นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 878 เดินทางไปล่วงหน้า
สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือน ถอดกางเกงชายหนุ่ม ในสายตาคนนอกพวกเขาจะคิดเช่นไร?
หน้าด้าน? ยินยอม?
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ นางรู้แค่ว่าหากนางอาศัยอยู่ในโลกนี้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเพิกเฉยต่อจริยธรรมและแนวคิดของโลกนี้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับที่ เสด็จอาเก้ากล่าว นางไม่สนใจ แต่หวังจิ่นหานจะไม่สนใจด้วยหรือไม่?
แต่ทุกคนสามารถกล่าวได้ว่าเฟิ่งชิงเฉินเป็นคนผิด สามารถกล่าวหาถึงความผิดพลาดของเฟิ่งชิงเฉินได้ แต่เสด็จอาเก้าทำไม่ได้
เสด็จอาเก้าเป็นคนที่เข้าใจนางมากที่สุดในโลกนี้ และเขาเป็นผู้ชายคนเดียวที่นางเต็มใจเปิดใจยอมรับ เมื่อเผชิญกับข้อกล่าวหาของเสด็จอาเก้า นางจึงรู้สึกเจ็บปวด หัวใจของนางเจ็บปวดอย่างยากบรรยาย นางไม่อยากเห็นเสด็จอาเก้าอีกสักวินาทีเดียว นับประสาอะไรกับความคิดริเริ่มที่จะคุยกับเสด็จอาเก้า
นางไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห เพียงแค่อึดอัดใจ ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรมแบบนี้ นางจึงไม่สามารถขอให้เสด็จอาเก้ายอมรับนางได้ แต่นางก็ไม่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปอย่างสิ้นเชิง เพื่อให้เข้ากับสมัยนี้ได้อย่างสมบูรณ์
เฟิ่งชิงเฉินไม่ยอมเปิดปาก เสด็จอาเก้าเองก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขานั่งๆ ยืนๆ ภายในนห้องเงียบจนน่าขนลุก แม้แต่เสียงหายใจก็ได้ยินชัดเจน
ในตอนแรกเสด็จอาเก้าแสร้งทำเป็นเหลือบมองเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่ตั้งใจ โดยคิดว่าสายตาของคนทั้งสองจะสบกันและทำลายความเงียบของห้อง แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยมองเขา เฟิ่งชิงเฉินเป็นเหมือนราวกับท่อนไม้ ที่ยอมมองไปทางกำแพงแต่ไม่ยอมมองเขา
เสด็จอาเก้าจ้องมองที่เฟิ่งชิงเฉิน โดยบอกเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาของเขาว่าเขากำลังรอให้เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาเพื่อทำลายทางตันระหว่างทั้งสอง
ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเสด็จอาเก้าหรือเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังโกรธ คนที่ริเริ่มที่จะทำลายบรรยากาศเช่นนี้คือเฟิ่งชิงเฉิน ในการรับรู้ของเฟิ่งชิงเฉินสงครามเย็นเป็นสิ่งที่สะเทือนอารมณ์ที่สุด แต่คราวนี้เฟิ่งชิงเฉินต้องการทำสงครามเย็น บางทีหลังจากช่วงเวลาที่สงบนิ่ง ทั้งคู่อาจจะเข้าใจสิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริง
ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจที่จะไม่เอ่ยปาก เสด็จอาเก้าเคยชินกับการนิ่งเงียบ แต่ความเงียบระหว่างทั้งสองคนในวันนี้ทำให้ทั้งสองรู้สึกหดหู่ใจ เสด็จอาเก้ากระแอมอยู่สองสามครั้งและเริ่มกล่าวว่า “ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อโลหิตจะเลือกใหม่ในปีหน้า ลั่วอ๋องจะถูกปลดและกักบริเวณ”
เขากำลังบอกเฟิ่งชิงเฉินว่าตงหลิงจื่อลั่วได้รับการลงโทษแล้ว แต่สำหรับองค์ชาย การถูกลงโทษเช่นนี้หมายความว่าเขาจะไม่อาจมีส่วนร่วมในอำนาจแล้ว
“……” เป็นไปตามที่คาดไว้ เฟิ่งชิงเฉินไม่มีอะไรต้องดีใจ นางไม่อยากแม้แต่จะมองเสด็จอาเก้า
พฤติกรรมขององค์รัชทายาทเช่นนี้ ทำให้เห็นชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ตงหลิงจื่อลั่วมีความสุข และด้วยความช่วยเหลือของนาง คงเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นสำหรับตงหลิงจื่อลั่วที่จะล้มลง แต่องค์ชายก็คือองค์ชาย หากต้องการผลักตงหลิงจื่อลั่วลงดิน เว้นแต่จักรพรรดิแห่งตงหลิงเท่านั้นที่จะทำได้ มิฉะนั้น เพื่อเห็นแก่หน้าของราชวงศ์ จักรพรรดิจะไม่ปล่อยให้เกิดอะไรขึ้นกับตงหลิงจื่อลั่วแน่
“หวังจิ่นหลิงฟื้นแล้ว วันนี้เขาจะกลับไปที่ตระกูลหวัง” เสด็จอาเก้าดูสงบนิ่ง แต่หากดูดีๆ อาจเห็นว่ามีร่องรอยของความคาดหวังในดวงตาของเขา รอคอยการตอบสนองของเฟิ่งชิงเฉิน
น่าเสียดายที่เฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจเรื่องของตงหลิงจื่อลั่ว และไม่สนใจเรื่องราวของตระกูลหวังนาง พยักหน้าเพียงเพื่อแสดงว่านางได้ยินแล้ว
เสด็จอาเก้าระงับความผิดหวังในใจลงแล้วกล่าวต่อไปว่า “องค์รัชทายาทก็ถูกลงโทษเช่นกันกักบริเวณเช่นกัน งานเลี้ยงปีใหม่ในคืนนี้ รัชทายาทจะเข้าร่วมงานนี้ ลั่วอ๋องไม่สามารถเข้าร่วมได้เนื่องจากมีอาการป่วย”
เฟิ่งชิงเฉินฟังแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เสด็จอาเก้าเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ดีขึ้น จากตงหลิงกล่าวถึงซีหลิง จากนั้นไปยังหนานหลิง จากตระกูลหวัง สนทนาไปถึงเรื่องตระกูลชุย และอวี่เหวินหยวนฮั่ว เสด็จอาเก้ากล่าวทุกอย่างในเรื่องการเมืองอันเยือกเย็น น้ำเสียงดูเหมือนเป็นการรายงาน แต่เป็นเพราะนางคือเฟิ่งชิงเฉิน หากเป็นสตรีคนอื่นเกรงว่าอาจจะหลับไปในขณะที่ฟัง
เสด็จอาเก้าหาหัวข้อสนทนาไม่เก่ง เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะเยาะตัวเอง นางกำลังทรมานเสด็จอาเก้าหรือทำร้ายตัวเองกันแน่ นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้น เพียงแค่ตอบสนองตามธรรมชาติ จะให้นางทำสิ่งใดอีกเล่า
เมื่อยืนจนเหนื่อย เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่สนใจเสด็จอาเก้า เขาเดินไปด้านข้างและนั่งลง เสด็จอาเก้าเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินมีความเคลื่อนไหวแล้วจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินจะเดินมาหาเขา แต่คิดไม่ถึงว่านางจะนั่งลงบริเวณที่ไกลจากเขาที่สุด
เสด็จอาเก้ารู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง จากนั้นกล่าวต่อไปโดยไม่คำนึงว่าเฟิ่งชิงเฉินจะฟังอยู่หรือไม่ จนกระทั่งในตอนท้าย เสด็จอาเก้าไม่รู้ว่าเขากล่าวอะไรออกมาบ้าง สิ่งเดียวที่เขารู้คือเรื่องที่เขากล่าวในวันนี้มากกว่าที่เขาพูดมาทั้งเดือน จนเขารู้สึกกระหายน้ำ แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับไม่มีทีท่าจะรินชาให้เขาสักถ้วย
ทั้งสองเป็นคนที่หยิ่งยโส เสด็จอาเก้าไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติกับสิ่งที่เขากล่าวในวันนี้ แต่เป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงคิดทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดใจเหล่านี้เอง เหตุใดเฟิ่งชิงเฉินยังคงไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้
เสด็จอาเก้ารู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน เมื่อมองไปทางเฟิ่งชิงเฉินที่ดูไร้ชีวิตจิตใจ เสด็จอาเก้าจึงลุกขึ้นยืน “เย็นมากแล้ว ข้าจะเข้าวัง”
“ถวายบังคมเสด็จอาเก้า” เฟิ่งชิงเฉินยืนขึ้นทันที นางโค้งกายเล็กน้อย ไม่ได้ประสงค์ขอให้เขาอยู่ต่อ เสด็จอาเก้าโกรธมาก เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปทันที เมื่อบ่าวรับใช้พบข้ากับเสด็จอาเก้าระหว่างทาง ก็ได้คุกเข่าลงสู้พื้นโดยสัญชาติญาณ ด้วยเกรงว่าจะถูกลงโทษ
เฟิ่งชิงเฉินกลับดูสุภาพมาก นางส่งเสด็จอาเก้าไปที่ประตู เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าขึ้นรถไปแล้วจึงหันกลับไปที่จวน ทันทีที่นางกลับมายังจวน ก็พบว่าคนในจวนได้แต่ถอนหายใจอกมา เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ
“ไม่เป็นไรแล้ว พวกเจ้ามีสิ่งใดก็ไปทำเถิด พ่อบ้านอู๋ ท่านกลับบ้านไปเถอะ” นางไม่สนใจว่าเสด็จอาเก้าจะคิดอย่างไรนางเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ เพียงเพื่อให้เสด็จอาเก้ามีความสุข
หากเสด็จอาเก้ารับไม่ได้ ก็ค่อยเป็นค่อยไป นางเชื่อว่านางจะสามารถหาจุดสมดุลได้ และนางจะไม่เรียกร้องกับเสด็จอาเก้ามากเกินไป ถึงอย่างไรในยุคนี้ผู้ชายโดยเฉพาะบุตรหลานในราชวงศ์เหล่านั้น ในสายตาของพวกเขาสตรีเป็นเพียงสิ่งของเครื่องใช้ของชาย หากจะให้เสด็จอาเก้ายอมรับในตัวของนางได้ทุกเรื่อง ก็คงจะยากเกินไป
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ความหดหู่ในใจของเฟิ่งชิงเฉินก็จางหายไปมากเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าดูสดใสจากหัวใจ
บ่าวรับใช้รู้ว่าควรปฏิบัติอย่างไรจากสีหน้าของเจ้านาย พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเฟิ่งชิงเฉินยิ้มแย้ม ทำลายบรรยากาศอึดอัดใจเมื่อครู่
จวนเฟิ่งเต็มไปด้วยความสุขคึกคักอีกครั้ง บ่าวรับใช้เดินไปมา จัดลานเพื่อเตรียมงานเลี้ยง ส่วนพ่อบ้านอู๋ทำความสะอาดเก็บกวาดแล้วก็เตรียมตัวกลับบ้านฉลองปีใหม่
ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดี เฟิ่งชิงเฉินและผู้คนในจวนเฟิ่งไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันของเสด็จอาเก้า แต่คนอื่น ๆ ไม่ได้โชคดีแบบนั้น ตามปกติเสด็จอาเก้าจะเดินทางไปตรงเวลางานเลี้ยง อยู่ที่นั่นเพียงชั่วครู่ก็จากไป แต่ในปีนี้……
เสด็จอาเก้าเป็นคนแรกที่เสด็จเข้าวัง ถึงกระนั้นก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ความเยือกเย็นบนร่างกายของเขาทำให้ขันทีและนางในหวาดกลัวจนหายใจไม่ออก ในเมื่อเสด็จอาเก้ามาถึงแล้ว ขุนนางที่อยู่นอกวังต่างๆ จะกล้าชักช้าได้อย่างไร แต่ละคนรีบเดินทางไปที่พระราชวังด้วยความกลัวว่าจักรพรรดิและเสด็จอาเก้าทั้งเก้าจะตำหนิพวกเขา
เวลาและลำดับการเข้าวังสำหรับงานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่ามีความเฉพาะเจาะจงอย่างยิ่ง ผู้ที่อายุน้อยกว่าจะมาถึงเร็ว ตามปกติแล้วเสด็จอาเก้ามักจะมาถึงพร้อมกับองค์จักรพรรดิ แต่ในปีนี้เสด็จอาเก้ามาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขากล้านั่งเล่นอยู่ที่บ้านหรือ?
ด้วยเหตุนี้เอง…… งานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่าของตงหลิงในปีนี้จึงเร็วกว่าเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะเสด็จอาเก้า เมื่อจักรพรรดินีทราบข่าว นางก็เปลี่ยนสีหน้าด้วยความกริ้ว ก่อนจะกำชับให้คนในตำหนักเดินทางไปล่วงหน้า อย่าให้เกิดเรื่องใดขึ้นอันไม่จำเป็น
เพียงชั่วครู่ พระราชวังก็ตกอยู่ในความโกลาหล แต่ตัวต้นเหตุกลับนั่งอยู่บนแท่นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว……