นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 920 คนชุดดำ ปล้นกลางทาง
สภาพแวดล้อมของเรือนกระจกนั้นยอดเยี่ยม บรรยากาศสวยงาม ดอกไม้ แสงเทียน สุราชั้นเลิศ อาหารเลิศรส ทุกอย่างแสดงให้เห็นถึงบรรยากาศแห่งความรัก หากมีเสียงดนตรีบรรเลงคงจะดีกว่านี้ไม่น้อย
ในยุคปัจจุบัน เฟิ่งชิงเฉินโชคดีที่มีโอกาสได้ไปรับประทานอาหารบนสวนลอยฟ้า ดังนั้นการที่มารับประทานอาหารกับหลานจิ่วชิงในเรือนกระจก เฟิ่งชิงเฉินจึงไม่ได้รู้สึกเขินอายแต่อย่างใด แต่กลับเป็นหลานจิ่วชิงที่มีความรู้สึกเช่นนั้น เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าซูเหวินชิงจะทำให้เรือนกระจกเป็นเหมือนความฝัน นั่งอยู่ในนี้ก็รับรู้ได้เลยว่าเขามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่
เขาแค่ต้องการรับประทานอาหารร่วมกับเฟิ่งชิงเฉินหนึ่งมื้อเท่านั้น ทำให้ทุกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินนึกถึงเรือนกระจก สิ่งแรกที่นางนึกถึงต้องเป็นเรือนกระจกที่เคยทานอาหารร่วมกับหลานจิ่วชิง ไม่ใช่ภาพที่เคยรับประทานอาหารร่วมกับหวังจิ่นหลิง
แม้ว่าการกระทำนี้ของซูเหวินชิงจะบรรลุผล แต่มันก็มากเกินไปจนทำให้หลานจิ่วชิงรู้สึกอึดอัด โชคดีที่มีหน้ากากปิดบังไว้ ดังนั้นแม้ว่าหลานจิ่วชิงจะรู้สึกไม่สบายใจ เขาก็สามารถแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรได้
“นำอาหารมาได้” หลานจิ่วชิงสั่นกระดิ่งบนโต๊ะ
นี่คืออุปกรณ์ที่เพิ่งติดตั้งในเรือนกระจก เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนแขกที่มาทานอาหาร ดังนั้นในเรือนกระจกจะไม่มีคนรับใช้อยู่ พวกเขาจะขึ้นเมื่อมีเสียงกระดิ่งเรียกเท่านั้น
“คุณชาย แม่นาง” เด็กรับใช้แปลกหน้าเดินขึ้นมา หยุดอยู่ด้านนอกเรือนกระจก กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แค่มองเฟิ่งชิงเฉินก็รู้แล้วว่าคนผู้นี้ไม่ใช่คนของนาง แต่เป็นคนของหลานจิ่วชิง หลานจิ่วชิงคิดว่า “โรงเตี๊ยมโหย่วเจียน” เป็นสมบัติของเขาอย่างแท้จริง
สำหรับสิ่งนี้เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนใจแต่อย่างใด สำหรับนางแล้วโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นเพียงสถานที่ทำเงินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว นางไม่มีพรสวรรค์ทางธุรกิจ ไม่มีความสามารถในการเป็นยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจ แค่มีรายได้เข้ามาทุกเดือนนางก็พอใจแล้ว
“นำอาหารมาได้เลย” หลานจิ่วชิงกล่าวอย่างรัดกุม ขยับร่างกายของเขาเล็กน้อยเพื่อซ่อนความลำบากใจ
“ขอรับ” เด็กรับใช้รีบเดินลงไป ทั้งชั้นเหลือเพียงเฟิ่งชิงเฉินและหลานจิ่วชิงอยู่สองคน เฟิ่งชิงเฉินเห็นหลานจิ่วชิงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างเคร่งขรึม ไม่ขยับ ไม่พูดอะไรออกมา และไม่มีทีท่าว่าจะพูด มือทั้งสองข้างเท้าคาง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เรือนกระจกถูกสร้างไว้สูงมาก มีเทียนเล็ก ๆ วางอยู่ด้านบนจำนวนมาก เมื่อมองขึ้นไปมันเหมือนกับดวงดาว และแสงดาวเหล่านี้มันก็อยู่ใกล้มาก
“งดงามยิ่งนัก” แสงเทียนที่ริบหรี่ดึงดูดสายตาผู้คน เฟิ่งชิงเฉินเอียงศีรษะ ขนตาสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาสีดำสวยงามส่องประกาย ใบหน้าฉายแววชวนฝันถึง
“ใช่ งดงามยิ่งนัก” หลานจิ่วชิงกล่าวในเชิงเห็นด้วย
สิ่งที่เขายกย่องไม่ใช่ดอกไม้ในห้องและแสงเทียนเหนือหัวของเขา แต่เป็นรูปลักษณ์ของเฟิ่งชิงเฉิน ในเวลานี้นางดูงดงามจนไม่อาจละสายตาไปได้
เจ้ายืนดูทิวทัศน์อยู่บนสะพาน แต่มีอีกคนที่อยู่ด้านข้างกำลังจับจ้องเจ้าอยู่ สำหรับหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินคือคนที่ยืนอยู่บนสะพาน คือสาวงามผู้ซึ่งดึงดูดความสนใจของเขา งดงามจนทำให้เขาใจสั่นถึงขั้นทำให้เขารู้สึกอยากถอดหน้ากากออกมา
ทั้งสองคนมีมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ดี ไม่มีภาพของการพูดไปทานไปเกิดขึ้น ทั้งสองรับประทานอาหารเงียบ ๆ พอใกล้ยามเที่ยงคืน ทั้งสองก็ไม่กล้าทานไปมากกว่านั้น เมื่อทานอาหารไปได้พอประมาณ พวกเขาก็ให้คนมายกอาหารออกไปและนำชาร้อนมาแทน
เฟิ่งชิงเฉินถือถ้วยชาพร้อมเอนกายลงบนเก้าอี้ หรี่ตาเล็กน้อยและพูดคุยกับหลานจิ่วชิงเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน อนาคต และข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิต
เฟิ่งชิงเฉินผู้มีประสบการณ์มากมายแตกต่างจากเด็กผู้หญิงอายุ 15-16 ปีทั่วไป ความคิดของนางใกล้เคียงกับคนอย่างหลานจิ่วชิงมาก ทั้งสองมีมุมมองและการใช้ชีวิตที่คล้ายกันอยู่หลายประเด็น
ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยสำหรับทั้งสองคน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยสงบสติอารมณ์ที่จะคุยกันแบบนี้ พวกเขาพูดคุยกันเกี่ยวกับหัวข้อที่ไม่เกี่ยวกับความรักและการแย่งชิงอำนาจ
“ฟ้าเริ่มสาง ข้าควรกลับแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินหาวและลุกขึ้นยืน
“อาหารมื้อนี้ ข้ารู้สึกมีความสุขกับมันเป็นอย่างยิ่ง” หลานจิ่วชิงเองก็ลุกขึ้นเพื่อตามไปส่งเฟิ่งชิงเฉิน
“ข้าเองก็เช่นกัน แน่นอน หากเป็นอาหารมื้อค่ำเหมือนดังปกติ ข้าจะรู้สึกมีความสุขมากกว่านี้” เฟิ่งชิงเฉินกล่าวออกมาจากใจจริง
วันนี้ถือว่าเป็นการเสี่ยงอันตรายครั้งใหญ่ หากมีครั้งหน้า นางก็ไม่กล้ารับประกันว่าเสด็จอาเก้าจะทุบตีนางจนตายหรือไม่
“ข้ารู้สึกขอบคุณมาก ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าซึ่งเป็นผู้หญิงตัวคนเดียวออกมาข้างนอกยามดึกเช่นนี้คงมิสะดวก” คำพูดของหลานจิ่วชิงไม่ได้ออกมาจากใจจริงเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าการที่เฟิ่งชิงเฉินออกมาด้านนอกยามดึกนั้นสะดวกหรือไม่
“มันมิใช่ปัญหาเรื่องสะดวกหรือไม่ แต่ปัญหามันอยู่ที่เขาคนนั้นของข้าจะโกรธ เจ้าก็รู้ว่าเขาเป็นคนขี้น้อยใจเพียงใด เขาจะมิพอใจเป็นแน่หากรู้ว่าข้าออกมาด้านนอกในเวลาเช่นนี้” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับไป แสดงรอยยิ้มอันน่ากลัวออกมา ทำให้หลานจิ่วชิงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้ากลัวเขางั้นหรือ?”
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและส่ายหน้า “มันมิเกี่ยวกับความกลัว นี่คือความเคารพนับถือของข้า หากเขากล้าออกไปหาผู้หญิงอื่นด้านนอกในยามดึก ข้าเองก็คงโกรธ มันมิใช่ปัญหาว่าเชื่อใจหรือไม่ แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกมิสบายใจ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลานจิ่วชิงไม่รู้ว่าตนเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี หลังจากเงียบไปพักหนึ่งก็พูดออกมาว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงออกมา เจ้าเองก็รู้ หากเจ้าปฏิเสธข้าก็มิมีทางโกรธ”
“ข้าเองก็ต้องการมีพื้นที่ส่วนตัวของข้า อีกอย่างเรื่องนี้ข้ารับปากกับเจ้าไปแล้ว ข้ามิมีทางกลับคำสัญญา” แม้หลานจิ่วชิงจะไม่พูด แต่เฟิ่งชิงเฉินเองก็เข้าใจ หากสืบหามือสังหารที่ฆ่าเจ้าเมืองเย่เฉิงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และหากคนเหล่านั้นต้องการฆ่าพวกเขา มันก็ง่ายยิ่งกว่า
หลายคนเสียชีวิตในคืนนั้น แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าหลานจิ่วชิงกำลังทำอะไรอยู่
“ท่าทางเจ้าดูขัดแย้งกันเหลือเกิน” ในช่วงที่พูดออกมา ทั้งสองคนเดินมาถึงบันได และลงบันไดตามกันไป
“มันไม่ใช่การขัดแย้ง พวกเราทั้งสองปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ แต่ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งพวกเราต้องหาสมดุลพบเป็นแน่ วันที่เขายอมละทิ้งความเย่อหยิ่งและยอมรับในจุดด้อยของข้า ข้าเองก็จะยอมถอยให้เขาเช่นกัน” ทั้งสองปฏิบัติต่อกันเช่นนี้ ไม่ใช่เว้นระยะห่าง ยอมโอนอ่อนหรือผ่อนตาม นางเองก็มีหลักการของนาง หากถือทิฐินางก็ไม่ยอมถอยเป็นอันขาด
รถม้าและคนของจวนเฟิ่งรออยู่ด้านนอก หลานจิ่วชิงพูดอะไรออกมาได้ไม่มาก และก็ไม่สะดวกที่จะออกไป เขายืนอยู่ด้านในและกล่าวออกมาว่า “ขอให้พวกเจ้ามีความสุข”
“ขอบใจมาก ข้าจะต้องมีความสุขเป็นแน่” เฟิ่งชิงเฉินตอบอย่างใจดี ยิ้มอย่างสดใสในความมืด
เป็น “ฉัน” ไม่ใช่ “พวกเรา” เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ตัว แต่หลานจิ่วชิงสามารถสัมผัสได้ บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก เฟิ่งชิงเฉินคิดว่าเสด็จอาเก้าคงไม่อาจมอบความสุขให้กับนางได้ทั้งชีวิต
หลานจิ่วชิงยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน จนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถม้า หลานจิ่วชิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก หันกลับไปและพูดกับความมืด “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ร่างผอมสีดำกระโดดออกมาจากความมืด “เรียนนายท่าน มียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งพยายามเข้ามา เวลานี้ถูกจับไว้หมดแล้ว”
เรือนกระจกถูกจับตาดูในระยะหนึ่งร้อยลี้ ผู้ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงถูกจับตามองด้วยเหล่ายอดฝีมือ หากคิดจะเข้ามาก็ไม่เป็นไร แต่ต้องผ่านด่านเหล่านี้มาให้ได้ก่อน
ระหว่างที่หลานจิ่วชิงกำลังร่วมรับประทานอาหารกับเฟิ่งชิงเฉิน เขาได้สูญเสียกำลังคนและทรัพยากรไปเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าการเตรียมการเหล่านี้มันไม่ได้ไร้ประโยชน์ หากไม่ได้จัดเตรียมไว้อย่างระมัดระวัง เฟิ่งชิงเฉินและหลานจิ่วชิงจะรับประทานอาหารร่วมกันอย่างสบายใจโดยไม่มีใครเข้ามารบกวนได้อย่างไร
หากเป็นเหมือนที่ผ่านมา หลานจิ่วชิงจะต้องออกไปดูด้วยตาของตัวเอง แต่ในวันนี้……
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณชายซู” หลานจิ่วชิงทิ้งประโยคนี้ไว้และจากไป
ช่วยไม่ได้ เป็นไปตามที่ซูเหวินชิงพูดไว้ เขาอยู่ในเรือนกระจกนานเกินไป เวลานี้ร่างกายของเขาได้รับผลกระทบจากอาการแพ้
ราคาที่ต้องจ่ายในการรับประทานอาหารร่วมกับเฟิ่งชิงเฉินช่างสูงยิ่งนัก หลานจิ่วชิงคงไม่สามารถออกจากจวนได้อีกหลายวัน เช่นเดียวกัน เฟิ่งชิงเฉินเองก็ต้องจ่ายในราคาที่ไม่น้อย เมื่อออกมานอกเขตร้อยลี้ของเรือนกระจก เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องพบกับนักลอบสังหาร
ชายในชุดดำเจ็ดคนเรียงแถวเหมือนหลักไม้รอนางอยู่บนถนนที่เฟิ่งชิงเฉินต้องเดินทางผ่าน ในเวลาที่รถม้ากำลังเข้าไปใกล้ระยะการมองเห็นของทั้งเจ็ดคนก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา “เฟิ่งชิงเฉิน”
ด้วยเสียงที่ดังขึ้น คนขับรถม้าดึงบังเหียนอย่างรุนแรง รักษาระยะห่างจากคนชุดดำทั้งเจ็ด สาวใช้สายลับทั้งสองรีบกระโดดลงมาจากรถม้า คอยปกป้องรถม้าและเฟิ่งชิงเฉินที่อยู่ด้านใน “พวกเจ้าเป็นใคร?”
“พวกเราเป็นใครนั้นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ ผู้ที่อยู่ด้านในรถม้านั้นใช่เฟิ่งชิงเฉินหรือไม่” ชายชุดดำที่เพิ่งตะโกนออกมาเมื่อครู่เปิดปากพูดออกมาอีกครั้ง ยกดาบยาวชี้มาทางศีรษะของม้า ดูเหมือนม้าจะมีจิตวิญญาณ เมื่อเผชิญหน้ากับจิตสังหารอันรุนแรง มันไม่กล้าแม้แต่ส่งเสียงออกมา
“ข้าคือเฟิ่งชิงเฉิน มิทราบว่าผู้ใดต้องการพบข้า” เวลานี้นั่งอยู่ในรถม้าก็ใช่ว่าจะปลอดภัย เฟิ่งชิงเฉินเปิดม่านออกมาทางหน้าต่าง ลงจากรถม้า เตรียมที่จะก้าวไปด้านหน้า แต่ถูกสาวใช้ทั้งสองขวางไว้ “แม่นาง มันอันตราย”
“มิเป็นไร หากพวกเขาคิดจะลงมือ พวกเขาคงลงมือไปตั้งนานแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินผลักสายลับทั้งสองออก เดินออกมาตรงกลาง เผชิญหน้ากับคนชุดดำทั้งเจ็ด
ร่างกายของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดอันรุนแรง เฟิ่งชิงเฉินรักษาระยะห่างจากอีกฝ่ายประมาณห้าก้าว ระยะนี้เป็นระยะการโจมตีปืนของนาง และไม่ได้ใกล้จนเกินไปถึงขั้นอยู่ในระยะการโจมตีของอีกฝ่าย
“เจ้ากล้ามิเบา มิแปลกใจเลยว่าเหตุใดไฟในเมืองอี้สุ่ยถึงเอาชีวิตเจ้าไปมิได้” ชายชุดดำยิ้มเห็นฟันขาว ดวงตาแดงก่ำทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ตอนนั้นผู้ที่ติดสินบนเจ้าเมืองอี้สุ่ยและเผาทำลายชีวิตข้าก็คือเจ้า……” เฟิ่งชิงเฉินนำมือข้างหนึ่งไปด้านหลัง อีกข้างหนึ่งชี้ไปยังชายชุดดำ ผงะอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า “เจ้านายของเจ้าเป็นใคร?”
“ใช่” ชายชุดดำพยักหน้าด้วยแววตาซึ่งเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“เช่นนั้นพวกเจ้ามีชื่อเรียกว่าอย่างไร?” มือซึ่งไขว้อยู่ด้านหลังของจับด้ามปืนไว้
เรื่องในครั้งนั้น นางและเสด็จอาเก้าร่วมมือกันสืบหามาเป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบว่าใครเป็นผู้ลงมือ ในดินแดนตงหลิง นอกจากจักรพรรดิกับเสด็จอาเก้า ยังมีใครสามารถชี้นิ้วสั่งเจ้าเมืองได้บ้าง ยอมขุ่นเคืองและเสี่ยงอันตรายจากซู่ชินอ๋องเพื่อสังหารนาง ในเมืองจักรพรรดิแห่งนี้ แท้จริงแล้วซ่อนอำนาจลึกลับอะไรอยู่กันแน่
นางอยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายเป็นใคร อย่างไรก็ตาม การที่มีอำนาจมืดแฝงตัวอยู่ สำหรับนางกับเสด็จอาเก้าแล้วมันอันตรายเกินไป
“เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าโง่จริงหรือว่าแกล้งโง่กันแน่ คิดว่าพวกข้าไร้สมองหรืออย่างไร?” ชายชุดดำจ้องมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้าอยากรู้ว่าเจ้านายของพวกข้าเป็นใคร เหตุใดจึงมิไปถามเขาด้วยตนเองกันเล่า”
“วันนี้มิสะดวก วันหน้าข้าชิงเฉินจะต้องไปเยี่ยมเขาถึงบ้านเป็นแน่” เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและปฏิเสธออกไป
นางอยากรู้ว่าแท้จริงแล้วใครกันแน่ที่ต้องการเอาชีวิตของนาง แต่ไม่ใช่เวลานี้ หากวันนี้นางตามอีกฝ่ายไป ไม่แน่ว่าแม้แต่ชีวิตยังเอากลับมาไม่ได้ ทั้งเจ็ดคนนี้ไม่ใช่คนดีเป็นแน่
“วันหน้า? เฟิ่งชิงเฉิน คำเชิญของนายท่านมิอนุญาตให้เจ้าปฏิเสธ เวลานี้เจ้าจำเป็นต้องไปกับพวกข้า” ชายชุดดำพุ่งมาด้านหน้าอย่างกะทันหัน ดาบในมือสั่นเทา ราวกับมังกรแทงเข้าที่หัวใจของเฟิ่งชิงเฉิน……
เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของพวกเขาในวันนี้คือการลักพาตัวเฟิ่งชิงเฉินกลับไปโดยที่นางยังมีชีวิตอยู่……