นางสนมแพทย์อัจฉริยะ – บทที่ 903 ฆาตกรตัวจริง ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 903 ฆาตกรตัวจริง ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว

ตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดไว้ เย่เย่ยังไม่ทันฟื้นขึ้นมา แต่จักรพรรดิกลับออกคำสั่งให้จัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เรียบร้อย ในฐานะผู้ต้องสงสัย เฟิ่งชิงเฉินควรจะถูกจับเข้าไปในเรือนจำ แต่เมื่อนึกถึงการประลองที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตระกูลซูในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เรื่องนี้จึงถูกจัดการเป็นพิเศษ จักรพรรดิจึงสั่งให้คนไปล้อมจวนเฟิ่งเอาไว้ นอกจากออกไปซื้ออาหารก็ห้ามไม่ให้คนของจวนเฟิ่งเข้าออกจวน โดยเฉพาะเฟิ่งชิงเฉิน ไม่อนุญาตให้ออกไปจากจวนเฟิ่งแม้เพียงครึ่งก้าว

สูญเสียอิสรภาพไปชั่วขณะ เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด สิ่งที่นางสนใจก็คือ การผ่าตัดของหยุนเซียวจะล่าช้าไปอีกครั้ง เดิมทีคุยกับหยุนเซียวไว้ว่า ให้หยุนเซียวพักอยู่ในจวนเฟิ่งถึงวันที่แปดเดือนหนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด แต่เนื่องจากชื่อเสียงที่โด่งดังของยาป้องกันการแท้งบุตร จึงทำให้เกิดความช้าล่า เฟิ่งชิงเฉินจึงต้องเลื่อนเวลาออกไปอย่างช่วยไม่ได้

จำเป็นจะเปลี่ยนก็ต้องเปลี่ยน เฟิ่งชิงเฉินได้พูดคุยกับหยุนเซียวเป็นอันเรียบร้อย ก่อนการประลองกับซูโหยว นางจะผ่าตัดให้หยุนเซียว เนื่องจากช่วงเวลาประลอง ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นหรือไม่ หากเวลานั้นเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บขึ้นมา การผ่าตัดจะต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อยครึ่งเดือน และเวลานี้ยังมีเรื่องการเสียชีวิตของเจ้าเมืองเย่เฉิงเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

“มิรู้ว่าเป็นหายนะของหยุนเซียว หรือเป็นหายนะของข้ากันแน่” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหดหู่ในหัวใจเมื่อนึกถึงเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้น

“มิใช่ว่าเจ้าเป็นผู้เผชิญหน้ากับหายนะ แต่ผู้เผชิญหน้ากับหายนะที่แท้จริงเป็นคนนำหายนะมาหาเจ้ามากกว่า ข้าเองก็รู้สึกเห็นใจเย่เย่” อาการบาดเจ็บของซีหลิงเทียนอวี่ใกล้จะหายดีแล้ว เพียงแต่เท้าทั้งสองข้างของเขายังไม่สามารถออกแรงได้

เดิมทีซีหลิงเทียนอวี่ไม่คิดจะอยู่ให้เป็นภาระของที่นี่ แต่เมื่อเกิดเรื่องราวดังกล่าวขึ้น เขาก็หมดทางเลือกและต้องอาศัยอยู่ที่จวนเฟิ่งต่อไป

ผู้คนมากมายกำลังจับตาดูการเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกจวนเฟิ่ง ทำให้การเคลื่อนไหวของเขานั้นไม่สะดวกเท่าที่ควร เวลานี้การต่อสู้ของเขากับซีหลิงเทียนเหล่ยกำลังดำเนินมาถึงจุดสำคัญ หากไม่สามารถรวบรวมข้อมูลและออกคำสั่งได้ทันเวลา ซีหลิงเทียนเหล่ยอาจจะแย่งโอกาสอันดีของเขาไป และทำให้เขาต้องโศกเศร้า

ต้องรู้ก่อนว่า การที่ทำให้นางสนมสูญเสียบุตรแห่งมังกรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากพลาดโอกาสครั้งนี้ไป ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมีโอกาสอีกหรือไม่

“ข้ารู้สึกว่าข้าโชคร้ายกว่าเจ้า การตายของเจ้าเมืองเย่เฉิงมิเกี่ยวข้องกับข้าแต่อย่างใด” เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองพฤติกรรมของซีหลิงเทียนอวี่และกล่าวออกมา

“แม้ว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงจะมิได้เสียชีวิตลงด้วยเนื้อมือของเจ้า แต่การตายของเขามีความเกี่ยวข้องกับเจ้าเป็นแน่ หากมิใช่ต้องการโยนความผิดให้แก่เจ้า บางทีอีกฝ่ายคงมิจำเป็นต้องสังหารเจ้าเมืองเย่เฉิง” จากทัศนคติของซีหลิงเทียนอวี่ เขาเป็นกลางอย่างไม่ต้องสงสัย

เอ่อ……เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า “จะพูดเช่นนี้ก็มิได้ เจ้าจะโยนความผิดมาให้ข้าเพราะข้ามีความแค้นกับเย่เย่มิได้”

“เหตุใดจะมิได้ เจ้ามิรู้หรืออย่างไรว่าราชวงศ์นั้นเป็นจุดศูนย์รวมแห่งความโกรธแค้น ต่อให้เรื่องนี้จบลงและเย่เย่รู้ว่าเจ้ามิใช่ผู้สังหารบิดาของเขา เข้าก็มิมีทางปล่อยเจ้าไปเป็นแน่” ซีหลิงเทียนอวี่กำลังเตือนเฟิ่งชิงเฉิน อย่าคิดว่าหากตนเองสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้แล้วเย่เย่จะปล่อยนางไป

“ข้าเข้าใจ” เฟิ่งชิงเฉินเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าตอบรับ นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ความขัดแย้งได้รับการแก้ไข นั่นอาจเป็นแค่ความคิดของนาง ไม่ใช่ความคิดของเย่เย่

“ขอบคุณสำหรับคำเตือน ในตอนที่องค์ชายอวี่ออกไป หากได้พบกับเสด็จอาเก้าช่วยนำคำพูดของข้าไปบอกเขา ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ข้าสามารถจัดการด้วยตัวเองได้” ให้ได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการดึงเสด็จอาเก้าเข้ามามีส่วนร่วม นางไม่อยากให้เสด็จอาเก้าต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในครั้งนี้

ซีหลิงเทียนอวี่จ้องมองเฟิ่งชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ตกลง นอกจากนี้ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือไม่ เจ้าอยากให้ข้าบอกกับเสด็จอาเก้าหรือไม่ว่า ชีวิตของเจ้าในจวนเฟิ่งนั้นยากลำบากเพียงใด”

ช่างเถอะ นี่เป็นเพราะเขารู้สึกอิจฉาเสด็จอาเก้า เพราะเหตุใดผู้หญิงของเขาจึงได้แข็งแกร่งกว่าผู้หญิงทั่วไป ถูกใส่ร้ายว่าเป็นฆาตกร ไม่เพียงแค่ไม่มีน้ำตา แต่ยังบอกกับผู้ชายของตนอีกว่าไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วย ตรงกันข้าม กลับบอกว่าไม่จำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาช่วย นางสามารถจัดการด้วยตัวเองได้

นี่มันช่างขัดกับแนวทางของสวรรค์อย่างแม้จริง หากผู้หญิงทุกคนเป็นเฉกเช่นเดียวกับเฟิ่งชิงเฉิน เช่นนั้นผู้ชายจะมีประโยชน์อันใด

“องค์ชายอวี่ ท่านพูดเรื่องตลกอันใด ข้ามีชีวิตอยู่ในจวนเฟิ่งอย่างสุขสบาย กลับกัน องค์ชายอวี่ ท่านควรระวังตัวให้มากตอนเดินทางกลับ ระวังอย่าให้ขาของท่านได้รับบาดเจ็บเป็นอันขาด จวนเฟิ่งของข้าในเวลานี้เข้าได้ แต่ออกมิได้” เฟิ่งชิงเฉินเตือนซีหลิงเทียนอวี่ด้วยความหวังดี หากเขากลับมาที่จวนเฟิ่งอีกครั้ง คิดจะกลับไปคงไม่ง่ายขนาดนั้น

“วางใจ ข้ามิมีทางโชคร้ายถึงเพียงนั้น เจ้ามิต้องอิจฉาข้า ข้าแตกต่างกับเจ้า แน่นอนว่ามิมีทางถูกขังไว้ในจวนเฟิ่ง เช่นนั้นยามยอมถูกคุมขังในเรือนจำเสียดีกว่า” ซีหลิงเทียนอวี่โต้กลับอย่างไม่เต็มใจ

“ช่างหาได้ยากเสียจริง!”

จากสถานการณ์ปัจจุบันของเฟิ่งชิงเฉิน เว้นแต่สถานการณ์จะดีขึ้น เช่นนั้นชีวิตของนางในเวลานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับถูกขังอยู่ในเรือนจำ ไม่มีอิสระเลยแม้แต่น้อย

แน่นอน คำว่าอิสรภาพ สิ่งนี้มันขึ้นอยู่กับว่าสำหรับใคร สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้ว คนที่จักรพรรดิส่งมาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของนาง สำหรับนางแล้วไม่ได้มีผลกระทบมากมายแต่อย่างใด ในคืนที่ซีหลิงเทียนอวี่เดินทางออกไปจากจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินก็เดินทางเข้าไปในห้องลับของจวนเฟิ่ง

ทั้งร่างกายถูกห่อหุ้มด้วยเครื่องแต่งกายสีดำ เฟิ่งชิงเฉินแทบจะเป็นสิ่งเดียวกับความมืดในยามค่ำคืน หลานจิ่วชิงยืนรออยู่หน้าประตูของห้องลับ ไม่ได้รบกวนเฟิ่งชิงเฉินแต่อย่างใด แต่เมื่อเห็นเงาหลังของเฟิ่งชิงเฉิน เขากลับรู้สึกงงงวยเล็กน้อย

เฟิ่งชิงเฉินที่ไม่ส่งเสียง ความเงียบดังกล่าวทำให้นางดูเหมือนภาพวาด นิ่งสงบ ไร้ซึ่งความโกรธและความกังวลใจ ราวกับนอกจากเรื่องพ่อแม่ของนางแล้วก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้นางเสียสติ

หลานจิ่วชิงเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉินโดยไม่พูดอะไร จ้องมองอยู่นานจนเขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเฟิ่งชิงเฉินสังเกตเห็นถึงความผิดปกติหรืออย่างไร นางจึงหันกลับมา เวลานั้นทั้งสองจึงได้เผชิญหน้ากันและความเงียบก็ถูกทำลาย

“จิ่วชิง เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงให้ข้าได้รับรู้บ้าง”

หลานจิ่วชิงได้สติกลับคืนมา รีบเดินเข้าไปในห้องลับ “ข้าเพิ่งจะมาถึงได้มินาน เห็นว่าเจ้ากำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ข้าจึงมิอยากเข้ามารบกวนเจ้า”

“อะไรคือคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ข้าก็แค่รู้สึกสับสนเล็กน้อยเท่านั้น” นางกำลังคิดเรื่องบางอย่างอยู่จริง นั่นก็คือคำพูดของโจ่วอัน

นางรู้สึกว่าคำพูดของโจ่วอันมีอะไรแอบแฝงอยู่ แต่นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก

หลานจิ่วชิงไม่ได้ซักถามเฟิ่งชิงเฉินแต่อย่างใด เขาแค่ชี้ไปยังเก้าอี้ที่วางอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่งสัญญาณให้เฟิ่งชิงเฉินไปนั่งตรงนั้น “เหวินชิงบอกว่าเจ้ามีเรื่องต้องการพบข้า เป็นเรื่องอันใดงั้นหรือ?”

เขากับเฟิ่งชิงเฉินนั้นคล้ายกัน หากไม่มีเรื่องก็จะไม่มีวันได้พบกัน ซึ่งสิ่งนี้ทำให้หลานจิ่วชิงรู้สึกท้อใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าสืบเรื่องการตายของเจ้าเมืองเย่เฉิง” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่เกรงใจ

“ได้ แต่เจ้าจะต้องไปทานข้าวที่เรือนกระจกเป็นเพื่อนข้าสักมื้อ” หลานจิ่วชิงไม่ได้สงสัยแต่อย่างใด แต่กลับบอกเงื่อนไขที่ตนเองต้องการออกไป

“อะไรนะ?” เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป ถึงถามออกมาอีกครั้ง “เมื่อสักครู่เจ้าพูดว่าอย่างไร?”

“ไปทานข้าวที่เรือนกระจกเป็นเพื่อนข้า ข้ารู้ว่าเรือนกระจกเป็นทรัพย์สินของเจ้า นั่งทานข้าวเป็นเพื่อนข้าที่นั่นมันคงไม่ใช่เรื่องอะไรที่เกินไป” หลานจิ่วชิงพูดออกมาอย่างชัดเจน ภายใต้หน้ากาก ไม่มีใครเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดงของเขา

เหตุใดจึงยื่นเงื่อนไขเช่นนี้ออกมา?

เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก นางจ้องมองไปที่หลานจิ่วชิงเพื่อความแน่ใจว่าหลานจิ่วชิงไม่ได้ล้อเล่น พยักหน้าด้วยความงุนงง “มิใช่เรื่องที่เกินไป เช่นนั้นเจ้าสามารถปรากฏตัวในที่สาธารณะได้หรือไม่?”

“เหตุใดจึงมิได้ ข้ามิใช่อาชญากรที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในตงหลิง อีกอย่างเรือนกระจกเป็นสถานที่อันยอดเยี่ยม มิมีใครซุ่มโจมตีเป็นแน่” คำอธิบายของหลานจิ่วชิงดูจริงจัง ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกสงสัยว่าการไปทานอาหารที่เรือนกระจกในครั้งนี้ เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศ

“มีเหตุผล หากเจ้าว่าง เจ้าแจ้งข้ามาได้ทันที ข้าจะให้คนปิดร้านในวันนั้น เพื่อป้องกันการรบกวนของผู้อื่น” เฟิ่งชิงเฉินเองก็ขี้เกียจจะสนใจเหตุผลว่าทำไม

“ตกลง” เสียงของหลานจิ่วชิงฟังดูอ่อนโยนและนุ่มนวล “หลังจากเจอฆาตกรที่แท้จริง เจ้าต้องการทำเช่นไรต่อไป?”

เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว หลานจิ่วชิงเองก็พูดง่ายเช่นกัน

“ปัง” เฟิ่งชิงเฉินหยิบมันออกมาและยื่นให้หลานจิ่วชิง “ช่วยยิงเขาแทนข้าที และบอกกับเขาว่า ครั้งหน้าหากต้องการใส่ร้ายข้า ทำให้มันงดงามกว่านี้หน่อย ครั้งนี้สิ่งที่เขาทำมันแย่เกินไป บาดแผลเช่นนั้นแม้แต่มองข้ายังไม่อยากมอง”

กระสุนที่ยิงเข้าสู่ร่างกายด้วยพลังภายในนั้นแตกต่างจากกระสุนที่ยิงด้วยปืน มันไร้ซึ่งร่องรอยของความแข็งแกร่ง มันเป็นเหมือนกับเมล็ดข้าว ไม่ได้เข้าไปในร่างกาย

ซึ่งมันแตกต่างกับปืนโดยสิ้นเชิง ภายใต้แรงส่งของดินระเบิด กระสุนจะพุ่งไปสร้างบาดแผล และเมื่อกระสุนระเบิดออก จะทำให้บาดแผลเปิดกว้างด้วยแรงระเบิด

แม้ไม่ได้เห็นศพของเจ้าเมืองเย่เฉิง แต่เฟิ่งชิงเฉินก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าเหตุใดบาดแผลบนร่างกายของเจ้าเมืองเย่เฉิงจึงได้เป็นเช่นนั้น ต้องรู้ก่อนว่าในแผ่นดินจิ่วโจวอันยิ่งใหญ่ ไม่มีปืนกระบอกที่สองอยู่

“ตกลง ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจ้าต้องสอนข้าก่อนว่า สิ่งนี้มันใช่อย่างไร”

หลานจิ่วชิงรับปืนไว้ แตะอุณหภูมิที่อยู่บนด้ามปืน แล้วแสดงรอยยิ้มเล็กน้อย……

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

Status: Ongoing
ในยามวันมงคลสมรสของตนเอง นางตื่นสะลึมสะลือขึ้นมาที่ย่านชานเมือง ด้วยอาภรณ์ที่บางเบาและทั่วร่างที่สั่นเทา พร้อมกับสายตาดูหมิ่นที่จับจ้องมองมาที่นางมากมาย ทุกย่างก้าวที่เต็มไปด้วยเลือดกำลังย่างกรายเข้าสู่ราชวัง นางคือสตรีกำพร้าที่ไร้บิดามารดาคอยดูแล ส่วนเขาเป็นท่านอ๋องหน้ากากเหล็กที่อยู่เหนือกว่าทุกคนในใต้หล้า ทั่วร่างของนางที่เต็มไปด้วยบาดแผลมากมาย ทั้งยังถูกทำให้อับอายขายขี้หน้า; เขาผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอย หาผู้ใดมาเทียบเคียงได้ยาก นางต้องก้มหน้าคุกเข่าอย่างนอบน้อม เขาคือผู้ที่จ้องมองลงมาจากเบื้องบน เส้นทางของคนทั้งสองคนที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับมาบรรจบพบพานด้วยความบังเอิญ อาภรณ์ที่อบอุ่นผืนนั้น ปกปิดคราบสกปรกบนเนื้อตัวของนาง โดยแลกมาด้วยความรักชั่วชีวิตของตนเอง แพทย์หญิงผู้มากความสามารถจากยุคศตวรรษที่ 21 ทั่วทั้งกายและใจของนางมอบให้แต่เขาเพียงผู้เดียว เขาผู้อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า คมดาบที่อาบไปด้วยเลือดมากมาย นางสามารถละทิ้งทุกอย่างได้ ขอเพียงแค่ชาตินี้ ขอให้นางได้ครองรักเช่นสามีภรรยา ความรักที่ไร้ขอกังหา ไม่ว่าจะเป็นหรือตายนางล้วนไม่สนใจ แต่เขากลับมอบคมดาบเพื่อปลิดชีพนาง…………

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท