นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 918 เดินทางร่วมกัน การลงทุนอันยิ่งใหญ่ของเสด็จอาเก้า
เฟิ่งชิงเฉินเป่าเทียนแล้วเข้านอน เดิมที่คิดว่าเรื่องของเมืองเย่เฉิงและตระกูลลู่จะทำให้นอนไม่หลับ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแค่หัวถึงหมอนนางก็หลับสนิท ไม่มีความรู้สึกดังกล่าวอยู่ในหัวของนางเลยแม้แต่น้อย
“คืนนี้แม่นางเฟิ่งนอนหลับภายในสามลมหายใจ” เฟิ่งชิงเฉินผล็อยหลับไป สาวใช้สายลับที่อยู่ในห้องก็หาวอย่างเบื่อหน่าย
สายลับเอ้อคาบใบไม้ไว้ในปากและพูดอย่างคลุมเครือ “ข้าว่าแม่นางคงกำลังคิดถึงท่านอ๋อง นานมากแล้วที่ท่านอ๋องมิได้มาหาแม่นางเฟิ่ง”
“นานมากจริง ๆ น่าจะประมาณครึ่งเดือนแล้ว ท่านอ๋องช่างสุดยอดเหลือเกิน หากก่อนหน้านี้มิเคยได้ลิ้มลองก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เวลานี้ท่านอ๋องได้ลิ้มลองไปแล้ว แต่กลับทนได้ถึงเพียงนี้” สายลับอียกนิ้วให้ แสดงถึงความชื่นชมของนาง
“เจ้านี่ช่างรนหาที่ตายเสียจริง กล้าพูดจาเสียหายกับท่านอ๋องได้อย่างไร เจ้ามิอยากมีชีวิตอยู่แล้วงั้นหรือ?” สายลับเอ้อพ่นใบไม้ในปากใส่หน้าสายลับอี สายลับอีเช็ดมันออกอย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าหักล้างเถียงกลับไป ทำได้เพียงพึมพำกับตัวเอง
นางไม่ได้กังวลว่าท่านอ๋องจะมีผู้หญิงอื่นจนลืมแม่นางเฟิ่ง แต่ต้องรู้ว่าผู้ชายนั้นมีความต้องการ ต่อให้เสด็จอาเก้ายุ่งสักเพียงใด แต่อย่างน้อยก็มีเวลานอนไม่ใช่หรือไง
เสด็จอาเก้าไม่ได้มาหาเฟิ่งชิงเฉินนานมากแล้ว แต่ครั้งนี้สายลับได้เข้าใจผิดเสด็จอาเก้าเป็นแน่ แม้ปกติเสด็จอาเก้าจะไม่ได้ยุ่งจนไม่มีเวลานอน แต่เขาก็ยุ่งจนไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นจริง ๆ ส่วนในคืนนี้ เขานั้นยุ่งจนไม่มีเวลานอนโดยแท้จริง
แม้ทหารม้าทมิฬจะมีจำนวนเพียงแค่หนึ่งพันนาย แต่มันก็ถือเป็นหน่วยสำคัญของเสด็จอาเก้า และเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเสด็จอาเก้า การรวมพลทหารม้าทมิฬจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
เสด็จอาเก้าไม่ต้องการให้ทหารม้าทมิฬถูกเปิดเผยทันทีที่ลงมือ และไม่ต้องการให้ทหารม้าทมิฬได้รับบาดเจ็บหรือถูกกวาดล้าง ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษ
ประกอบกับภารกิจที่เสด็จอาเก้ามอบให้ทหารม้าทมิฬในครั้งนี้นั้นไม่ธรรมดา เสด็จอาเก้ารวบรวมทหารม้าทมิฬเพื่อไปยังสุสานจักรพรรดิและนำโลงศพเสด็จแม่ของเขาออกมา
ไม่รู้ว่ามีเรื่องกระดูกพ่อแม่ของเฟิ่งชิงเฉินเป็นแรงบันดาลใจ หรือเป็นเพราะนับวันจักรพรรดิยิ่งไร้ยางอาย ช่วงนี้จักรพรรดิจึงนำโลงศพเสด็จแม่ของเสด็จอาเก้าออกมาอยู่บ่อยครั้งเพื่อทำให้เสด็จอาเก้ายอมประนีประนอม
เสด็จอาเก้าอดทนกับการกระทำของจักรพรรดิอยู่หลายครั้ง ครั้งนี้เขาจะไม่ทนอีกต่อไป เจ้านำกระดูกเสด็จแม่ของข้ามาขู่ เช่นนั้นข้าก็จะขโมยกระดูกดังกล่าวออกมา ข้าอยากจะรู้ว่าหลังจากนี้เจ้าจะเอาอะไรมาข่มขู่ข้าอีก ส่วนสุสานจักรพรรดิ เสด็จอาเก้าสั่งให้ทหารม้าทมิฬระเบิดมันทิ้ง ปล่อยข่าวว่าเป็นฝีมือของกองพลทหารเสินจี โยนความผิดทั้งหมดให้กับจักรพรรดิ
อย่างไรก็ตามคนทั้งประเทศต่างรู้ว่ามีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่มีระเบิดเทียนเหล่ยอยู่ในครอบครอง หากสุสานจักรพรรดิถูกระเบิดด้วยระเบิดเทียนเหล่ย เช่นนั้นมันจะต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิเป็นแน่
ฮึ ตอนนั้นเสด็จอาเก้ายังกล้าระเบิดสุสานจักรพรรดิตอนที่กำลังสร้าง แน่นอนว่าเวลานี้เขาก็กล้าระเบิดมันอีกครั้ง เนื่องจากในสุสานจากจักรพรรดิ นอกจากโลงศพของพ่อแม่ของเสด็จอาเก้า ก็มีเพียงโลงศพของพี่น้องและพระสนมของจักรพรรดิองค์ก่อนเท่านั้น
ในสุสานมีโลงศพอยู่ไม่มาก จักรพรรดิมีเพียงองค์เดียว เสด็จอาเก้าก็แค่นำโลงศพของจักรพรรดิองค์ก่อนกับเสด็จแม่ของเขาออกมาก่อนก็เพียงพอ ส่วนโลงศพอื่นที่เหลือก็ปล่อยให้มันจมดินไปพร้อมกับสุสานจักรพรรดิ
ทหารม้าทมิฬมีชื่อเสียงเทียบเท่ากับรถบีเอ็มสีดำในปัจจุบัน เกาะสีดำบนร่างกายเข้ากับสีดำยามค่ำคืนเป็นอย่างดี เกือกม้าถูกหุ้มด้วยผ้านุ่ม ทำให้เวลาเดินทางในค่ำคืนมีเสียงดังเพียงเล็กน้อย ไม่ได้สะดุดสายตาผู้คนแต่อย่างใด
ทหารม้าทมิฬซุ่มอยู่ทั้งวันทั้งคืน ในช่วงเวลาที่จักรพรรดิกังวลเกี่ยวกับอาการของฝู่หลิน ทหารม้าทมิฬก็แอบเข้าไปในสุสานจักรพรรดิ เตรียมล้างสุสานจักรพรรดิด้วยเลือดและระเบิดทำลายมัน……
ตามที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการไว้ หลังจากเฟิ่งชิงเฉินทานอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นาน มีคำพูดจากขันทีส่งมาถึง บอกว่าใต้เท้าฝู่หลินยังไม่ฟื้น จักรพรรดิกังวลเป็นอย่างมาก จึงเชิญเฟิ่งชิงเฉินเข้าไปจวนฝู่เพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
บ้าเอ๊ย……เฟิ่งชิงเฉินสบถออกมา
จักรพรรดิตาบอดหรืออย่างไร ไม่เห็นสิ่งที่ฝู่หลินเขียนไว้หรืออย่างไร ฝู่หลินจะเป็นหรือตายนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง สิ่งที่นางควรทำ นางได้ทำไปหมดแล้ว
“แม่นางเฟิ่ง ท่านรีบหน่อยเถิด จักรพรรดิให้ความสำคัญกับใต้เท้าฝู่ผู้นี้มาก” ขันทีที่รับหน้าที่มาส่งข่าวเห็นเฟิ่งชิงเฉินไม่เคลื่อนไหวจึงเร่งออกมาด้วยใบหน้าทุกข์ใจ
ต่างว่ากันว่าขันทีทุกคนที่เดินทางมายังจวนเฟิ่งจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทน แต่เขากลับไม่ได้อะไร และยังทำให้แม่นางเฟิ่งไม่พอใจ
“ข้าขอตัวไปหยิบกล่องยาก่อนแล้วจะออกเดินทางทันที” ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหนก็ต้องทน ทนไปจนถึงฝู่หลินจะตาย ใครก็ตามที่ถูกเรียกว่าเฉินแห่งมังกร เขาก็คือคนสนิทของจักรพรรดิ
ข้างกายของฝู่หลินมีหมอหลวงคอยดูแลอยู่ตลอด แม้จะไม่ได้เกินจริงไปเหมือนเมื่อคืนวาน แต่จักรพรรดิก็ยังสั่งให้หมอหลวงหกคนมาคอยดูแลฝู่หลิน โดยผลัดกันวันละสามคน และถือว่านี่เป็นการดูแลที่ดีที่สุด
แม้แต่ฮองเฮายังไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เฟิ่งชิงเฉินแอบสาปแช่งในใจว่าฝู่หลินนั้นเป็นคนที่ใช้ทรัพยากรทางการแพทย์ได้สิ้นเปลือง
เดินทางมาถึงห้อง เห็นหมอหลวงที่คอยดูแลอยู่ข้างเตียงของฝู่หลิน เฟิ่งชิงเฉินกล่าวทักทายอย่างนุ่มนวล หมอหลวงทั้งสามคนก็ตอบกลับอย่างสุภาพ แต่ท่าทางของพวกเขาดูเขินอายเล็กน้อย
เฟิ่งชิงเฉินไม่เข้าใจว่าทั้งสามคนเป็นอะไร เห็นพวกเขาไม่พูด นางก็ไม่ได้ถาม เข้าไปวัดอุณหภูมิร่างกายของฝู่หลิน อัตราการเต้นของหัวใจ และตรวจเลือด หากฝู่หลินไม่ได้ตายเพราะอาการบาดเจ็บ แต่ตายเพราะร่างกายขาดสารอาหาร เช่นนั้นคงเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
หมอหลวงทั้งสามมองการเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงเฉินด้วยความสงสัย เห็นเฟิ่งชิงเฉินตรวจร่างเรียบร้อย นางก็หาเก้าอี้มานั่ง หมอหลวงทั้งสามลังเลอยู่นาน คนโน้นว่าคนนี้ คนนี้ว่าคนโน้น สุดท้ายก็ตัดสินใจถามออกมา
“แม่นางเฟิ่ง คือ เรื่องเมื่อวานนี้ พวกข้าต้องขอโทษด้วย” สีหน้าของหมอหลวงทั้งสามดูอึดอัด ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี
พวกเขาไม่ใช่คนไม่ดี พวกเขาเพียงแค่กลัวตายเท่านั้น
“อา?” เฟิ่งชิงเฉินผงะ จากนั้นก็ตอบสนอง นางรีบลุกขึ้นยืน โบกมือพร้อมกล่าวว่า “มิเป็นไร มิเป็นไร มันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ข้ามิได้ใส่ใจอะไร”
ด้วยความอิจฉาในอาชีพเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินได้เห็นผู้ช่วยหลายคนทำร้ายพวกที่เป็นหมออย่างเปิดเผย เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องพวกนี้ การรักษาชีวิตของตนให้รอดนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ นางเองก็เป็นคนเห็นตัวเองสำคัญกว่าคนอื่น ทำไมจะต้องให้ความช่วยเหลือผู้อื่นจนชีวิตของตนเองต้องลำบาก
เวลานี้กลับเป็นหมอหลวงทั้งสามคนที่ตะลึงงัน พวกเขามองไปที่เฟิ่งชิงเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่อยากจะเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะพูดออกมาง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่เมื่อสังเกตจากท่าทางของเฟิ่งชิงเฉินแล้วก็รู้ได้ว่านางไม่ได้โกหก
หมอหลวงทั้งสามมองตากัน มั่นใจแล้วว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ใส่ใจ ทั้งสามคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขารู้สึกว่าตนเองตัดสินผู้อื่นเพียงสายตา แม้เฟิ่งชิงเฉินเป็นผู้หญิง แต่ทักษะทางการแพทย์และอารมณ์ของนางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย
หมอหลวงทั้งสามยืนอยู่ด้านหน้าเฟิ่งชิงเฉิน หลายครั้งที่คิดจะพูดอะไรออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็พูดไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือตำแหน่งในหน้าที่การงาน พวกเขาต่างสูงกว่าเฟิ่งชิงเฉินทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อยืนอยู่หน้าเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขากลับรู้สึกขาดความกล้า ตอนแรกคิดว่าอาจเป็นเพราะเรื่องเมื่อวาน ทำให้พวกเขารู้สึกเช่นนี้ แต่เมื่อขอโทษออกไปแล้ว เฟิ่งชิงเฉินให้อภัย พวกเขาก็ยังรู้สึกอึดอัดอยู่ดี
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกได้ แม้ว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่หมอหลวงพวกนี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย พวกเขาแสดงออกถึงความมีเมตตา นางไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร หรือทำให้ใครต้องขุ่นเคือง จึงกล่าวออกไปให้ทั้งสามนั่งลงและทำตัวตามสบาย จากนั้นก็หาหัวข้อที่ทุกคนสนใจและพูดคุยกับพวกเขาสองสามประโยค
ทุกคนต่างเป็นหมอ หัวข้อที่พวกเขาพูดคุยกันนั้นก็ง่ายดาย ทั้งสี่ดูสนิทกับมากขึ้น ในที่สุดความไม่สบายใจก่อนหน้านี้ก็หายไป หมอหลวงทั้งสามรู้สึกผ่อนคลาย สอบถามเฟิ่งชิงเฉินเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่เฟิ่งชิงเฉินใช้ในการตรวจสอบเมื่อสักครู่ เฟิ่งชิงเฉินจึงใช้เทอร์โมมิเตอร์ หูฟังทางแพทย์ออกมาใช้ให้ทั้งสามคนดู และสอนพวกเขาถึงวิธีใช้งาน
ส่วนเรื่องการวัดอุณหภูมิ ตรงนั้นก็มีฝู่หลินอยู่ไม่ใช่หรือไง อย่างไรฝู่หลินก็ยังไม่ฟื้น วัดอุณหภูมิหลายครั้งหน่อยก็คงไม่เป็นไร……