นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 875 เฟิ่งชิงเฉินอย่าได้ทำเกินไป
คนทางฝั่งขององค์รัชทายาทเองก็ไม่เคยคิดว่าเรื่องนี้จะสามารถทำให้ลั่วอ๋องหลุดพ้นจากตำแหน่งได้ การเสนอปลดลั่วอ๋องลงจากตำแหน่งเป็นเพียงการลอง ลองใจของจักรพรรดิ
เห็นได้ชัด แม้ว่าลั่วอ๋องจะทำให้จักรพรรดิผิดหวัง แต่จักรพรรดิก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะด้อยค่าลั่วอ๋อง เห็นเสด็จอาเก้าเอ่ยปากออกมาเช่นนั้น คนทางฝ่ายขององค์รัชทายาทชอบใจ พวกเขารู้ได้ว่าโอกาสของพวกเขามาถึงแล้ว
ดังนั้นคนทางฝั่งขององค์รัชทายาทจึงล้มเลิกความคิดที่จะปลดลั่วอ๋องลงจากตำแหน่ง แต่เปลี่ยนเป็นการแนะนำองค์จักรพรรดิให้หาผู้นำที่แท้จริงขององครักษ์เสื้อโลหิต เนื่องจากลั่วอ๋องไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำขององครักษ์เสื้อโลหิตอีกต่อไป
ความคิดนี้ตรงกับความคิดของจักรพรรดิ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้จักรพรรดิสงสัยในความสามารถของตงหลิงจื่อลั่ว องครักษ์เสื้อโลหิตตกอยู่ในมือของลั่วอ๋อง แม้ว่าจะเป็นประสงค์ของเขา แต่ลั่วอ๋องกลับไม่สามารถแสดงพลังที่แท้จริงขององครักษ์เสื้อโลหิตออกมาได้ จักรพรรดิคิดถึงจุดนี้ จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอดังกล่าว สั่งให้ตงหลิงจื่อลั่วส่งมอบหน้าที่ทั้งหมด และทบทวนตนเองอยู่ในจวน
เมื่อจักรพรรดิตรัสออกมาด้วยพระองค์เองก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก ไม่สนว่าจะเป็นลั่วอ๋องหรือองค์รัชทายาท พวกเขาทั้งหมดไม่ใช่เสด็จอาเก้า เกียรติยศและสัมพันธ์ของพวกเขาเชื่อมโยงกับจักรพรรดิและทัศนคติของจักรพรรดิจะเป็นสิ่งซึ่งกำหนดทุกอย่าง
คนทางฝ่ายของลั่วอ๋องรู้ดีว่าเรื่องทุกอย่างจบลงแล้ว จักรพรรดิทรงปลดตงหลิงจื่อลั่วออกจากตำแหน่งผู้นำขององครักษ์เสื้อโลหิต ตัดสินว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ใช่ความผิดขององค์รัชทายาท หากพวกเขาทำร้ายองค์รัชทายาทสุ่มสี่สุ่มห้า มีแต่จะทำให้จักรพรรดิทรงโกรธ แต่หากให้พวกเขาจำยอมเช่นนี้ พวกเขาก็คงไม่อาจกลืนลมหายใจนี้ได้
องค์รัชทายาทสังหารองครักษ์เสื้อโลหิตมากกว่าร้อยนาย ยังไงองค์รัชทายาทก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ไม่สามารถปลดองค์รัชทายาทลงจากตำแหน่งได้ เช่นนั้นการกักบริเวณองค์รัชทายาทคงเป็นเรื่องที่อาจเป็นไปได้ ดังนั้นคนทางฝ่ายของลั่วอ๋องจึงโจมตีองค์รัชทายาทอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้องค์รัชทายาทรับโทษจากการกระทำของเขา
แน่นอนว่าจักรพรรดิไม่สามารถปล่อยองค์รัชทายาทไปได้ หากลงโทษเพียงแค่ลั่วอ๋อง ไม่ลงโทษองค์รัชทายาท เช่นนั้นความเย่อหยิ่งขององค์รัชทายาทจะยิ่งเพิ่มขึ้น ทำให้คนไปอยู่ฝั่งขององค์รัชทายาทมากขึ้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่จักรพรรดิอยากเห็น ทันใดที่คนของลั่วอ๋องกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จักรพรรดิก็เอ่ยปากเห็นด้วย กักบริเวณองค์รัชทายาทเป็นเวลาสามเดือน ซึ่งเริ่มนับตั้งแต่หลังวันขึ้นปีใหม่
ในวันขึ้นปีใหม่ สามประเทศจากเมืองจิ่วจะมาแสดงความยินดี ไม่เป็นไรหากลั่วอ๋องไม่สามารถเข้าร่วมงานได้ แต่หากองค์รัชทายาทไม่ปรากฏตัวออกมา มันก็ยากที่จะทำให้เหล่าขุนนางไม่สงสัยในการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิ
การแย่งชิงระหว่างองค์รัชทายาทกับลั่วอ๋องส่งผลให้เกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ จักรพรรดิลงโทษและตักเตือนทั้งองค์รัชทายาทและลั่วอ๋อง สิ่งเหล่านี้ให้เหล่าเสนาบดีเข้าใจอย่างชัดเจนว่า เขาคือผู้กุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตงหลิง เขาคือผู้ชี้ชะตา และเป็นผู้อยู่เหนืออำนาจของเหล่าเสนาบดี
จักรพรรดิกำลังใช้การกระทำของตัวเองเพื่อบอกทุกคนว่าไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาท ลั่วอ๋อง หรือเสด็จอาเก้า การแย่งชิงของพวกเขาทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องมีองค์จักรพรรดิอย่างเขาเป็นผู้ตัดสิน และหากเขาอยู่ฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะมีอำนาจในการเอาชนะมากที่สุด
เสด็จอาเก้าไม่แม้แต่จะหันมองจักรพรรดิ เมื่อพิธีการจบลง เขารับเสด็จออกทันที
แม้ว่าจักรพรรดิจะแสดงอำนาจอันยิ่งใหญ่ออกมา แต่ใช่ว่าเขาจะอารมณ์ดี เขากำลังกังวลเรื่องของตระกูลหวัง แต่เขาสั่งให้คนของเขาค้นหาทั่วทั้งเมืองจักรพรรดิ แต่กลับไม่เห็นวี่แววของหวังจิ่นหลิงเลยแม้แต่น้อย
หลังจากพิธี จักรพรรดิหันไปถามกับขันทีว่า “ใต้เท้าฝู่เข้ามาในพระราชวังแล้วหรือยัง?”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าฝู่กำลังรอท่านอยู่ด้านนอกห้องทรงพระอักษร” ขันทีก้าวไปข้างหน้าอย่างชาญฉลาด เวลานี้ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อจักรพรรดิรู้สึกโกรธ มีเพียงใต้เท้าฝู่ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถนำทางองค์จักรพรรดิได้
จักรพรรดิพยักหน้า เดินไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อพบกับฝู่หลิน
“ถวายบังคมฝ่าบาท” แม้ว่าฝู่หลินจะได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติเหมือนกับช่วงที่เข้ามาในวังช่วงแรกทุกประการ ให้เกียรติและเคารพองค์จักรพรรดิเป็นอย่างมาก
“ลุกขึ้นเถิด มิต้องมากพิธี เชิญนั่ง”
การได้นั่งในห้องทรงพระอักษรถือเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยม ในราชวงศ์ตงหลิงมีคนที่สามารถเข้ามานั่งในห้องนี้ได้ไม่ถึงห้าคน สิ่งนี้แสดงให้เห็นความฝู่หลินนั้นสำคัญกับองค์จักรพรรดิมาเพียงใด
“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยสมควรตายในสิ่งที่ทำลงไป ข้าทำให้ฝ่าบาททรงผิดหวัง” ขันทีเลื่อนเก้าอี้มาให้ แต่ฝู่หลินกลับไม่กล้านั่ง คุกเข่าลงต่อหน้าองค์จักรพรรดิ
จักรพรรดิขมวดคิ้ว “มิพบร่องรอยของหวังจิ่นหลิงงั้นหรือ?”
“ข้าน้อยไร้ความสามารถ” ฝู่หลินปราศจากซึ่งความกลัว ไม่มีร่องรอยของความไม่สบายใจ คุกเข่าและเอ่ยปากอย่างนิ่งสงบ
จักรพรรดิชื่นชมในความมีสติและไม่ตื่นตระหนกของฝู่หลินเป็นอย่างมาก เมื่อพบปัญหา ฝู่หลินทำอะไรไม่ถูก แต่จักรพรรดิไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น “เรื่องนี้จะเอาแต่โทษเจ้าก็มิได้ มันเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดของข้า เจ้าลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระคุณฝ่าบาทที่มิทรงโกรธ” ฝู่หลินก้มศีรษะและลุกขึ้นยืน จักรพรรดิตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดพักใหญ่ เขาเกือบจะลืมว่าฝู่หลินอยู่ โบกมือและกล่าวออกมาว่า “เจ้าออกไปเถิด”
“ขอรับ ฝ่าบาท”
ฝู่หลินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง จักรพรรดินั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ รู้เพียงแค่ว่าเขาขมวดคิ้วแน่น……
ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าในพระราชวัง เมื่อเสร็จจากพิธีเช้า เสด็จอาเก้าจึงสั่งให้คนขับรถม้าไปทางจวนเฟิ่ง
“นายท่าน นั่นมันไม่ใช่ทางกลับจวนอ๋องเก้า เสด็จอาเก้า ท่านจะไปที่ใด?” เจ้ากรมคลังชี้มาทางรถม้าของเสด็จอาเก้าพร้อมถามออกมา
“นั่นมันทางไปจวนเฟิ่ง” หัวหน้าศาลต้าหลี่ยิ้มและกล่าวออกมา
“อ่า……”
ทุกคนพยักหน้า แสดงรอยยิ้มที่มีความหมายแต่ไม่ชัดเจน
สาวงามตื่นตระหนก แน่นอนว่าเสด็จอาเก้าจะต้องไปปลอบโยนนาง ทั้งสองมีช่วงเวลาที่ดีต่อกัน วันนี้น่าจะเป็นวันที่เสด็จอาเก้าอารมณ์ดี แต่……
เรื่องราวนั้นต่างจากที่ทุกคนคิดไปโดยสิ้นเชิง เมื่อเสด็จอาเก้าไปถึงจวนเฟิ่ง เขากลับไม่ได้พบกับเฟิ่งชิงเฉิน
“เฟิ่งชิงเฉินไปไหน?” เสด็จอาเก้าเข้าไปในจวนเฟิ่งและถามออกมา
“ท่านอ๋อง คุณหนูอยู่ในห้องผู้ป่วย สั่งข้าน้อยไว้ว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวน” เผชิญหน้ากับแรงกดดันอันรุนแรงของเสด็จอาเก้า พ่อบ้านอู้กล่าวออกไปตามปกติ แต่ในความจริงแล้วเรื่องมันไม่ได้ง่ายถึงขนาดนั้น
“มิให้ใครเข้าไปรบกวน?” เฟิ่งชิงเฉินกล้ามากขึ้นทุกวัน ถึงขั้นกล้าไม่ออกมาพบเขาในเวลากลางวัน เสด็จอาเก้าพ่นลมหายใจออกมาอย่างเยือกเย็น “ข้าต้องการพบนาง นำทางข้าไป”
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมรับการปฏิเสธ
“คือ คือว่า……” พ่อบ้านเช็ดเหงื่ออย่างต่อเนื่อง
“มีอะไรงั้นหรือ? เจ้าคิดจะขัดคำพูดของข้างั้นหรือ?” เสด็จอาเก้าจ้องมองไปยังพ่อบ้าน พ่อบ้านตกใจจนคุกเข่าลงไป “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยมิบังอาจ ท่านอ๋องโปรดยกโทษให้ข้า”
“ไม่เมื่อมิกล้า งั้นก็รีบนำทางข้าไปได้แล้ว” ห้องผู้ป่วยอยู่ตรงไหนเสด็จอาเก้านั้นรู้ดี แต่ที่ต้องการให้พ่อบ้านนำทางไปนั้น เป็นเพราะความรู้สึกโกรธในใจ
เฟิ่งชิงเฉินถึงขั้นปฏิเสธที่จะพบหน้าเขาหลายครั้ง สิ่งนี้มันมากเกินไป ช่วงเช้าไม่ยอมออกมาพบหน้าเขายังพอทนได้ แต่เวลานี้เป็นช่วงกลางวัน เขาเข้ามาในจวนเฟิ่งอย่างสง่าผ่าเผย แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่ยอมออกมาพบหน้าเขา นางช่างกล้าเสียเหลือเกิน!
“ขอ ขอ ขอครับ ท่านอ๋อง เชิญทางนี้” พ่อบ้านอู้รีบลุกขึ้นมาจากพื้น ท่าทางของเขาดูมีเรี่ยวแรงเกินอายุ นำทางเสด็จอาเก้าไปหาเฟิ่งชิงเฉิน ในใจแอบขอโทษเฟิ่งชิงเฉิน : ไม่ใช่ว่าเขาหักหลัง แต่แรงกดดันของเสด็จอาเก้านั้นมากเกินไป เขาไม่สามารถต้านทานมันได้
เป็นอย่างที่เสด็จอาเก้าคิด เฟิ่งชิงเฉินกำลังดูแลหวังชีที่ยังไม่ฟื้นขึ้นมาอยู่ในกระท่อม หวังชีรอดพ้นจากอันตราย แต่เขากลับยังไม่ฟื้นขึ้นมา เฟิ่งชิงเฉินเป็นห่วงเขา เวลาส่วนใหญ่ก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับหวังชี กลัวว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับหวังชีเพราะความประมาทเลินเล่อของนาง
เรื่องที่เสด็จอาเก้าเดินทางมายังจวนเฟิ่ง มีคนรับใช้ในจวนมารายงานนางแล้ว ครั้งนี้เสด็จอาเก้าเข้าใจเฟิ่งชิงเฉินผิดอย่างรุนแรง ด้วยนิสัยของเฟิ่งชิงเฉิน นางจะทำให้เสด็จอาเก้าอับอายต่อหน้าสาธารณชนได้อย่างไร นางไม่ได้คิดที่จะหลบหนี แต่นางต้องการจัดการเรื่องที่กำลังทำอยู่เวลานี้ให้เสร็จก่อน จากนั้นค่อยออกไปพบกับเสด็จอาเก้า แต่นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเสด็จอาเก้าทนไม่ไหวถึงขั้นสั่งให้คนบุกเข้ามา……