๋องเก้า ส่วนจะพูดอย่างไรกับคนของจวนอ๋องเก้า คาดว่าพวกเจ้าน่าจะเข้าใจ?” นางไม่สนใจว่าเสด็จอาเก้าจะมีแผนหรือต้องการทำอะไร แต่เวลานี้นางต้องการบังคับให้เสด็จอาเก้าลงมือกับตงหลิงจื่อลั่ว
ราชวงศ์รักในเกียรติและศักดิ์ศรีมากไม่ใช่หรือ เวลานี้นางได้มอบโอกาสอันดีให้กับเสด็จอาเก้า โอกาสที่จะสร้างความลำบากให้กับตงหลิงจื่อลั่วอย่างชอบธรรม
ชุดของพระชายาอ๋องเก้าถูกองครักษ์เสื้อโลหิตทำลาย ตงหลิงจื่อลั่วและองครักษ์เสื้อโลหิตไม่ชดใช้อะไรให้กับเสด็จอาเก้า ถึงเวลานั้นต่อให้เป็นจักรพรรดิก็ไม่สามารถเอ่ยปากได้
“ข้าน้อย ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าตกใจจนใบหน้าเปลี่ยนสี แต่พวกนางก็ไม่กล้าตอบโต้เฟิ่งชิงเฉิน
“ดีมาก หากเรื่องในวันนี้ถูกเผยแพร่ออกไป พวกเจ้าก็อย่าได้กลับมาที่จวนเฟิ่งอีก” นี่เป็นคำเตือนที่เฟิ่งชิงเฉินมอบให้ชุนฮุ่ยและชิวฮว่า แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะเป็นคนถามด้วยตัวเอง เสื้อผ้าชุดนี้ผู้ที่ทำลายมันก็คือองครักษ์เสื้อโลหิต
องครักษ์เสื้อโลหิตทั้งหมดถูกองครักษ์ขององค์รัชทายาทจัดการไปจนสิ้นซาก ต่อให้ตงหลิงจื่อลั่วต้องการหาพยานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ก็เกรงว่าคงเป็นไปไม่ได้ เรื่องทำลายชุดของพระชายาอ๋องเก้า มีเพียงพวกนางสามคนเท่านั้นที่รับรู้ ขอแค่พวกนางทั้งสามไม่พูดออกไป เท่านั้นองครักษ์เสื้อโลหิตก็ต้องเผชิญหน้ากับหายนะอันแท้จริง
“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยมิกล้า” ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าหมดทางหนี หากพวกนางต้องการมีชีวิตรอดต่อไป พวกนางก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งของเฟิ่งชิงเฉิน
เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่อยากทำให้พวกนางลำบากใจไปมากกว่านี้ นางโบกมือและกล่าวว่า “ออกไปได้”
ชุนฮุ่ยและชิวฮว่ารีบเก็บเสื้อผ้าและวิ่งออกไปด้านนอกทันที แม้ว่าความกลัวจะท่วมท้นอยู่เต็มหัวใจ แต่พวกนางก็แอบดีใจ เนื่องจากเรื่องราวในครั้งนี้ พวกนางได้รับความไว้วางใจจากเฟิ่งชิงเฉิน
ออกไปด้านนอก ลมหนาวพัดเข้ามา ชุนฮุ่ยและชิวฮว่าสงบลงเป็นอย่างมาก ทั้งสองมองหน้ากันพร้อมกับรอยยิ้ม เดินจากไปพร้อมเสื้อผ้าที่ถูกทำลาย พวกนางจะต้องปฏิบัติภารกิจที่คุณหนูของพวกนางสั่งให้สำเร็จ
หากการทำลายชุดของพระชายาอ๋องเก้าเป็นการโยนความผิดให้ตงหลิงจื่อลั่ว เพื่อบีบบังคับให้เสด็จอาเก้าลงมือกับตงหลิงจื่อลั่ว เช่นนั้นการที่เฟิ่งชิงเฉินออกคำสั่งในเวลากลางคืน บอกให้หยุนเซียวชะลอการขายยาป้องกันการแท้งบุตรก็เป็นการตัดความช่วยเหลือจากภายนอกของตงหลิงจื่อลั่ว
ยาป้องกันการโด่งดังมากเพียงใด คนทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิตงหลิงต่างรู้ดี ผู้คนมากมายแห่กันไปยังร้านขายยาตระกูลหยุน ในทุกวันมีรถม้าหรูหรามากมายไปต่อแถวเพื่อขอซื้อยาจากตระกูลหยุน
ระยะเวลาเพียงชั่วขณะ ตระกูลหยุนได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เหล่าขุนนางเมื่อได้เห็นหยุนเซียว ใบหน้าของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พูดแต่คำพูดน่าฟัง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้องการซื้อยาป้องกันการแท้งบุตร
สำหรับเสนาบดีผู้สูงส่ง พวกเขาไม่ขาดแคลนเงินทอง แต่สิ่งของเหล่านี้ต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถซื้อมันมาได้ ตัวอย่างเช่นยาป้องกันการแท้งบุตรของตระกูลหยุนที่บรรจุอยู่ในขวดแก้วอันล้ำค่า
แน่นอนว่าตระกูลหยุนไม่ได้นำมันออกมาขาย ยาที่ขายอยู่ในร้านเป็นเพียงยาธรรมดาทั่วไป คนที่ร่ำรวยและสูงส่งเหล่านี้จะยอมใช้สิ่งของที่เหมือนกับคนธรรมดาได้อย่างไร ดังนั้นทุกคนจึงหาช่องทางเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลหยุนเพื่อขอซื้อยาป้องกันการแท้งบุตร
วิธีการขายดังกล่าว หยุนเซียวเคยพูดคุยกับเฟิ่งชิงเฉินไปแล้ว ตอนนั้นเฟิ่งชิงเฉินสนใจและชื่นชมในความฉลาดของหยุนเซียว มันเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์กับตระกูลหยุน และสร้างธุรกิจกับเหล่าขุนนางได้
เนื่องจากประโยชน์ของยาป้องกันการแท้งบุตร หยุนเซียวจึงสามารถทำเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าเฟิ่งชิงเฉินเองก็สามารถทำได้เช่นกัน เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการลดการช่วยเหลือผู้อื่น นางเพียงต้องการให้หยุนเซียวชะลอการขายยาป้องกันการแท้งบุตรที่บรรจุในขวดแก้ว ส่วนจำนวนของยาป้องกันการแท้งบุตร หากมีคนถามขึ้นมา ให้หยุนเซียวตอบไปเพียงสองสามคำเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ชัดเจน ตอบออกไปให้คลุมเครือ แค่ตอบว่ามันถูกทำลายก็พอแล้ว ส่วนเรื่องว่าใครเป็นคนทำลาย ถูกทำลายไปมากแค่ไหน เรื่องเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องพูด คนฉลาดจะเข้าใจเหตุผลของมันอยู่แล้ว
ในวันที่สองหลังจากที่ตงหลิงจื่อลั่วพาองครักษ์เสื้อโลหิตบุกมาทำลายจวนเฟิ่ง จวนเฟิ่งสั่งรถม้าสามคันให้ขนเศษขวดแก้วออกไปนอกเมือง เมื่อออกไปนอกเมืองและจุดไฟทำลายมันในที่ซึ่งไม่มีใครเห็น ทำลายของเหล่านั้นโดยไม่เหลือร่องรอย
เฟิ่งชิงเฉินนำขวดยารวมถึงขวดน้ำเกลือซึ่งเป็นแก้วที่ใช้งานในช่วงเวลาที่ผ่านมาออกมาเพื่อทำลาย แม้ว่าขวดแก้วจะมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง แต่หากไม่สังเกตใกล้ ๆ ก็ไม่สามารถมองออกได้ ส่วนหลักฐาน……
ก็ไปหาเอาเองที่กองไฟแล้วกัน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำอะไรมาก แต่เมื่อนำเรื่องทั้งสองมาเชื่อมกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันเป็นการแก้แค้นตงหลิงจื่อลั่ว แต่ตงหลิงจื่อลั่วไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้เลย ไม่คิดว่าสิ่งเหล่านี้คือการตอบโต้ของเฟิ่งชิงเฉิน เขาไม่คิดว่าการที่เขาทำลายจวนเฟิ่งนั้นเป็นความผิดแต่อย่างใด เวลานี้ผู้ที่เขาต้องการเอาชนะมีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้น……
องค์รัชทายาทและน้องชายอีกสามคนนั่งอยู่บนรถม้าคันเดียวกัน ตลอดทางไม่มีการพูดคุย ตงหลิงจื่อลั่ว หย่งอ๋องและโจวอ๋องนั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน องค์รัชทายาทไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา เขาเอาแต่ยิ้มอยู่ตลอดทาง
รถม้าหยุดลงที่ประตูของพระราชวัง องค์รัชทายาทที่ไปที่ประตูรถ “น้องเจ็ด ถึงพระราชวังแล้ว ข้าขอมิเข้าไปส่งพวกเจ้า เสด็จพ่อน่าจะทรงมิอยากเห็นหน้าข้า”
“องค์รัชทายาทเข้าใจเช่นนี้ก็ดีแล้ว ทางที่ดีองค์รัชทายาทกลับไปไตร่ตรองให้ชัดเจนว่าในวันพรุ่งนี้จะอธิบายให้เสด็จพ่อฟังเช่นไร” ไม่มีอันตรายถึงชีวิต ถึงพระราชวัง ตงหลิงจื่อลั่วไม่เห็นองค์รัชทายาทอยู่ในสายตาอีกครั้ง
“อธิบาย? เจ้าคิดว่าข้ายังสนใจว่าเสด็จพ่อจะคิดอย่างไรอยู่อีกงั้นหรือ ข้ากล้าทำกล้ารับ น้องเจ็ดลงจากรถไปเสียเถิด เอาเวลาที่เป็นห่วงข้ากลับไปคิด ว่าการที่เจ้าทำเรื่องทั้งหมดล้มเหลว เจ้าควรจะชดใช้กับเสด็จพ่อด้วยสิ่งใด” องค์รัชทายาทไม่สนใจคำขู่ของตงหลิงจื่อลั่ว หากไม่ใช่ว่าเขาถูกเลี้ยงมาเป็นอย่างดี เขาคงถีบตงหลิงจื่อลั่วลงไปจากรถม้าตั้งแต่แรก
ฮึ ดวงตาของตงหลิงจื่อลั่วเบิกกว้าง สะบัดแขนเสื้อและลงไปจากรถม้า “องค์รัชทายาท แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”
หากไม่ใช่องค์รัชทายาท เขาจะขายหน้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร เขาเองก็ไม่รู้ว่าเสด็จพ่อจะลงโทษเขาอย่างไร ในใจของตงหลิงจื่อลั่วเต็มไปด้วยความกังวล แต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ เนื่องจากเขาไม่สามารถทำในสิ่งที่น่าอับอายออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์รัชทายาทได้
“เสียใจ?” องค์รัชทายาทหัวเราะออกมา “ใช่ ข้ารู้สึกเสียใจ เสียใจที่ไม่คิดให้เข้าใจตั้งแต่แรก น้องเจ็ด เจ้าดูแลตัวเองให้ดี ส่วนเรื่องของข้า น้องเจ็ดไม่จำเป็นต้องกังวล ในเมื่อข้าโอหังออกมาแล้ว ข้าจะต้องโอหังให้ถึงที่สุด”
เขาซึ่งไม่กลัวแม้แต่ความตาย แล้วยังมีสิ่งใดที่เขาต้องกลัว……