นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 894 จิ่นสิง ข้าควรเชื่อเจ้าหรือไม่
เพียะ……
เพื่อยืนยันผลของการสะกดจิต ซูโหรวฟาดลงมาต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เงาสีแดงเพลิงแวบผ่านดวงตาของนาง เฟิ่งชิงเฉินรู้ว่าถึงเวลาที่นางต้องแสดงแล้ว
เพื่อพิสูจน์ว่าตนถูกสะกดจิต นางต้องล้มลง และต้องตกอย่างธรรมชาติ
เพื่อให้ซูโหรวเชื่อสนิทใจ นางจึงต่อสู้……
เฟิ่งชิงเฉินกัดฟัน หลับตาแล้วย่อตัวลงไปทางซ้าย นางคิดว่าตัวเองจะล้มลงสู่พื้น แต่คิดไม่ถึงว่าซูโหรวจะก้าวมาข้างหน้าเพื่อมารองร่างนางไว้ แล้วเก็บแส้นั้นลง
สตรีนางนี้เจ้าเล่ห์นัก ฮือๆ นางจะบอก1111ว่านางถูกกระทำเช่นนั้นโดยสตรีคนหนึ่งในวันแรกของปี ทั้งยังต้องขอบเจ้านางที่ช่วยชีวิตเอาไว้หลังจากนั้น
มันน่ารำคาญเป็นบ้า
โครม…… เฟิ่งชิงเฉินล้มลงอย่างแรง แต่ไม่รู้สึกเจ็บเลย ทว่าซูโหรวที่อยู่ใต้นางกลับร้องด้วยความเจ็บปวด “พี่ชิงเฉิน เป็นอะไรหรือไม่?”
ใบหน้าเรียวเล็กของซูโหรวซีดขาวราวกับกระดาษ หน้าผากของนางเต็มไปด้วยเหงื่อ ดวงตาแสนสวยงามของนางเอ่อนองด้วยน้ำตา มองไปช่างน่าสงสาร
“เจ้าหนู เป็นอะไรหรือไม่?” เมื่อทงจือและทงเหยาได้ยินเสียงจึงวิ่งรีบเข้าไป พวกนางเห็นเฟิ่งชิงเฉินล้มทับซูโหรวอยู่
ฉากนี้ไม่ต้องถามก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เฟิ่งชิงเฉินตกจากเก้าอี้ แล้วซูโหรวใช้ตัวเองเป็นแผ่นรองให้เฟิ่งชิงเฉิน บัดนี้ไม่ว่าเป็นเฟิ่งชิงเฉินหรือตระกูลเฟิ่งล้วนต้องขอบเจ้าซูโหรว
แหม ช่างยอมสละตนเองเหลือเกิน!
เฟิ่งชิงเฉินชื่นชมซูโหรวจากก้นบึ้งของหัวใจ แม่นางคนนี้โหดเหี้ยม และโชคดีจริงๆ แม้นางจะล้มลงมาจริง แต่เพื่อไม่ให้ตัวเองบาดเจ็บมาก จึงจงใจชะลอแรงยามที่ล้มลง มิฉะนั้นต่อให้นางไม่ทับซูโหรวจนตาย ก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถลุกขึ้นได้เป็นเวลาสามถึงห้าเดือน
แต่บัดนี้ ซูโหรวรู้สึกเจ็บปวดเพียงเล็กน้อย
ชื่นชมนั้นก็ชื่นชม แต่ถึงอย่างไรเฟิ่งชิงเฉินไม่สามารถมีความสุขได้ เมื่อนางพบคนเช่นนี้ในวันแรกของปี แต่นางก็ไม่อาจพูดอะไรได้ ทำเพียงระงับความโกรธในใจของนาง เฟิ่งชิงเฉินยืนขึ้นด้วยมีทงจือและทงเหยาพยุง แล้วเอ่ยถามลอยๆ ว่า “ข้าเป็นอะไรไป?”
“พี่ชิงเฉิน เป็นอะไรมากหรือไม่? เมื่อครู่ข้ากลัวแทบตาย เหตุใดจู่ ๆ จึงได้ล้มลงสู่พื้นเช่นนั้น ท่านเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า?” เสียงของซูโหรวร้องไห้ออกมาด้วยท่าทางน่าสงสารและเห็นอกเห็นใจ
“จู่ๆ ข้าก็ล้มลง? แปลกจริง เก้าอี้ดีๆ อยู่มิใช่หรือ?” เฟิ่งชิงเฉินตบศีรษะของตัวเองเบาๆ แล้วมองไปทางเก้าอี้ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ซูโหรวยืนขึ้นโดยมีทงเหยาเข้ามาพยุง ซูโหรวไม่ได้เจ็บอะไรมาก นางเพียงรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย พักผ่อนสักสองสามวันก็ดี เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าซูโหรวไม่ได้เจ็บปวด ทว่านางกล่าวขึ้นอย่างน่าเห็นใจว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ชิงเฉินกำลังบอกข้าถึงเรื่องฮองเฮา จากนั้นจู่ๆ ก็ตกลงมาจากเก้าอี้เลย”
“จริงหรือ? ข้าจำมิได้เลย” นังซูโหรว คิดหาเหตุผลได้ดีจริง ใครก็ตามก็รู้ว่านางและฮองเฮาไม่ลงรอยกัน หากกล่าวถึงฮองเฮาคงจะโมโหขึ้นมา
“พี่ชิงเฉิน ไม่เป็นะไรใช่หรือไม่? มีบาดแผลหรือไม่? ต้องการเชิญหมอหลวงมาตรวจหรือไม่ โอ้ ข้าลืมไป พี่ชิงเฉินนั้นเป็นหมออยู่แล้ว” ซูโหรวดูเป็นกังวลแล้วลูบมือของนางไปที่เอว เหมือนนางเจ็บแต่ไม่อยากบอกใคร
ซูโหรวต้องการแสดงละครออกมา เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามน้ำ ถึงอย่างไรซูโหรวก็ได้ “ช่วย” นางเอาไว้ได้ ความสามารถของซูโหรวในการแสร้งทำเก่งมาก ที่นี่ไม่มีคนอื่น หากจะเปิดโปงนางคงยาก
เฟิ่งชิงเฉินผลักทงจือออกไปแล้วก้าวไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยคำขอบเจ้า “น้องซูโหรว ข้าสบายดี ขอบใจเจ้ามาก ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าข้าล้มลงไปว่าแต่น้องซูโหรว เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
เฟิ่งชิงเฉินดึงซูโหรวเข้าไป แล้วกดลงไปตรงที่ซูโหรวเจ็บอย่างไม่ได้จงใจ ซูโหรวเจ็บปวดมากจนน้ำตาแทบไหลออกมา สมองตื้อๆ ของนางถูกกระตุ้นเช่นนี้ ทำให้อึดอัดยิ่ง นางเดินโซเซมากล่าวว่า “ไม่เป็นไร” จากนั้นนางก็ล้มลง
ทุกอย่างมืดลง!
เมื่อตอนที่ซูโหรวล้มลง เฟิ่งชิงเฉินเอื้อมมือไปจับนางและผลักนางไปทางทงจือกับทงเหยา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไปทันที “พานางออกไป หายามาทาแผลของนาง ข้าเกรงว่าคนอื่นจะหาว่าข้าเฟิ่งชิงเฉินไม่รู้จักบุญคุณ”
เฟิ่งชิงเฉินกล่าวคำท้ายออกมาอย่างแรง ถงจือและทงเหยาพูดอย่างกระวนกระวายขึ้นว่า “คุณหนู?”
เมื่อพวกนางเข้ามาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน ว่าคุณหนูของพวกนางตกจากเก้าอี้ได้อย่างไร แต่พวกนางก็ไม่ได้สงสัยซูโหรว เพราะท้ายที่สุดแล้วซูโหรวได้ช่วยชีวิตคุณหนูของพวกนาง
“ไม่เป็นไร พานางไปพักผ่อน อย่าให้ใครมาว่าจวนเฟิ่งของเราละเลยแขก” เฟิ่งชิงเฉินโบกมือโดยไม่แม้แต่จะมองซูโหรว
ทงเหยาและทงจือพาซูโหรวออกไป เฟิ่งชิงเฉินกลับไปที่ห้องของนางเช่นกัน ถอดเสื้อผ้าของตนออก พบจุดสีแดงม่วงที่ข้างเอว และเจ็บแม้สัมผัสเบาๆ
“การพบกับซูโหรวไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ” เฟิ่งชิงเฉินเปิดกระเป๋ายาอัจฉริยะ หยิบครีมออกมาและทาลงไปที่ตัว
บาดแผลนั้นมองไม่เห็นเลือด ไม่ได้ร้ายแรง ไม่เป็นไร สองสามวันก็ดี ส่วนซูโหรว……
“น้องซูโหรว เพื่อความแข็งแกร่งของเจ้าในวันนี้ ข้าจะให้เจ้ามีสิ่งที่เจ้าต้องการอย่างแน่นอน เจ้าอยากรู้จักพระสนมเอกเซี่ยหรือ? เจ้าต้องการยืมอำนาจของพระสนมเอกเซี่ยหรือ? ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความสามารถนั้นหรือไม่ ไม่ใช้เป็นเบี้ยแล้วยังไม่รู้ตัว”
เฟิ่งชิงเฉินคิดถึงสิ่งที่พระสนมเอกเซี่ยกล่าวไว้ครั้งก่อน ความหดหู่ในใจของนางก็สลายไปมาก
นางไม่แน่ใจว่าพระสนมเอกเซี่ยปล่อยวางได้จริง หรือนางแค่แสร้งทำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายของซูโหรวก็คือเบี้ยในมือของพระสนมเอกเซี่ยอยู่ดี
ซูโหรวไม่มีวิธีอื่นใดที่จะเอาชนะพระสนมเอกเซี่ยได้ ยกเว้นทักษะนั้น ส่วนทักษะนั้นนอกจากจะใช้กับนางในและขันที เฟิ่งชิงเฉินไม่คิดว่าซูโหรวจะสามารถหลอกใครได้อีก
ในวังมีใครบ้างที่ไม่มีคนรอบกาย ส่วนจักรพรรดิหรือ? คนที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิได้ต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่างกว่าคนอื่น ๆ อย่างแน่นอน ซูโหรวคงไม่มีความกล้าที่จะโจมตีจักรพรรดิ เพราะหากการกระทำของนางถูกเปิดเผย ไม่ใช่นางคนเดียวที่ตาย
“คิดไปคิดมา ข้าเป็นคนที่โชคร้ายที่สุดจริงๆ ดังนั้นซูโหรวจึงคิดจะใช้ทักษะนี้กับข้า เพราะนางคิดไว้แล้วว่าต่อให้ข้ารู้ ข้าก็จะไม่อาจทำอะไรนางได้”
เฟิ่งชิงเฉินโกรธมาก ในสายตาของคนเหล่านั้น นางเป็นเพียงคนที่จัดการง่ายใช่หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าหากสุนัขถึงยามจนตรอกมันก็จะสู้……
เฟิ่งชิงเฉินสวมเสื้อผ้าของนางด้วยความโกรธ และแต่งหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะไปหาหนานหลิงจิ่นสิง
ซูโหรวได้รับบาดเจ็บเพราะ “ช่วยชีวิต” นางไว้ นางควรบอกหนานหลิงจิ่นสิงตามมารยาท แน่นอนว่านางต้องการรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่ซูโหรวทำกับนางในวันนี้ หนานหลิงจิ่นสิงรู้หรือไม่
สิ่งที่ซูโหรวต้องการคือชีวิตของนาง ถึงอย่างไรก็เคยนับถือกันเป็นพี่น้อง เฟิ่งชิงเฉินไม่ต้องการมองคนผิดไป
“พี่สาว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ซูโหรวอยู่ที่ไหนเล่า?” หนานหลิงจิ่นสิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินจึงรีบก้าวไปข้างหน้า
เฟิ่งชิงเฉินดูท่าทีเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “จิ่นสิง ข้าขอโทษ ซูโหรวได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยข้า”
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าถึงต้องการความช่วยเหลือจากซูโหรว?” หนานหลิงจิ่นสิงถามด้วยความประหลาดใจ แล้วรีบดึงเฟิ่งชิงเฉินมาตรวจดูร่างกาย “พี่สาว เป็นอะไรหรือไม่? เจ็บตรงไหนหรือเปล่า? ซูโหรวทำอะไรลงไปหรือเปล่า?”
หนานหลิงจิ่นสิงกระวนกระวายมาก ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้แสร้งทำ เฟิ่งชิงเฉินจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย “จิ่นสิง ไม่ต้องกังวลไป ข้าสบายดี คนที่ได้รับบาดเจ็บคือซูโหรว ซูโหรวและข้ากำลังคุยกันอยู่ในห้องโถงดอกไม้ ทันใดนั้นข้าก็ตกจากเก้าอี้ โชคดีที่ซูโหรวช่วยข้าไว้ มิฉะนั้นข้าจะเป็นคนนอนบนเตียงเอง”
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้กล่าวถึงเรื่องสะกดจิต ไม่ใช่ว่านางไม่อยากเชื่อในจิ่นสิง แต่เรื่องบางเรื่องแม้ว่านางจะเชื่อ นางก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เพราะนางจะจัดการมันด้วยตนเอง……